เหล่าลูกเรือโห่ร้องขานรับกึกก้องอื้ออึง ความฮึกเหิมของทั้งหมดถูกปลุกเร้าถึงขีดสุด
ทุกผู้ต่างวิ่งฉับไวกระตือรือร้นแข็งขัน แยกย้ายประจำตามตำแหน่งหน้าที่ของตน ทั้งหมดล้วนมุ่งหมายในความสำเร็จสูงสุด อันไม่เคยมีเรือสินค้าลำใดทำได้มาก่อน
ห้วงดารานาถถือกำเนิดจากมหานที ‘ศศิกันทรา’ และ ‘นิศาอัมพุ’
กระแสแห่งศศิกันทราทอดสายธารจากทิศเหนือลงสู่ใต้ มหานทีนิศาอัมพุไหลจากเบื้องตะวันออก ไปยังเบื้องตะวันตก ด้วยเหตุฉะนี้ ห้วงน้ำวนอันถือกำเนิดจากมหานทีทั้งสองจึงหมุนวนในทิศเวียนขวา
โดยปกตินั้น วิธีการซึ่งเหล่าบรรดานายเรือผู้เชี่ยวชาญ ใช้แล่นล่องฝ่าห้วงดารานาถ ไม่ว่าจะจากฟากนิศาอัมพุไปยังห้วงศศิกันทรา หรือจากฟากศศิกันทราไปสู่ห้วงนิศาอัมพุ ล้วนเป็นเฉกเช่นเดียวกัน
ผู้เป็นนายเรือต้องบังคับนาวา ให้แล่นเข้าสู่ขอบชั้นนอกสุดของห้วงน้ำวน อันเป็นบริเวณที่ยังพอคัดท้ายทานกระแสน้ำบังคับทิศทางได้ โดยไม่ให้ถลำลึกเข้าสู่ห้วงน้ำวนชั้นในเป็นอันขาด เนื่องเพราะบริเวณนั้นกระแสน้ำจะถาโถมซัดกระหน่ำอย่างรุนแรง แค่ประคองเรือไม่ให้พลิกคว่ำยังแทบเป็นไปไม่ได้ ไหนเลยบังคับทิศทางอันใดได้
หากสามารถเข้าสู่ห้วงน้ำชั้นนอกสุดได้ ต้องรีบเบนหัวเรือเข้าสู่ทิศทางเดียวกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากในฉับพลัน ถ้าชักช้าแม้เพียงอึดใจ กระแสน้ำกราดเกรี้ยวจะโถมซัดพลิกเรือคว่ำทันที จากนั้นต้องปล่อยให้แรงมหาศาลของกระแสแห่งห้วงดารานาถ หนุนเนื่องส่งลำนาวาพุ่งทะยานไปข้างหน้า แล่นล่องด้วยความเร็วจุดสายลมหอบเข้าสู่อีกห้วงน้ำ
และในจังหวะที่กำลังจะเข้าสู่อีกห้วงน้ำนั่นเอง เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กระแสน้ำเชี่ยวกรากเข้าสู่หัวโค้ง แรงหมุนวนจะเริ่มดึงเรือให้เข้าถลำลึกสู่ห้วงน้ำวนชั้นใน เหล่านายเรือต้องฉวยจังหวะในเสี้ยวพริบตานี้ อาศัยแรงส่งของกระแสน้ำเบนทิศในฉับพลัน บังคับนาวาพุ่งทะยานฝ่าออกจากห้วงดารานาถ
วิธีการดังกล่าวนี้คล้ายง่ายดาย แท้จริงกลับลำบากยากเย็นแสนเข็ญ นายเรือแทบทุกผู้ต่างกระจ่างในขั้นตอนเหล่านี้เป็นอย่างดี ทว่าตลอดสี่ห้วงมหานทีกลับมีนายเรือจำนวนน้อยนิด สามารถนำไปปฏิบัติแล่นล่องฝ่าห้วงดารานาถอย่างปลอดภัย
