The New Elite/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

กระทู้สนทนา
Credit : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=54900
ขอบคุณ คุณ Thai VI Article    และ ดร.นิเวศน์ครับ
__________________________________________________

โลกในมุมมองของ Value Investor      12 มกราคม 56
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
The New Elite

เม่าอ่านหนังสือพิมพ์

   เมื่อผมยังเป็นเด็กนั้น  คนที่เป็น  “ชนชั้นนำ”  หรือที่เรียกกันว่า Elite ในภาษาอังกฤษนั้น  ที่สูงที่สุดน่าจะอยู่ในแวดวงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่รวมถึงนายทหารชั้นสูงที่มี  “นามสกุล”  ที่เก่าแก่เป็นที่รู้จักกันในสังคม  พวกเขามีทรัพย์สมบัติมากกว่าคนทั่วไปมากโดยเฉพาะในส่วนที่เป็นที่ดินในทำเลทองของกรุงเทพ  ลูกหลานของพวกเขามักเล่าเรียนในโรงเรียนชั้นนำของประเทศและถ้าเป็นเด็กผู้ชายก็จะย้ายไปอยู่โรงเรียนประจำในต่างประเทศเมื่ออายุอาจจะซัก 12-15 ขวบ  และหลังจากนั้นก็อาจจะเข้าเรียนระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่มีชื่อเสียงระดับโลก  หลังจากนั้น  หลายคนก็กลับมารับราชการและอาจจะเล่นการเมืองจนมีตำแหน่งใหญ่โตมีชื่อเสียง  นั่นก็คืออีลิทชั้นสูงที่สุดซึ่งก็มีจำนวนน้อยมาก

   อีลิทระดับรองลงมาที่มีจำนวนมากกว่าและ  “มาแรงกว่า”  ก็คือ  กลุ่มเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ได้เริ่มสะสมความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  จากการที่เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว  คนกลุ่มนี้มักเป็นคน  “รุ่นที่สอง” ของชาวจีนอพยพที่เข้ามาริเริ่มธุรกิจที่ยังมีไม่มากนักในเมืองไทย  พวกเขาเริ่มเรียนรู้ที่จะ  “สร้างสถานะ”  ทางสังคมในด้านต่าง ๆ  โดยอิงกับธุรกิจและการมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่อยู่ในกลุ่มอีลิทชั้นสูงและพวกเดียวกัน  ลูกหลานของอีลิทในกลุ่มนี้มักเล่าเรียนในโรงเรียนเอกชนชั้นนำของประเทศเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนในเครือคาทอลิกซึ่งมีประมาณ 7-8 แห่งทั้งโรงเรียนชายและหญิง  ซึ่งโรงเรียนเหล่านี้ก็มักจะรับนักเรียนจากพ่อแม่ที่เคยเป็นศิษย์เก่าทำให้ภาพของโรงเรียนกลายเป็นโรงเรียนของอีลิทไปด้วย   เด็กเหล่านี้เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยก็มักจะเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ  บางคนที่สอบเอนทร้านซ์ไม่ติดก็เดินทางไปเรียนต่อในต่างประเทศที่เจริญแล้ว  เฉพาะอย่างยิ่งก็คืออเมริกาและอังกฤษ

   เวลาผ่านไปพร้อม ๆ  กับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยมหาศาล  ระบบการเมืองก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น  ข้าราชการที่เคยมีบทบาทและบารมีสูงส่งถูกลดบทบาทลงเรื่อย ๆ  ในขณะที่นักการเมืองที่มักจะมาจากประชาชนธรรมดากลับมีอำนาจมากขึ้นและมากขึ้น  ในด้านของนักธุรกิจเองนั้น  พวกเขาก็เติบโตและร่ำรวยขึ้นมากกว่า  “เศรษฐีและผู้ดีเก่า”  อย่างเทียบกันไม่ได้  เหล่านี้ทำให้อีลิทที่เป็นชนชั้นนำรุ่นแรกที่กล่าวถึงลดสถานะลง  ว่าที่จริงถ้ามีแต่  “นามสกุลเก่า”  แต่ไม่ได้ร่ำรวยมากแล้ว  ความเป็นอีลิทก็อาจจะถือได้ว่าหมดไปแล้ว  “อีลิทรุ่นใหม่”  ที่มักประกอบด้วยเจ้าของธุรกิจ  “สมัยใหม่”  ที่มีขนาดใหญ่ในวันนี้ไม่ได้มี  “นามสกุลเก่า”    พวกเขามีนามสกุลยาวที่อาจจะตั้งขึ้นมานาน 2-3 ชั่วอายุคน   ครอบครัวไม่มีประวัติที่เกี่ยวข้องกับงานราชการและก็ไม่สนใจที่จะทำราชการยกเว้นว่าอาจจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับรัฐในฐานะของนักการเมืองสำหรับบางคน

