(ที่มา:มติชนรายวัน 10 ม.ค.2556)
จะหาอะไรมาปลุกให้เป็นประเด็นการเมืองง่ายกว่าเรื่อง "รักชาติ" ไม่มีอีกแล้ว
เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรแปลกใจที่วาทะ "เจ๊ากับเจ๊ง" ของ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล
รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ที่พูดถึงคดีปราสาทพระวิหาร จะถูกหยิบฉวยมาใช้
เป็นประเด็นเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยทันควัน
ไม่ใช่เป็นการเคลื่อนไหวธรรมดา
แต่ว่าไปไกลถึงประกาศไม่ให้รับขอบเขตอำนาจของศาลโลกนั่นเทียว
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 8 มกราคม ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล กลุ่มพันธมิตรประชาชน
เพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เดินทางมายื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี เรื่องขอให้ปฏิเสธอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก
และรักษาอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย
ด้วยเหตุผลว่า ไทยไม่ได้ต่ออายุปฏิญญายอมรับศาลโลกบังคับมาเป็นปีที่ 51 แล้ว
ประการที่สอง เห็นว่าคำตัดสินของศาล โลกไม่มีความเป็นธรรม จึงทำให้ประเทศไทย
ไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลกตั้งแต่ปี 2505
ประการต่อมา คือ การพบหลักฐานที่สำคัญมากมายว่า ศาลโลกไม่ได้ให้ความเป็นธรรม
เป็นศาลการเมือง และเป็นศาลที่ใช้อำนาจการต่อรอง ผลประโยชน์ชาติเป็นสำคัญ
หากไม่ปฏิบัติย่อมถือว่า สมรู้ร่วมคิด รู้เห็นเป็นใจ ในการกระทำครั้งนี้ ต้องเป็นฝ่าย
รับผิดชอบทั้งในทางการเมืองและในทางคดีความต่อไปในอนาคต
ขณะที่ผู้มีอุดมการณ์เดียวกันกับกลุ่มพันธมิตร อย่าง นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์
ประกาศว่าจะเริ่มการชุมนุมต่อต้านคดีนี้ในวันที่ 21 มกราคม
และมีการประสานงานกับเครือข่ายในจังหวัดศรีสะเกษ เตรียมการชุมนุมในพื้นที่
และจัด "ธรรมยาตรา" รอบใหม่ด้วย
แต่กรณีนี้ ทรรศนะจากคนอยู่ข้างเวทีที่ไม่ได้เสียโดยตรงกลับน่าสนใจกว่า
นายประดิษฐ ศิลาบุตร จากศูนย์ศรีสะเกษศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
สอนสวยรัฐมนตรีแบบนิ่มๆ ว่าตามหลักแล้วไม่ว่าจะเป็นคดีไหนๆ ไม่มีใครเขา
พูดก่อนหากศาลยังไม่ตัดสิน
พูดอย่างนี้เหมือนกับไปยอมรับว่ายอมแพ้ ซึ่งไม่เข้าใจว่าพูดทำไม มีประโยชน์อย่างไร
นายบุญเรือง คัชมาย์ นักวิชาการท้องถิ่น บอกว่า การออกมาแถลงของ รมว.ต่างประเทศ
ถือเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าเขาจะได้ข่าวคร่าวๆ มาก่อน หรือไม่ว่าเราจะสู้คดีดังกล่าวไม่ได้
และเราอาจเสียเปรียบอยู่ ซึ่งเป็นที่รู้ กันมาตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรพูด
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ที่มีคนบางกลุ่มพูดว่าให้ออกมารบ อยากถามว่าจะรบกับใคร
แล้วใครจะมาช่วยรบ ตอนนี้ทุกอย่างพัฒนาไปหมดแล้ว กำลังจะมีประชาคมอาเซียน
ทำไมจึงยังพูดเรื่องการสู้รบกันอยู่อีก
การใช้กำลังทางทหารในการแก้ปัญหามันไกลความจริงมาก สมัยนี้ไม่ใช่สมัย
กรุงศรีอยุธยา ต้องใช้สมองเดินเรื่องคดีความ
