เมื่อวันนี้ ฉันมีความฝัน (มือใหม่หัดเขียนนะครับ :)

เร็วๆมานี้ ผมได้ดูโฆษณาชุดหนึ่ง ซึ่งเป็นของธนาคารแห่งหนึ่งในประเทศไทย
ซึ่งใช้ชื่อโฆษณาชุดนี้ว่า “ศึกแม่มดขาว”
เนื้อหาของโฆษณาก็ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก หากคนที่ได้ดูมาแล้ว
คงจะเข้าใจเนื้อหานั้นอย่างไม่ยากนัก
การดำเนินเนื้อเรื่องมันอาจจะเกิดจากปมในใจของเด็กน้อย
ที่ต้องการที่จะเอาชนะอุปสรรค์ของชีวิตตัวเอง รวมถึงการที่มีความฝัน
ฝันที่อยากจะเป็นนักเขียน โดยไม่สนว่าร่างกายตัวเองจะเป็นอย่างไร
แต่เขาก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะเดินตามความฝันนั้นต่อ

มันทำให้ผมมานั่งคิดอะไร เกี่ยวกับตัวผมเอง แล้วก็หลายๆคน ที่ผมรู้จักได้นะครับ
ผมเชื่ออย่างหนึ่ง ว่าหลายๆคน ล้วนมีโลกใบหนึ่ง ที่มีชื่อเรียกอันคุ้นหูว่า “ความฝัน”
ด้วยกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่วินมอไซค์ หรือคนขับรถเมล์เองก็ตามเถอะ
แม้ว่าในโลกแห่งความจริง อาจไม่ใช่ทุกคน ที่จะสามารถเดินตามเส้นทางของความฝัน
จนไปถึงฝันนั้นได้ แต่ความฝันหลายๆความฝัน ผมคิดว่า
มันก็เป็นตัวผลักดันที่ดีเยี่ยม ในการช่วยพัฒนา โลก และสังคม ให้ก้าวไกลมากขึ้นกว่าเดิม

ตัวผมเองคนหนึ่งแหละ ที่เติบโตมากับคำนี้ คำว่า “ความฝัน”  
และผมก็ค้นพบตัวเองอย่างหนึ่งว่า “ความฝัน” ของผมนั้น
มันมักจะเปลี่ยนไปตามช่วงอายุที่เราโตขึ้น
ในวัยเด็ก แบบ เด็กๆเลย ประมาณช่วงอนุบาล ช่วงนั้น ผมฝัน อยากเป็นยอดมนุษย์
เพื่อจะได้คอยกำจัดคนชั่ว แต่เมื่อผมโตขึ้นมาหน่อย ความคิดที่มีมากขึ้น
มันทำให้ผมรู้ว่า ยอดมนุษย์ไม่มีจริง ความฝันนั้นจึงหายไป
พอเข้าสู่ช่วงวัยของประถม ความฝันที่กว้างใหญ่ระดับจักรวาล ก็ถูกย่นย่อ
ลงมาเหลือแค่ระดับนอกโลก... “นักบินอวกาศ”
นั้นเป็นความฝันช่วงสมัยประถมของผม ผมไม่แน่ใจว่าทำไมถึงอยากเป็นนักบินอวกาศ
แต่แรงบันดาลใจมันอาจจะมาจากการที่ยุคนั้น “นีล ออลเดน อาร์มสตรอง”
นักบินอวกาศที่หลายคนบนโลกรู้จัก ได้ไปเหยียบพื้นผิวของดวงจันทร
เป็นคนแรกของโลก พร้อมทิ้งคำพูดที่สวยหรูเอาไว้ จนถึงทุกวันนี้ ผมยังจำได้ดี กับคำพูดที่ว่า

“That's one small step for [a] man, one giant leap for mankind “ หรือแปลเป็นไทยว่า
“การก้าวนี้เป็นก้าวเล็ก ๆ แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ”