   ลูกของคนที่เป็นอีลิทรุ่นใหม่นั้น  ผมคิดว่าพวกเขาจะเริ่มเรียนในโรงเรียนอินเตอร์มากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ  หลายคนก็อาจจะส่งลูกไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่เด็ก  แต่การส่งลูกเข้าเรียนในโรงเรียนคาทอลิกอย่างที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้น่าจะค่อย ๆ ลดลง   การมีลูกเรียนในโรงเรียนแบบไทยนั้นในไม่ช้าผมคิดว่าจะไม่ใช่หนทางของอีลิทรุ่นใหม่อีกต่อไป  คนที่ร่ำรวยมาก ๆ  และถือว่าเป็นอีลิทในวันนี้ที่ผมเห็นดูเหมือนว่าจะส่งลูกเข้าเรียนในโรงเรียนอินเตอร์ที่เปิดขึ้นมามากมาย  บางคนก็ส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ  ในโรงเรียนอินเตอร์ที่ “แพงและโดดเด่น”  บางแห่งนั้น  เวลานี้เต็มไปด้วยเด็กที่พ่อแม่มีฐานะร่ำรวยมหาศาลและอาจจะต้องการที่จะให้ลูกได้อยู่ในบรรยากาศและเพื่อนที่มีพ่อแม่เป็นอีลิท  ดังนั้น  เราก็พอจะคาดได้ว่าเด็กเหล่านี้ที่จะกลายเป็นอีลิทในอนาคตจะเป็นคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก  พวกเขาจะ  “โกอินเตอร์”  อย่างเป็นเรื่องปกติโดยใช้ภาษาอังกฤษที่มีการใช้กันแพร่หลายเพิ่มขึ้นทั่วโลก

   ภาษาจีนที่อาจจะมีคนคิดว่าเราต้องรู้เพื่อสื่อสารติดต่อกับคนจีนที่มีกว่าพันล้านคนและธุรกิจของจีนที่กำลังเติบโตขึ้นมหาศาลและคงเป็นอันดับหนึ่งของโลกในที่สุดนั้น  ผมไม่คิดว่าอีลิทรุ่นใหม่จะสนใจเรียนรู้มากนัก  เหตุผลก็คือ  การติดต่อกับธุรกิจจีนโดยเฉพาะที่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่นั้น  สามารถติดต่อเป็นภาษาอังกฤษได้เนื่องจากคนจีนเองก็จะต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษ  การที่อีลิทรุ่นใหม่จะเรียนรู้ภาษาจีนนั้นจึงไม่น่าจะ  “คุ้มค่า”   พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมหวนนึกถึงเพื่อนนักเรียนร่วมสมัยของผมที่เรียนภาษาฝรั่งเศสและสเปนที่ป่านนี้อาจจะมีโอกาสใช้ให้เป็นประโยชน์น้อยมาก  เช่นเดียวกับภาษาญี่ปุ่นที่ผมคิดว่าไม่น่าจะสามารถทำเงินหรือเป็นประโยชน์มากนัก  เหตุผลที่ภาษาอื่น ๆ  มีการพูดในระดับสากลน้อยลงนั้นผมคิดว่าเป็นเพราะภาษาอังกฤษนั้นเป็นภาษาที่  “ชนะ”  และเมื่อมันชนะมันก็จะได้เปรียบมากขึ้น  มันก็คล้าย ๆ  เครือข่ายสังคมที่ถ้ามีคนเข้ามาร่วมมากขึ้นก็ทำให้คนใหม่ ๆ  อยากเข้ามาร่วมมากขึ้น  และทำลายเครือข่ายที่เล็กกว่าในที่สุด  ด้วยเหตุผลแบบนี้   ผมจึงคิดว่าการเรียนภาษาจีนอาจจะไม่คุ้ม  และถ้าจะให้เลือกว่าเราสามารถใช้ภาษาอังกฤษที่ดีมากภาษาเดียว  กับการที่ใช้ได้สองภาษาแบบงู ๆ ปลา ๆ  ซึ่งต้องใช้เวลาเรียนรู้เท่ากัน  ผมเลือกที่จะขอใช้ภาษาอังกฤษดีกว่า

