หลักที่คนไม่ทำตาม/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

กระทู้สนทนา
Credit : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=54951
ขอบคุณ คุณ Thai VI Article    และ ดร.นิเวศน์ครับ
__________________________________________________

โลกในมุมมองของ Value Investor           19 มกราคม 56
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หลักที่คนไม่ทำตาม

เม่าฝึกจิต

   วอเร็น บัฟเฟตต์เคยพูดไว้ว่าหลักการของเขานั้น  “มีคนเอาไปกล่าวอ้างมากมาย  แต่น้อยคนที่จะทำตาม”  มันคงเป็นเรื่องที่ดูดี ดูเท่  สำหรับคนที่อ้างคำพูดของบัฟเฟตต์  แต่ในใจลึก ๆ  แล้ว  เขาคงไม่เชื่อว่าหลักการของบัฟเฟตต์นั้นจะทำกำไรได้ดีเท่ากับแนวคิดและวิธีการของเขาเอง  เขาอาจจะเชื่อว่าสิ่งที่บัฟเฟตต์ทำหรือหลักการของบัฟเฟตต์นั้น  เป็นสิ่งที่ดีสำหรับบัฟเฟตต์  หรือเป็นสิ่งที่ดีในตลาดหุ้นอย่างตลาดหุ้นนิวยอร์ค  หรืออาจจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับนักลงทุนบางคนที่มีเงินมากมหาศาลอย่างบัฟเฟตต์  แต่ไม่ใช่สำหรับเขาที่มีพอร์ตเล็กนิดเดียว  หรือในตลาดหุ้นไทยที่บริษัทส่วนมากเป็นบริษัทขนาดเล็กและถ้าเป็นบริษัทใหญ่คุณภาพก็ไม่ได้โดดเด่นเหมือนอย่างในอเมริกา  ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  เขาก็ไม่ทำตามสิ่งที่บัฟเฟตต์สอนในหลาย ๆ  เรื่อง  ว่าที่จริงในหลาย ๆ  หลักการที่บัฟเฟตต์พูดถึงนั้น  เขากลับทำตรงกันข้าม  ข้ออ้างของเขาก็คือ  วิธีการลงทุนที่ดีที่สุดก็คือวิธีที่ถูกกับ “จริต” หรือสไตล์หรือความชำนาญของตัวเอง  “อย่าไปตีกอล์ฟตามวงของไทเกอร์วู้ด  แต่ตีตามวงสวิงที่เหมาะกับร่างกายหรือความสามารถของตนเอง”  เขาอาจจะพูดแบบนี้   ผมเองคงไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์ว่านั่นเป็นความคิดที่ถูกหรือไม่  แต่อยากจะลองลิสต์ดูรายการที่ VI ไทยจำนวนไม่น้อยคิดและทำที่ดูเหมือนจะไม่ใช่แนวคิดของบัฟเฟตต์เลย
   เรื่องแรกก็คือ  บัฟเฟตต์บอกว่า  การซื้อหุ้นของบริษัทที่ดีเยี่ยมในราคาที่ยุติธรรมนั้น  ดีกว่าการซื้อหุ้นของบริษัทธรรมดาในราคาที่ถูกมาก   แต่ VI น้อยคนที่จะซื้อหุ้นของบริษัทที่ดีมาก  เพราะเขามักจะคิดว่ามัน  “แพง” เสมอ  โดยเฉพาะเมื่อเขาเปรียบเทียบกับอีกบริษัทหนึ่งที่เขากำลังมองอยู่ที่มีราคา “ถูกมาก”   หลายคนอาจจะคิดหรือบอกว่า   เขาคิดว่าการซื้อบริษัทที่ดีมากนั้น  บางทีมันก็อาจจะให้ผลตอบแทนที่ใช้ได้อยู่   แต่เมื่อเทียบกับบริษัทที่ “ถูกมาก” แล้ว  มันก็ให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่า  ในขณะที่ความเสี่ยงที่ราคาจะตกลงมาก็มากกว่าเพราะราคามัน  “สูง”    ดังนั้น  สำหรับเขาแล้ว  การซื้อบริษัทระดับที่รอง ๆ  ลงมาที่มีราคาหุ้นต่ำกว่ามากจึงเป็นสิ่งที่คุ้มค่ากว่า