ครับ ผมเองก็อยากมีก้าวที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นบ้าง แต่เมื่อรู้ว่า
ก้าวบางก้าวมันไกลเกินไป ความฝันในช่วงวัยมัธยม จึงเปลี่ยนไปอีกครั้ง
วัยมัธยม เนื่องจากชอบทำอะไรบ้าๆ ห้าวๆ พิเรนๆ
ตอนนั้นความฝันเลยเพียงแค่ “อยากเป็นคนดัง”
ไม่รู้แหละ ดังเรื่องอะไรซักเรื่อง ขอแค่เป็นคนดังพอ (ความคิดแบบโครตจะเด็กๆมากกก)
จนเมื่อเข้าสู่ช่วงที่เรียนโรงเรียนประจำ
เหมือนความฝันทีเคยๆฝันไว้ ต้องพังทลายลง ด้วยกรอบแห่งคำว่า “กฎ ระเบียบ”
สามปีที่เรียนโรงเรียนประจำ มันทำให้ผมทิ้งความฝันไปเลยนะ
เพียงแค่ผมต้องการแค่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ ให้จบออกไปมีงานทำก็พอแล้ว
ไม่รู้ว่าเพราะโลกแห่งความจริงของผม มันได้ขยายตัวใหญ่ขึ้น
จนไปเบียดเบียนโลกแห่งความฝันรึเปล่า จึงทำให้โลกความฝันของผมนั้น เล็กลงไป
จนหลังจากที่จบมา เริ่มต้นทำงานเมื่อปีที่แล้วนี้เอง ไอ้เจ้า “ความฝัน”
มันก็กลับมาอีกครั้ง คราวนี้มันดูเหมือนจะเป็นอะไรที่เราเริ่มจะจับต้องได้แล้ว
มันไม่ยิ่งใหญ่เกินไป และมันไม่เกินความสามารถ ถ้าเราจะทำ..

ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าการที่เพิ่งจะเริ่มต้นยื่นมือเข้าไป
เพื่อดึงโลกแห่งความฝัน ในช่วงที่อายุเดินทางมาจนถึงป่านนี้แล้ว
มันจะช้ามากเกินไปหรือไม่ เรื่องนั้นผมไม่ได้สนใจ แต่ประเด็นมันอยู่ที่
“ตอนนี้” ผมรู้แล้ว ว่าความฝันของผมคืออะไร และ ผมได้เริ่มต้นทำมันแล้ว
ได้ทำมันด้วยสองมือของผมนี่เอง ผมเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าผมจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
นับจากนี้ไป มันอาจจะต้องล้มบ้าง หรือมีเรื่องให้ท้อแท้บ้าง
หรือในบางที มันอาจจะไปไม่ถึงฝั่ง แต่นั้นมันไม่สำคัญ
ผมเองมีคติประจำใจ ที่มักจะบอกตัวเอง และใครต่อใครที่ผมรู้จักเสมอ
ผมชอบคำพูด คำพูดหนึ่งที่ว่า

“เราจงทำในสิ่งที่เรา รัก เพราะถึงแม้เราจะล้มเราก็ล้ม อยู่ท่ามกลางสิ่งที่เรารัก  ”

ครับ ถ้าวันนี้ เรารู้ตัวแล้ว ว่าความฝัน ของเราคืออะไร จงลงมือทำมันเถอะครับ
ทำมัน ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ ในขณะที่ร่างกายเรายังครบ 32 อยู่
มันไม่มีคำว่าสายหรอกครับ สำหรับการเริ่มต้น
ผมเคยทิ้งความฝันบางความฝันให้หลุดมือผมไปแล้ว
ผมจะไม่มีทางปล่อยให้มันหลุดมือไปอีก
เอาละครับ เรามาเชื่อมต่อโลกความจริง และโลกความฝัน
ให้มันเป็นโลกใบเดียวกันดีกว่า

-          ขอบคุณ โฆษณา KBank  ชุด ศึกแม่มดขาว ที่เป็นแรงบัลดาลใจในการเขียนบทความชิ้นนี้



-- ไข่คุง --
19 / 1 / 2556





ป.ล. ผมติดเทคไว้ ถนนนักเขียน » แต่งเรื่องสั้น กับ ห้องสมุด » เรื่องสั้น ถูกต้องไหมครับ
ผมยังไม่เข้าใจความหมายของการติดเทคมากเท่าไร ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่