   อีลิทรุ่นใหม่นั้นไม่ได้เหมือนอีลิทรุ่นเก่าในด้านของสังคม  พวกเขาไม่จำเป็นต้องมี  “หัวโขน” หรือตำแหน่งหน้าที่การงานที่อยู่ในระดับสูงกว่าตามสายบังคับบัญชา  คนไม่สนใจว่าคุณจะเป็นหัวหน้ากอง  เป็นอธิบดี  เป็นทูต  เช่นเดียวกับตำแหน่งทางบริษัทหรือองค์กรทางธุรกิจว่าคุณเป็นผู้จัดการฝ่าย  เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ  หรือตำแหน่งอะไรในบริษัท  ชื่อเสียงหรือความ “ดัง”  หรือความสามารถที่เป็นที่ยอมรับจะเป็นสิ่งที่อีลิทแสวงหา  นี่คงเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ทำให้ลูกหลานอีลิทในช่วงเวลานี้ต่างก็อยากเป็นดารา  นักร้อง  พิธีกร  แม้แต่ลูกหลานนักการเมืองใหญ่ที่โด่งดังหรือนักธุรกิจใหญ่มาก ๆ หลาย ๆ  คนเดี๋ยวนี้เลือกที่จะเป็นดารา  พิธีกร  หรือเป็นนักเขียน  แทนที่จะทำงานตามรอยพ่อแม่  แม้ว่างานนั้นอาจจะไม่ใช่งานถาวรที่จะทำต่อไปตลอด  ในอีกด้านหนึ่ง  อีลิทรุ่นใหม่หลายคนก็เข้ามาเกี่ยวข้องมีความสัมพันธ์กับดาราซึ่งก็ทำให้ตนเองกลายเป็นคนดังไปด้วย  ว่าที่จริง  ดาราระดับ “ซุปเปอร์สตาร์”  ของไทยในขณะนี้ผมก็คิดว่าพวกเขาก็มีสถานะเป็นอิลิทกลุ่มหนึ่งของสังคมไทยแล้วเมื่อดูจากฐานะการเงินและชื่อเสียงของพวกเขา

   ผมคงจะจบเรื่องอีลิทรุ่นใหม่ไปไม่ได้ถ้าจะไม่พูดว่านักลงทุนโดยเฉพาะแบบ VI ที่ประสบความสำเร็จสูงและ/หรือหรือมีพอร์ตการลงทุนที่ใหญ่โตด้วยเหตุผลอะไรก็ตามนั้น  กำลังน่าจะกลายเป็นอีลิทอีกกลุ่มหนึ่งที่ใหม่ที่สุดและใหม่กว่ากลุ่มดารา  แน่นอน  พวกเขาหลาย ๆ คนนั้นมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย  ทำธุรกิจ  และก็มีสถานะที่ดี  บางทีก็อาจจะเป็นอีลิทอยู่แล้ว  แต่การเป็นนักลงทุนนั้น  มันเป็นอีกสถานะหนึ่งที่สังคมน่าจะเริ่มยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ  พูดง่าย ๆ  คนไม่คิดว่าการร่ำรวยจากการลงทุนนั้นเป็นเรื่องของการพนันหรือเป็นเรื่องของคนขี้เกียจไม่ทำงาน   ที่สำคัญ  มันเป็นสถานะที่คนทั่วไปไขว่คว้าได้  มันมีบทเรียนที่คนสามารถเรียนรู้และใช้มันเพื่อที่จะไปถึงสถานะที่เป็นอีลิทในสังคม  และถ้าจะว่าไป  นี่คือเส้นทางที่จะทำให้คนเปลี่ยนสถานะได้โดยที่เขาไม่ต้องทำสิ่งที่เป็นการฉ้อฉลหรือเอาเปรียบคนอื่น  เพราะการลงทุน  โดยเฉพาะที่เป็นแบบ VI นั้น  มันเป็นเกมหรือการทำงานที่แฟร์ที่สุดอย่างหนึ่ง



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่