ก่อนอื่นต้องขออนุญาติคุณ drv นะครับ ที่เอาถือวิสาสะเอารูปรถมาโชว์เพื่อประกอบกระทู้ พอดีดูรูปแล้วเห็นจานโรเตอร์พอดีเลยขอยืมภาพมาก่อน
สำหรับท่านที่ไม่ทราบว่าจานโรเตอร์คืออะไร จานโรเตอร์คือชุดจานหน้าที่ผ่านการค้นคว้าทดลองผลิตออกเป็นจานเบี้ยวรูปไข่(นิดๆ)ตามการทดสอบว่าทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงในการส่งแรงในการปั่นจักรยาน คือจานหน้าของจักรยานทั่วๆไปจะเป็นจานรูปกลมแต่จะมีจานหน้าพิเศษบางประเภทที่ทดลองออกแบบมาให้ไม่กลม เพื่อให้นักแข่งได้เปรียบเชิงกลในการออกแรงได้เหนือกว่าคู่แข่ง เอาสั้นๆแค่นี่ก่อนครับ
ช่วงหลังๆจานแบบนี้เริ่มเป็นที่นิยมมากในกลุ่มนักปั่นหลายๆท่าน ผมก็เลยเริ่มสงสัยประสิทธิภาพของมันว่าดีจริงหรือเปล่า อยากหามาทดลองบ้าง แต่ติดตรงที่ราคาทั้งชุดของมันยังสูงพอสมควร (2xxxx up) ในที่สุดก็คิดขึ้นได้ว่า หาเฉพาะใบจานใบเล็กมาทดลองเปลี่ยนคู่กับจานใหญ่เดิมไปก่อนก็น่าจะได้ ในงบประมาณที่ถูกลงกว่าทั้งชุดใหญ่ประมาณ 10 เท่า ลองทดสอบมาได้ช่วงเวลานึงเลยเอามาเล่าให้ฟังครับ
ปกตินักปั่นบ้านๆทั่วไปเวลาปั่นจักรยานก็จะใช้วิธีเหยียบกดขาบันไดซ้ายทีขวาทีสลับกันไป ซึ่งวิธีนี้จะมีการสูญเสียจังหวะออกแรงไปในตอนที่เหยียบลงไปสุดแล้วดึงขาขึ้นเปล่าๆ ต่อมามีการพัฒนาขึ้นโดยการพยายามยามยึดเท้าให้ติดแนบสนิทกับแป้นบันไดโดยใช้ตะกร้อมาครอบปลายเท้าไว้แล้วก็พัฒนาต่อไปเป็นบันไดคลีตยึดติดกับพื้นรองเท้าแบบพิเศษไปเลย เพื่อให้สามารถนำแรงตอนที่เรายกขาขึ้นมาใช้ในการส่งแรงไปยังรถได้เพิ่มขึ้นมาอีกด้วย ซึ่งต่อมาก็พัฒนาวิธีการปั่นจักรยานจนกระทั่งกลายเป็นสี่ขั้นตอนในการออกแรงขาต่อหนึ่งรอบ คือ กด-ปาด-ดึง-ไส หรือที่เรียกกันว่าการควงขานั่นเอง เป็นการออกแรงส่งไปยังขาจานตลอดเวลาในทุกๆรอบการปั่น เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการออกแรงสูงสุด
แต่เนื่องจากกล้ามเนื้อขาแต่ละชุดในการออกแรงขา กด-ปาด-ดึง-ไส แข็งแรงไม่เท่ากันทำให้มีการคิดค้นออกแบบว่าจานหน้าไม่ต้องกลมก็ได้ แต่ออกแบบให้ช่วงที่ใช้กล้ามเนื้อขาที่มีแรงน้อยก็ทดเฟืองให้ใช้แรงน้อยๆ แต่ช่วงกดขาที่กล้ามเนื้อมีกำลังมากก็ทดเฟืองให้สามารถส่งแรงไปได้เต็มที่ ผลการออกแบบก็คือจานเบี้ยวรูปไข่ที่ฟิกส์ตำแหน่งกับขาจานให้ตรงกับการธรรมชาติของการออกแรงจริงของนักปั่นนั่นเอง