   เรื่องที่สองคือ  เรื่องของระยะเวลาการลงทุนในหุ้นแต่ละตัว  เรื่องนี้บัฟเฟตต์พูดไว้มากในหลาย ๆ  โอกาส  เริ่มตั้งแต่การโค้ดคำพูดของ ฟิลิปส์ ฟิสเชอร์  ที่ว่า  ถ้าคุณซื้อหุ้นที่ดีเยี่ยมในราคาที่ยุติธรรมได้แล้ว  เวลาที่จะขายหุ้นก็คือ  “ไม่มีวันขาย”  หรือถือตลอดไป   หรือในอีกครั้งหนึ่งบัฟเฟตต์ได้พูดถึงพฤติกรรมการซื้อขายหุ้นของคนในตลาดหลักทรัพย์ว่า  “นานมาแล้ว  เซอร์ไอแซ็ค นิวตัน ได้ค้นพบทฤษฎีของการเคลื่อนไหวของวัตถุสามข้อซึ่งเป็นงานของอัจฉริยะ  แต่ความเป็นอัจฉริยะของเขานั้นไม่ได้ส่งมาถึงเรื่องการลงทุน  เขาขาดทุนอย่างหนักจากเหตุการณ์ฟองสบู่เซ้าท์ซีซึ่งทำให้เขาออกมาพูดว่า  ‘ผมสามารถคำนวณการเคลื่อนไหวของดวงดาวแต่ไม่สามารถวัดความบ้าคลั่งของมนุษย์’   ถ้าเซอร์ไอแซ็คนิวตันไม่ชอกช้ำจากการสูญเสียครั้งนั้นเกินไป  เขาคงสามารถค้นพบกฎข้อที่สี่ของการเคลื่อนไหวนั่นคือ  ‘สำหรับนักลงทุนโดยรวมแล้ว  ผลตอบแทนจะลดลงเมื่อการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น’  ”
   VI ไทยส่วนใหญ่ที่ผมเห็นนั้น  ลงทุนในหุ้นแต่ละตัวค่อนข้างสั้นมาก  น่าจะไม่เกิน 3-4 เดือน  คนที่ลงทุนยาวหน่อยก็อาจจะถึงปี  แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่เกินปีหรือสองปี  จริงอยู่  นี่ก็อาจจะยาวแล้วเมื่อเทียบกับนักเล่นหุ้นทั่วไปที่อาจจะเล่นกันเป็นรายวัน  แต่ถ้าจะบอกว่ามันเป็นการลงทุนที่เน้นในเรื่องของพื้นฐานหรือผลประกอบระยะยาวของธุรกิจตามหลักการแบบ VI แล้ว  ผมคิดว่าไม่ใช่  มันอาจจะเป็นเพียงการ “เล่นเก็งกำไรจากผลประกอบการระยะสั้น”  มากกว่า
   เรื่องที่สามก็คือ  เรื่องของหุ้น  Turnaround  หรือหุ้นที่กำลัง  “ฟื้นตัว”   ซึ่งก็เป็นกลุ่มหุ้นที่กำลังร้อนแรงมากในช่วงนี้  เนื่องจากมันเป็นกลุ่มหุ้นที่มีราคากระโดดขึ้นไปมหาศาลเป็นหลาย ๆ  เท่าตัวในเวลาอันสั้น  บางตัวขึ้นไปถึง 10 เท่าภายในเวลาปีเดียวก็มี   บัฟเฟตต์พูดสั้น ๆ ว่า  “Turnarounds seldom turnaround”  แปลว่าหุ้น “ฟื้นตัว”  นั้น น้อยครั้งที่จะ “ฟื้น”  ถ้าจะขยายความก็คือ  หุ้นกลุ่มนี้มักจะ  “ตาย”  มากกว่ารอด   แต่สำหรับ VI ไทย  โดยเฉพาะในช่วงนี้แล้ว  หุ้น “ฟื้นตัว” มีเพียบ  แทบจะพูดกันว่าตัวไหนจะ “ฟื้นตัว” รายต่อไป   ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมาอย่างโดดเด่นตัวแล้วตัวเล่าพร้อม ๆ  กับกำไรของบริษัทที่กำลังกลับมา  ไม่ว่าจะมาจาก “กิจการใหม่” หรือการ “ปรับโครงสร้างการเงินใหม่”  เป็นตัวยืนยันว่ามันกำลัง “ฟื้น”  เพราะฉะนั้น  ราคามันจะต้องวิ่งอย่างแรง  ดังนั้น  การเข้าไปซื้อลงทุนก่อนก็จะทำเงินได้มหาศาล “หลาย ๆ  เด้ง”  และดังนั้น  หุ้นก็วิ่งขึ้นไปไม่ว่าความจริงของธุรกิจจะเป็นอย่างไร   ถ้าจะพูดแบบคม ๆ  แบบ “วัดรอยบัฟเฟตต์”  เราก็อาจจะพูดว่าในตลาดหุ้นไทยนั้น  “Turnarounds always turnaround” แปลว่า  “หุ้นฟื้นตัวนั้น  ยังไงก็ต้องฟื้น”  ถ้ามีคนเชื่อและทำให้มันฟื้น
