สัญญาไม่เป็นสัญญา (นี่หว่า) by...สุรเดช มั่นวิมล

สรุปว่าผลงานของทีมชาติไทยในฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 42 ไม่ตรงตามเป้าที่วางเอาไว้นะครับ เพราะก่อนทัวร์นาเม้นต์จะเริ่มต้น "นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ" และ "เฮดโค้ชทีมชาติไทย" ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า"ต้องแชมป์สถานเดียว"
         เหตุผลหาได้ไม่ยากครับ กับความล้มเหลวในครั้งนี้...

    "การเรียกตัวผู้เล่น" อันนี้น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ที่ทำให้ไทยต้องรอคอยแชมป์รายการนี้กันต่อไป "วินฟรีด เชเฟอร์" ประกาศตั้งแต่จบซูซูกิคัพ แล้วว่าการแข่งขันคิงส์คัพตัวหลักๆได้พักแน่ เพราะจะให้โอกาสนักฟุตบอลคนอื่นๆ ลงสนามบ้าง

    พูดแบบนี้สโมสรใหญ่ก็ยิ้มสิครับ เพราะไม่ต้องส่งนักเตะคนสำคัญไปเสี่ยงกับอาการบาดเจ็บ แต่พอเข้าแคมป์ก็เกิดปัญหาถอนตัวกันเป็นทิวแถว ถึงจุดนี้จะหันกลับไปเรียกตัวเดิมๆ ให้มาช่วยทีมก็กระไรอยู่ เลยต้องหาตัวแทนกันให้จ้าละหวั่น แว่วๆ มาว่าต้องโทรศัพท์ไปเรียกผู้เล่นมาเสริมตอนเที่ยงคืนกันเลยทีเดียว

    ประเด็นนี้ผมขอขยายอีกนิดนะครับ เพราะรู้สึกคาใจพอสมควร หากใครได้ชมเกมที่ทีมชาติไทยลงเล่นกับฟินแลนด์และเกาหลีเหนือในรายการนี้ น่าจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "เราสู้ได้"

    เลยมาลองคิดดูว่าหากมีตัวผู้เล่นตัวหลักๆ อยู่ในทีมบ้าง โอกาสที่เราจะได้ชูถ้วยก็ไม่ใช่เรื่องยากเหมือนกัน ที่กล่าวแบบนี้ไม่ใช่ชุดที่ลงเล่นในคิงส์คัพไม่มีศักยภาพ แต่เชื่อว่าประเทศไทยมีนักเตะที่ดีกว่านี้ครับ และอย่างน้อยก็จะทำให้ทีมชุดหลักจากซูซูกิคัพได้ลงเล่นร่วมกับตัวสำรองอื่นๆ เพื่อเป็นการทดลองทีมรอลุยศึกเอเชี่ยนคัพไปในตัว

    ส่วนจะมาอ้างว่ารายการนี้เป็นเพียงเวทีทดลองนักเตะหน้าใหม่ ให้โอกาสลงสนามมากขึ้น อันนี้ผมว่าผิดมหันต์ครับ เพราะอย่าลืมว่าการแข่งขันครั้งนี้ถือการชิง "ถ้วยพระราชทาน" มันนานเกินไปแล้วที่ "ถ้วยพระราชา" ไม่ได้ถูกชูด้วยมือของคนไทย

    โทรฟี่ นี้อาจจะไม่ใช่การแข่งขันระดับโลก แต่ถือเป็นความภาคภูมิใจของคนทั้งชาติ ซึ่งเชื่อว่าถ้าได้แชมป์คิงส์คัพ วินนี่จะได้ใจแฟนบอลไทยอีกมากโข

    นอกจากเรื่องของการเรียกตัวนักเตะแล้ว ในส่วนของ "ระบบการเล่น" ก็ยังเป็นสิ่งที่ผมคาใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "จังหวะการเข้าทำ" ที่ไม่มีความหลากหลายเอาเสียเลย

    3 ประตูที่เกิดขึ้นในคิงส์คัพ ไม่ได้มาจากการสร้างสรรค์เกมแล้วจบสกอร์โดยศูนย์หน้าเลยแม้แต่ลูกเดียว จึงไม่น่าแปลกที่เชเฟอร์โอดครวญคิดถึง "เทพมุ้ย" ธีรศิลป์ แดงดา ที่บินไปสานฝันที่สเปน นี่คือสิ่งที่ชี้วัดแล้วว่าสไตล์การทำทีมของกุนซือชาวเยอรมันใช้ "ความสามารถเฉพาะตัว" มากเกินไป

    สังเกตให้ดีนะครับ ตั้งแต่เชเฟอร์เข้ามาทำทีมชาติไทย เขามักจะลงเล่นด้วยระบบกองหน้าตัวเดียว ไม่ว่าจะเป็นแมตช์อย่างเป็นทางการหรือเกมอุ่นเครื่องก็จะยึดสูตรนี้เป็นหลัก ขนาดอุ่นเครื่องกับทีมที่ไม่มีโปรแกรมเจอใครเลยตลอดปี 2012 อย่างทีมชาติภูฏาน ซึ่งเป็นรองเราทุกกระบวนท่า วินนี่ก็ "ไม่ใจ" จะใช้หน้าคู่ทะลวงตาข่ายคู่แข่ง