ผลการทดสอบส่วนตัวของผมที่ได้ทดลองใช้จานเบี้ยวโรเตอร์ใบเล็กนี้มาระยะทางประมาณเกือบ 200 กม. ได้ผลดังนี้ครับ คือมันให้ประสิทธิภาพการปั่นได้สูงกว่าจริง ปกติการปั่นจักรยานโดยใช้บันไดคลีตจะรู้สึกว่ามีจังหวะช่วงนึงที่สูญเสียแรงขณะกดและยกขาขึ้น ถ้าพยายามตั้งใจปั่นแบบควงขาจังหวะสูญเสียแรงนี้ก็จะลดน้อยลง แต่พอเปลี่ยนมาใช้จานเบี้ยวโรเตอร์จังหวะการสูญเสียแรงนี้จะหายไปคือไม่ว่าจะออกแรงอย่างไรมันก็จะส่งแรงไปได้อย่างต่อเนื่องทุกรอบขา คือถ้าไม่บอกคนปั่นว่ากำลังปั่นจานเบี้ยวอยู่ คนปั่นจะรู้สึกเหมือนกำลังปั่นจานกลมทุกอย่างครับ เพียงแต่รู้สึกว่ามันเบาแรงกว่าและเหนื่อยน้อยลง แต่ถ้าตั้งใจมองลงไปที่โซ๋และจานหน้าจะเห็นว่าโซ่และจานมันขึ้นๆลงๆตามความเบี้ยวของจานให้ตรงกับจังหวะการปั่นขณะนั้น ผลที่ได้ก็เหนื่อยน้อยลงปั่นได้นานขึ้นไกลขึ้นเร็วขึ้น
ที่สังเกตุเห็นอีกอย่างก็คือ เนื่องจากผมเปลี่ยนจานหน้าเป็นจานเบี้ยวขนาดจำนวนเฟืองเท่าเดิมคือ 34 ฟัน ตอนใช้จานกลมเดิมสามารถใช้เฟืองหลังได้ประมาณอันกลางๆ แต่พอเปลี่ยนมาใช้จานเบี้ยวแล้วออกแรงเท่าเดิมกลับสามารถเปลี่ยนไปใช้เฟืองหลังอันเล็กสุด ทำให้ปั่นได้ความเร็วสูงขึ้นมาก ผมมานั่งวิเคราะห์ดูน่าจะเป็นเพราะจานเบี้ยวมีจำนวนเฟืองเท่าเดิมแต่ออกแบบให้รัศมีจานแคบลงในบางช่วงก็เลยทดมาใช้เฟืองหลังได้เล็กลงแต่พอช่วงที่จานเบี้ยวมีรัศมีกว้างขึ้นก็ไปตรงกับจังหวะที่เราใช้กล้ามเนื้อที่มีกำลังสูงออกแรงพอดี เลยไม่รู้สึกว่าหนักแรงขึ้น แต่กลับออกแรงปั่นได้ต่อเนื่องในทุกๆรอบจังหวะการออกแรงนั่นเอง
อย่างที่ผมเคยเขียนไว้ครับ จักรยานเป็นเรื่องของการออกแรงมาร่วมกับหลักฟิสิกส์ในการออกแบบอุปกรณ์ ถ้าคุณแรงดีใช้อุปกรณ์อะไรก็แรงได้ แต่ถ้ามีแรงจำกัดการใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงๆ(แพงๆ)ก็ทำให้สามารถใช้แรงนั้นออกมาได้อย่างมีประสิทธิผลสูงกว่าใช้อุปกรณ์พื้นๆธรรมดา ทีนี้ก็แล้วแต่นักปั่นแต่ละท่านละครับว่าจะเลือกใช้อุปกรณ์แพงระดับไหนให้เหมาะกับความต้องการและกระเป๋าเงินของตัวเอง