   เรื่องที่สี่ที่น่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ  ในการลงทุนนั้น  สิ่งหนึ่งที่บัฟเฟตต์พูดตลอดก็คือเรื่องความซื่อสัตย์ของผู้บริหาร  เขาบอกว่า   “ครั้งหนึ่งมีคนบางคนพูดว่าในการจ้างคนมาทำงานนั้น  คุณมองหาคุณสมบัติสามประการคือ  ความซื่อสัตย์  ความฉลาดเฉลียว และความขยันหมั่นเพียร  และถ้าเขาไม่มีคุณสมบัติข้อแรก  คุณสมบัติอีกสองข้อจะฆ่าคุณ  ลองคิดดู  มันเป็นเรื่องจริง  ถ้าคุณจ้างคนที่ไม่มีคุณสมบัติข้อแรก  คุณก็อยากที่จะให้เขาโง่และขี้เกียจ”  เขายังเคยบอกว่าเขาไม่ต้องการลงทุนกับคนที่ไม่ซื่อสัตย์และไม่เคยประสบความสำเร็จในการลงทุนกับผู้บริหารที่ไว้ใจไม่ได้และมีประวัติที่น่าสงสัย
   สำหรับ VI ไทยนั้น  ผมคิดว่าส่วนใหญ่ก็น่าจะยึดกับหลักการนี้  อย่างน้อยก็เวลาพูด  แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าเวลาเจอกับหุ้นที่ผู้บริหารอาจจะมี “ประวัติ” ที่ดูเหมือนว่าจะไม่ใคร่  “โปร่งใส”  แต่เวลานี้หุ้นดูเหมือนว่ามีราคาถูกมากหรือหุ้นอาจจะกำลัง  “ฟื้นตัว”  เขาจะยังสามารถยึดอยู่กับหลักการ  “ไม่เกี่ยวข้อง”  ได้หรือเปล่า    VI หลายคนอาจจะเปลี่ยนใจหรือไม่ก็อาจจะอ้างว่าพฤติกรรมที่ถูกกล่าวขวัญอาจจะไม่ชัดเจน  บางทีก็อาจจะดูว่าผู้บริหารอื่นก็ทำกัน  มากบ้างน้อยบ้างเป็นเรื่อง “ปกติ”   ที่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ต่อให้ไม่น่าไว้วางใจยังไงก็ตาม  กำไรหรือผลประกอบการที่กำลังเกิดขึ้นนั้น  มันก็อาจจะคุ้มค่าอยู่ดี  กล่าวโดยสรุปก็คือ  เขาพร้อมจะ “หรี่ตาข้างหนึ่ง”  และเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นที่ผู้บริหารอาจจะออก  “สีเทา” เพราะเขาคิดว่า  โอกาสทำเงินนั้นสูงลิ่ว  ว่าที่จริง  การที่ผู้บริหารเป็นแบบนี้  ในใจเขากลับคิดว่าจะทำให้ราคาหุ้นมักจะวิ่งได้แรงและเร็วยิ่งกว่าที่ผู้บริหารยึดแต่ธรรมาภิบาลเป็นไหน ๆ  เพราะผู้บริหารที่ขาดธรรมาภิบาลนั้น  มักจะเข้ามาร่วม  “เล่นหุ้น”  ด้วย
   ทั้งหมดนั้นก็เป็นบางส่วนของคำพูดหรือหลักการที่คนชอบพูดแต่ไม่ใคร่จะปฏิบัติโดยอ้างเหตุยกเว้นและความไม่เหมาะสมกับสภาพและสถานการณ์ของตลาด  การที่คนปฏิบัติในทางตรงกันข้ามนั้น  แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีเหตุผล  ตรงกันข้าม  เขาอาจจะมีประสบการณ์ที่ดี ๆ  จากการทำแบบนั้น  พูดง่าย ๆ  สามารถทำกำไรได้มากกว่าจากการทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่บัฟเฟตต์สอน  อย่างไรก็ตาม  ข้อเตือนใจของผมก็คือ  ผลการลงทุนที่ดีในช่วงเวลาหนึ่งนั้น  อาจจะไม่ใช่เครื่องพิสูจน์ว่าหลักการถูกต้อง   มันต้องอาศัยเวลาที่ยาวนาน  หลักการของบัฟเฟตต์หรือของ “เซียน” ระดับโลกนั้น  ส่วนใหญ่แล้วถูกทดสอบมายาวนานว่าได้ผลดีและผมเชื่อว่าไม่ใคร่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์หรือตลาดแต่ละแห่ง



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่