เหมือนกับที่กัมพูชาเขาใช้สมองชี้แจงไปทั่วโลก
ที่เยือกเย็นยิ่งกลับเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ที่ระบุว่าการชุมนุมของประชาชนกลุ่มใด ก็ตามเป็นสิทธิที่
สามารถกระทำได้ หากเป็นการกระทำโดยสงบ
ขณะเดียวกันกับที่เรื่องคดีก็ส่ง นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกฯ และ
รมว.ศึกษาธิการ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
เข้าไปช่วยดูแลร่วมกับนายสุรพงษ์อีกแรง
เยือกเย็นในระดับใกล้เคียงกันกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก
ซึ่งตอบคำถามเรื่องการดูแลพื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทพระวิหารว่า ทุกส่วนต่าง
ก็ทำหน้าที่มีการประสานงานกันทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายทหาร แต่กองทัพไม่มีหน้าที่
ชี้แจงเพราะเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ
"ขอร้องว่าไม่ควรนำเรื่องนี้ไปผูกโยงให้กลายเป็นประเด็นทางการเมือง และไม่มี
การเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายใด
"เพราะสิ่งสำคัญคือต้องรักษาอธิปไตยอย่างเต็มที่"
มีนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารบก ที่ "ไม่บ้าจี้"
ที่คาดว่าจะร้อน เอาเข้าจริงอาจจะเยือกเย็นก็ได้
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1357786844&grpid=&catid=12&subcatid=1200
"อวยปู" ค่ะ ยังไงก็ยังคงชื่นชมนายกฯ หญิงที่เราเลือกมา
"ราตรี" ก้ได้รับการปล่อยตัวในรัฐบาลนี้ จะเอายังไงกันอีกคะ
ปลุก′เขาพระวิหาร′ ปลุกกระแสคลั่งชาติ ปลุกขึ้น-ไม่ขึ้น? มติชนออนไลน์
จะหาอะไรมาปลุกให้เป็นประเด็นการเมืองง่ายกว่าเรื่อง "รักชาติ" ไม่มีอีกแล้ว
เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรแปลกใจที่วาทะ "เจ๊ากับเจ๊ง" ของ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล
รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ที่พูดถึงคดีปราสาทพระวิหาร จะถูกหยิบฉวยมาใช้
เป็นประเด็นเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยทันควัน
ไม่ใช่เป็นการเคลื่อนไหวธรรมดา
แต่ว่าไปไกลถึงประกาศไม่ให้รับขอบเขตอำนาจของศาลโลกนั่นเทียว
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 8 มกราคม ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล กลุ่มพันธมิตรประชาชน
เพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เดินทางมายื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี เรื่องขอให้ปฏิเสธอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก
และรักษาอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย
ด้วยเหตุผลว่า ไทยไม่ได้ต่ออายุปฏิญญายอมรับศาลโลกบังคับมาเป็นปีที่ 51 แล้ว
ประการที่สอง เห็นว่าคำตัดสินของศาล โลกไม่มีความเป็นธรรม จึงทำให้ประเทศไทย
ไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลกตั้งแต่ปี 2505
ประการต่อมา คือ การพบหลักฐานที่สำคัญมากมายว่า ศาลโลกไม่ได้ให้ความเป็นธรรม
เป็นศาลการเมือง และเป็นศาลที่ใช้อำนาจการต่อรอง ผลประโยชน์ชาติเป็นสำคัญ