คุยกันเรื่องจานโรเตอร์ ไสยศาสตร์มีจริง
ก่อนอื่นต้องขออนุญาติคุณ drv นะครับ ที่เอาถือวิสาสะเอารูปรถมาโชว์เพื่อประกอบกระทู้ พอดีดูรูปแล้วเห็นจานโรเตอร์พอดีเลยขอยืมภาพมาก่อน
สำหรับท่านที่ไม่ทราบว่าจานโรเตอร์คืออะไร จานโรเตอร์คือชุดจานหน้าที่ผ่านการค้นคว้าทดลองผลิตออกเป็นจานเบี้ยวรูปไข่(นิดๆ)ตามการทดสอบว่าทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงในการส่งแรงในการปั่นจักรยาน คือจานหน้าของจักรยานทั่วๆไปจะเป็นจานรูปกลมแต่จะมีจานหน้าพิเศษบางประเภทที่ทดลองออกแบบมาให้ไม่กลม เพื่อให้นักแข่งได้เปรียบเชิงกลในการออกแรงได้เหนือกว่าคู่แข่ง เอาสั้นๆแค่นี่ก่อนครับ
ช่วงหลังๆจานแบบนี้เริ่มเป็นที่นิยมมากในกลุ่มนักปั่นหลายๆท่าน ผมก็เลยเริ่มสงสัยประสิทธิภาพของมันว่าดีจริงหรือเปล่า อยากหามาทดลองบ้าง แต่ติดตรงที่ราคาทั้งชุดของมันยังสูงพอสมควร (2xxxx up) ในที่สุดก็คิดขึ้นได้ว่า หาเฉพาะใบจานใบเล็กมาทดลองเปลี่ยนคู่กับจานใหญ่เดิมไปก่อนก็น่าจะได้ ในงบประมาณที่ถูกลงกว่าทั้งชุดใหญ่ประมาณ 10 เท่า ลองทดสอบมาได้ช่วงเวลานึงเลยเอามาเล่าให้ฟังครับ
ปกตินักปั่นบ้านๆทั่วไปเวลาปั่นจักรยานก็จะใช้วิธีเหยียบกดขาบันไดซ้ายทีขวาทีสลับกันไป ซึ่งวิธีนี้จะมีการสูญเสียจังหวะออกแรงไปในตอนที่เหยียบลงไปสุดแล้วดึงขาขึ้นเปล่าๆ ต่อมามีการพัฒนาขึ้นโดยการพยายามยามยึดเท้าให้ติดแนบสนิทกับแป้นบันไดโดยใช้ตะกร้อมาครอบปลายเท้าไว้แล้วก็พัฒนาต่อไปเป็นบันไดคลีตยึดติดกับพื้นรองเท้าแบบพิเศษไปเลย เพื่อให้สามารถนำแรงตอนที่เรายกขาขึ้นมาใช้ในการส่งแรงไปยังรถได้เพิ่มขึ้นมาอีกด้วย ซึ่งต่อมาก็พัฒนาวิธีการปั่นจักรยานจนกระทั่งกลายเป็นสี่ขั้นตอนในการออกแรงขาต่อหนึ่งรอบ คือ กด-ปาด-ดึง-ไส หรือที่เรียกกันว่าการควงขานั่นเอง เป็นการออกแรงส่งไปยังขาจานตลอดเวลาในทุกๆรอบการปั่น เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการออกแรงสูงสุด
แต่เนื่องจากกล้ามเนื้อขาแต่ละชุดในการออกแรงขา กด-ปาด-ดึง-ไส แข็งแรงไม่เท่ากันทำให้มีการคิดค้นออกแบบว่าจานหน้าไม่ต้องกลมก็ได้ แต่ออกแบบให้ช่วงที่ใช้กล้ามเนื้อขาที่มีแรงน้อยก็ทดเฟืองให้ใช้แรงน้อยๆ แต่ช่วงกดขาที่กล้ามเนื้อมีกำลังมากก็ทดเฟืองให้สามารถส่งแรงไปได้เต็มที่ ผลการออกแบบก็คือจานเบี้ยวรูปไข่ที่ฟิกส์ตำแหน่งกับขาจานให้ตรงกับการธรรมชาติของการออกแรงจริงของนักปั่นนั่นเอง