    หากอุ่นเครื่องยังไม่เคยลอง ก็อย่าหวังว่าการแข่งขันจริงๆ จะกล้าใช้ เราเลยได้เห็น ชาตรี ฉิมทะเล ลงมาแทน กีรติ เขียวสมบัติ ในสถานการณ์ที่สกอร์ตามหลังฟินแลนด์อยู่ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนกองหน้าแทนกองหน้า ทั้งที่ตามความเป็นจริงของโลกฟุตบอลทีมที่ตามหลังสมควรต้องจัดกองหน้าเข้าไปเพิ่มมิใช่หรือ..??

    ไม่ต้องเป็นกุนซือสมองเพชรหรอกครับ ขนาดผมเล่นเกมคุมทีมFM (Football Manager) ยังจัดหนักกองหน้าลงไปให้พรึ่บหากทีมต้องการประตู...!!

    ด้วยเหตุนี้ สุรชาติ สารีพิมพ์ กับ วสันต์ นาทะสัน จึงถูกเรียกมาวิ่งวอร์มเอาเหงื่่อข้างสนาม แล้วก็ถูกส่งกลับบ้านหลังจบการแข่งขัน...

    ตามมุมมองของผมสองเหตุผลที่ยกมานี้น่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราพลาดแชมป์คิงส์คัพ ซึ่งตอนนี้คืออดีตที่ต้องนำมาเป็นบทเรียนเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก ส่วนสิ่งสำคัญในตอนนี้ที่ต้องเร่งเตรียมรับมือคือการแข่งขันเอเชี่ยนคัพ 2015 รอบคัดเลือกที่เริ่มต้นในเดือนกุมภาพันธ์นี้

อิหร่าน คูเวต และ เลบานอน เราพร้อมจะเจอทีมเหล่านี้แล้วหรือยัง กับการแข่งขันในรอบคัดเลือกทีี่จะพบกันหมดในสายด้วยระบบเหย้า-เยือน

พอเห็นคำว่า "เยือน" แล้วเสียวสันหลังขึ้นมาทันที...

    เชื่อหรือว่าไม่ตั้งแต่ วีนฟรีด เชเฟอร์ เข้ามาคุมทีมชาติไทย นับแค่รายการหลักๆ อย่างฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก และ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2012 "ไทยแลนด์ไม่เคยชนะใครได้เลยในเกมออกไปเยือน" ซึ่งหากยังไม่สามารถทำลายสถิตินี้ได้ก็อย่าหวังเลยว่าจะมีชื่อของไทยเป็น 1 ใน 16  ทีมสุดท้ายในการแข่งขันที่ประเทศออสเตรเลียในปี 2015

    อ่านมาถึงตรงนี้อย่างเพิ่งต่อว่าผมที่จัดหนักจัดเต็มกุนซือเยอรมันผู้เป็นที่รักของใครหลายคนนะครับ เพราะนี่คือความคิดเห็นซึ่งมองมาจากภาพรวม มาติเพื่อก่อ ช่วยเสนอมุมมองทางเลือกให้กว้างเพิ่มมากขึ้นให้กับวงการฟุตบอลของบ้านเรา

    แต่ก็ยังเชื่อว่าคงจะมีหลายคนที่อ่านแล้วเกิดอาการหมั้นไส้ผม และอยากจะพูดทำนองว่า "ทำไมไม่ด่าสมาคมฟุตบอลฯ บ้างล่ะ บริหารงานแบบนี้ เอากุนซือเทวดาที่ไหนมาคุมทีมก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จหรอก"

    จริงครับ...เรื่องของการบริหารงานของสมาคมฟุตบอลชุดนี้มีปัญหามากมายเหลือเกิน นั้นคือสิ่งที่ "นายกสมาคมฟุตบอลฯ" ต้องรับผิดชอบเมื่อทำไม่ได้อย่างที่พูด ซึ่งหลายฝ่ายก็หวังว่าการเลือกตั้งนายกสมาคมฯ ที่ใกล้จะเกิดขึ้นนี้จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น  

    แต่มีอีกคนที่สัญญากับคนไทยเหมือนนายกสมาคมฯ ว่าคิงส์คัพครั้งนี้ "ต้องแชมป์สถานเดียว" เขาคนนั้นคือใครเลื่อนขึ้นไปอ่านย่อหน้าแรก แล้วใครเจอตัวฝากถามให้ทีว่าจะรับผิดชอบคำสัญญาที่ไม่เป็นสัญญานี้อย่างไร...??


เครดิต http://www.hikicker.com/football/news/columnists/5533.html
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่