หากไม่ปฏิบัติย่อมถือว่า สมรู้ร่วมคิด รู้เห็นเป็นใจ ในการกระทำครั้งนี้ ต้องเป็นฝ่าย
รับผิดชอบทั้งในทางการเมืองและในทางคดีความต่อไปในอนาคต
ขณะที่ผู้มีอุดมการณ์เดียวกันกับกลุ่มพันธมิตร อย่าง นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์
ประกาศว่าจะเริ่มการชุมนุมต่อต้านคดีนี้ในวันที่ 21 มกราคม
และมีการประสานงานกับเครือข่ายในจังหวัดศรีสะเกษ เตรียมการชุมนุมในพื้นที่
และจัด "ธรรมยาตรา" รอบใหม่ด้วย
แต่กรณีนี้ ทรรศนะจากคนอยู่ข้างเวทีที่ไม่ได้เสียโดยตรงกลับน่าสนใจกว่า
นายประดิษฐ ศิลาบุตร จากศูนย์ศรีสะเกษศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
สอนสวยรัฐมนตรีแบบนิ่มๆ ว่าตามหลักแล้วไม่ว่าจะเป็นคดีไหนๆ ไม่มีใครเขา
พูดก่อนหากศาลยังไม่ตัดสิน
พูดอย่างนี้เหมือนกับไปยอมรับว่ายอมแพ้ ซึ่งไม่เข้าใจว่าพูดทำไม มีประโยชน์อย่างไร
นายบุญเรือง คัชมาย์ นักวิชาการท้องถิ่น บอกว่า การออกมาแถลงของ รมว.ต่างประเทศ
ถือเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าเขาจะได้ข่าวคร่าวๆ มาก่อน หรือไม่ว่าเราจะสู้คดีดังกล่าวไม่ได้
และเราอาจเสียเปรียบอยู่ ซึ่งเป็นที่รู้ กันมาตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรพูด
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ที่มีคนบางกลุ่มพูดว่าให้ออกมารบ อยากถามว่าจะรบกับใคร
แล้วใครจะมาช่วยรบ ตอนนี้ทุกอย่างพัฒนาไปหมดแล้ว กำลังจะมีประชาคมอาเซียน
ทำไมจึงยังพูดเรื่องการสู้รบกันอยู่อีก
การใช้กำลังทางทหารในการแก้ปัญหามันไกลความจริงมาก สมัยนี้ไม่ใช่สมัย
กรุงศรีอยุธยา ต้องใช้สมองเดินเรื่องคดีความ
เหมือนกับที่กัมพูชาเขาใช้สมองชี้แจงไปทั่วโลก
ที่เยือกเย็นยิ่งกลับเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ที่ระบุว่าการชุมนุมของประชาชนกลุ่มใด ก็ตามเป็นสิทธิที่
สามารถกระทำได้ หากเป็นการกระทำโดยสงบ
ขณะเดียวกันกับที่เรื่องคดีก็ส่ง นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกฯ และ
รมว.ศึกษาธิการ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
เข้าไปช่วยดูแลร่วมกับนายสุรพงษ์อีกแรง
เยือกเย็นในระดับใกล้เคียงกันกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก
ซึ่งตอบคำถามเรื่องการดูแลพื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทพระวิหารว่า ทุกส่วนต่าง
ก็ทำหน้าที่มีการประสานงานกันทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายทหาร แต่กองทัพไม่มีหน้าที่
ชี้แจงเพราะเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ
"ขอร้องว่าไม่ควรนำเรื่องนี้ไปผูกโยงให้กลายเป็นประเด็นทางการเมือง และไม่มี
การเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายใด
"เพราะสิ่งสำคัญคือต้องรักษาอธิปไตยอย่างเต็มที่"
มีนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารบก ที่ "ไม่บ้าจี้"
ที่คาดว่าจะร้อน เอาเข้าจริงอาจจะเยือกเย็นก็ได้
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1357786844&grpid=&catid=12&subcatid=1200
"อวยปู" ค่ะ ยังไงก็ยังคงชื่นชมนายกฯ หญิงที่เราเลือกมา
"ราตรี" ก้ได้รับการปล่อยตัวในรัฐบาลนี้ จะเอายังไงกันอีกคะ