ผลการทดสอบส่วนตัวของผมที่ได้ทดลองใช้จานเบี้ยวโรเตอร์ใบเล็กนี้มาระยะทางประมาณเกือบ 200 กม. ได้ผลดังนี้ครับ คือมันให้ประสิทธิภาพการปั่นได้สูงกว่าจริง ปกติการปั่นจักรยานโดยใช้บันไดคลีตจะรู้สึกว่ามีจังหวะช่วงนึงที่สูญเสียแรงขณะกดและยกขาขึ้น ถ้าพยายามตั้งใจปั่นแบบควงขาจังหวะสูญเสียแรงนี้ก็จะลดน้อยลง แต่พอเปลี่ยนมาใช้จานเบี้ยวโรเตอร์จังหวะการสูญเสียแรงนี้จะหายไปคือไม่ว่าจะออกแรงอย่างไรมันก็จะส่งแรงไปได้อย่างต่อเนื่องทุกรอบขา คือถ้าไม่บอกคนปั่นว่ากำลังปั่นจานเบี้ยวอยู่ คนปั่นจะรู้สึกเหมือนกำลังปั่นจานกลมทุกอย่างครับ เพียงแต่รู้สึกว่ามันเบาแรงกว่าและเหนื่อยน้อยลง แต่ถ้าตั้งใจมองลงไปที่โซ๋และจานหน้าจะเห็นว่าโซ่และจานมันขึ้นๆลงๆตามความเบี้ยวของจานให้ตรงกับจังหวะการปั่นขณะนั้น ผลที่ได้ก็เหนื่อยน้อยลงปั่นได้นานขึ้นไกลขึ้นเร็วขึ้น
ที่สังเกตุเห็นอีกอย่างก็คือ เนื่องจากผมเปลี่ยนจานหน้าเป็นจานเบี้ยวขนาดจำนวนเฟืองเท่าเดิมคือ 34 ฟัน ตอนใช้จานกลมเดิมสามารถใช้เฟืองหลังได้ประมาณอันกลางๆ แต่พอเปลี่ยนมาใช้จานเบี้ยวแล้วออกแรงเท่าเดิมกลับสามารถเปลี่ยนไปใช้เฟืองหลังอันเล็กสุด ทำให้ปั่นได้ความเร็วสูงขึ้นมาก ผมมานั่งวิเคราะห์ดูน่าจะเป็นเพราะจานเบี้ยวมีจำนวนเฟืองเท่าเดิมแต่ออกแบบให้รัศมีจานแคบลงในบางช่วงก็เลยทดมาใช้เฟืองหลังได้เล็กลงแต่พอช่วงที่จานเบี้ยวมีรัศมีกว้างขึ้นก็ไปตรงกับจังหวะที่เราใช้กล้ามเนื้อที่มีกำลังสูงออกแรงพอดี เลยไม่รู้สึกว่าหนักแรงขึ้น แต่กลับออกแรงปั่นได้ต่อเนื่องในทุกๆรอบจังหวะการออกแรงนั่นเอง
อย่างที่ผมเคยเขียนไว้ครับ จักรยานเป็นเรื่องของการออกแรงมาร่วมกับหลักฟิสิกส์ในการออกแบบอุปกรณ์ ถ้าคุณแรงดีใช้อุปกรณ์อะไรก็แรงได้ แต่ถ้ามีแรงจำกัดการใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงๆ(แพงๆ)ก็ทำให้สามารถใช้แรงนั้นออกมาได้อย่างมีประสิทธิผลสูงกว่าใช้อุปกรณ์พื้นๆธรรมดา ทีนี้ก็แล้วแต่นักปั่นแต่ละท่านละครับว่าจะเลือกใช้อุปกรณ์แพงระดับไหนให้เหมาะกับความต้องการและกระเป๋าเงินของตัวเอง