นั่นเพราะแม้ห้วงดารานาถจะมีขนาดใหญ่มหึมา ทว่าขอบชั้นนอกสุดของห้วงน้ำวนกลับแคบอย่างยิ่ง เป็นอาณาบริเวณเพียงหนึ่งในสิบของห้วงดารานาถเท่านั้น การบังคับนาวาให้เข้าสู่ขอบชั้นนอก โดยไม่ถลำลึกเข้าสู่ห้วงน้ำวนชั้นใน จึงมิใช่เรื่องที่จะกระทำได้โดยง่าย ปกติต้องลดใบเรือลงให้ต่ำที่สุด อาศัยการผ่อนหันเหทิศใบเรือต้านปะทะรับกระแสลม ในจังหวะและทิศทางที่เหมาะเจาะพอดีอย่างยิ่ง
และการจะอาศัยแรงอันมหาศาลของกระแสน้ำหนุนเนื่อง ส่งนาวาพุ่งทะยานไปข้างหน้าก็จำเป็นต้องใช้ฝีมือในการบังคับควบคุมเรือ อันคล่องแคล่วเชี่ยวชาญชำนาญ โดยต้องบังคับหัวเรือให้อยู่ในทิศทางเดียวกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากตลอดเวลา ผิดพลาดแม้เล็กน้อยไม่ได้อย่างเด็ดขาด หากนาวาหันเหทิศขวางกระแสน้ำเมื่อใดต้องพลิกคว่ำในทันที
อีกทั้งในช่วงซึ่งนาวากำลังจะพ้นจากห้วงน้ำหนึ่งเข้าสู่อีกห้วงน้ำ อันเป็นช่วงที่กระแสน้ำกราดเกรี้ยวเริ่มเข้าสู่หัวโค้งของห้วงน้ำวน ก็ต้องอาศัยการตัดสินใจในฉับพลัน ด้วยความแม่นยำอย่างยิ่ง บ่ายทิศหันหัวเรือพุ่งทะยานออกจากห้วงดารานาถ
หากในเสี้ยวพริบตาไม่สามารถฉกฉวยจังหวะไว้ได้ แรงหมุนวนอันรุนแรงมหาศาลจะฉุดดึงลำนาวาเข้าสู่ห้วงน้ำวนชั้นใน กระแสน้ำจะยิ่งหมุนเร็วแรงเป็นทบทวีคูณ ถึงเวลานั้นจะไม่สามารถบังคับควบคุมเรือได้อีก วาระสุดท้ายถ้าไม่พลิกคว่ำก็ต้องถูกฉุดกลืนหาย ลงสู่ใต้ห้วงดารานาถอันลึกสุดหยั่ง
เนื่องจากเงื่อนปมสำคัญเหล่านี้เอง ในคืนจันทราเต็มดวงจึงแทบไม่มีหนทางแล่นล่องฝ่าห้วงดารานาถ ทั้งนี้เพราะกระแสน้ำที่ถาโถมเชี่ยวกรากเป็นทบเท่าทวีคูณ ในสามทิวาราตรีนี้จะโหมกระหน่ำซัดเข้าใส่กัน บังเกิดเป็นกำแพงคลื่นน้ำขนาดมหึมา พวยพุ่งขึ้นสูงแล้วฟาดกระหน่ำลงสู่ผืนน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อเนื่องไม่ยุติหยุดหย่อนหรืออ่อนแรงแม้เพียงเสี้ยวอึดใจ
แม้เป็นเรือรบขนาดใหญ่แข็งแกร่งเพียงใด ไหนเลยทานแรงปะทะอันรุนแรงมหาศาลของกำแพงคลื่นน้ำได้ หากถูกฟาดปะทะเข้าตรงๆ ต้องแหลกสลายกลายเป็นเศษซากในพริบตา และตำแหน่งที่กำแพงคลื่นน้ำปรากฏบ่อยครั้งมากที่สุดคือขอบชั้นนอกสุดของห้วงน้ำวน!
ในอดีตราวสี่สิบกว่าปีก่อน กองเรือรบอันเกรียงของกษมปราการ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งมหานที ด้วยกำลังกองเรือรบทรงประสิทธิภาพจำนวนมหาศาล คราครั้งนั้นเคยพยายามล่องฝ่าห้วงดารานาถในคืนจันทราเต็มดวง...
ไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัดว่า เหตุใดกองเรือรบต้องเร่งรุดเดินทาง โดยไม่คำนึงถึงพิบัติภัยอันตราย ทั้งที่ทราบกระจ่างแก่ใจถึงเพียงนั้น ทว่าผลของความพยายามในคืนนั้น ประจักษ์แจ้งแก่สายตาของทุกผู้ในรุ่งเช้าวันต่อมา
...เศษไม้ซากเรือจำนวนมากมายสุดคณานับ กระจายเกลื่อนเต็มมหานทีนิศาอัมพุ เรือรบทั้งกองล่มสลายสิ้น ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นแม้สักคนเดียว...
นับจากครั้งนั้นล่วงเลยมาสี่สิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยมีนาวาลำใดหาญกล้าฝ่าห้วงดารานาถ ในคืนจันทราเต็มดวงอีกเลย...
ทว่าจันทรากระจ่างฟ้าราตรีนี้ นาวาเขี้ยววายุกำลังแล่นฉิวฝ่าทวนมหานทีนิศาอัมพุ เพียงไม่กี่อึดใจข้างหน้าจะพุ่งเข้าสู่ขอบชั้นนอกสุดของห้วงดารานาถ!
ทันใด ลูกเรือกลุ่มหนึ่ง ชี้ไม้ชี้มือตะโกนโหวกเหวก ร้องบอกกันเป็นทอดๆ
“นายผู้เฒ่า เรือสีดำลำนั้นเริ่มถอนสมอแล้วขอรับ!”
เฒ่าเวทิตส่ายหน้าหงุดหงิด ครุ่นคิดในใจ
‘ช่างโง่เขลาเสียจริง! หากเกิดเรื่องขึ้น ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าช่วยเด็ดขาด!’
นายเรือเฒ่าเบนสายตาจากห้วงน้ำเบื้องหน้า หันไปสั่งการ สุ้มเสียงทุ้มหนัก กังวานก้องได้ยินทั่วลำเรือ
“กางใบให้สุดทั้งสองเสา! รักษาเชือกให้ตึงไว้ หันใบรับลมเต็มที่!”
บรรดาลูกเรือต่างอุทานด้วยความตระหนก แววฉงนงงงวยในดวงตาแต่ละผู้หันมองกันเลิ่กลั่ก ทุกผู้ล้วนตื่นตะลึงต่อคำสั่งของนายเรือเฒ่าเป็นอย่างยิ่ง!
เนื่องเพราะหากกระทำตามคำสั่งนั้น ด้วยความเร็วของเขี้ยววายุ ซึ่งโดยปกติก็เร็วเหนือนาวาลำอื่นอักโข ต้องพุ่งทะยานตัดผ่านขอบชั้นนอก ถลำลึกเข้าสู่ห้วงน้ำวนชั้นในอย่างแน่นอน!
เหตุใดคำสั่งการของนายเรือเฒ่าจึงเป็นเช่นนี้!
ทว่าเหล่าบรรดาลูกเรือ ไม่เคยขัดคำสั่งผู้เป็นนายมาก่อนแม้สักครั้ง ด้วยทั้งหมดเชื่อมั่นในฝีมือนายเรือเฒ่าอย่างเปี่ยมล้น อีกทั้งทุกผู้ย่อมทราบกระจ่างแก่ใจว่า ทุกเสี้ยวพริบตากลางมหานที ล้วนสามารถชี้เป็นชี้ตาย สร้างโอกาสรอดหรือล่มสลายให้กับทั้งกองเรือได้
เหตุนี้แม้ในใจแต่ละผู้ต่างเคลือบแคลงสงสัยเพียงใด ทว่าเพียงสิ้นคำสั่งใบเรือก็ถูกกางขึ้นจนสุด หันเหรับลมเต็มที่ทั้งสองเสา นาวาเขี้ยววายุพลันเร่งความเร็วในพริบตา แล่นล่องตัดฝ่ากระแสน้ำประดุจเหาะเหิน พุ่งทะลวงตัดตรงเข้าสู่กลางห้วงดานานาถ!
ในทันทีที่ทะลวงฝ่าผ่านขอบชั้นนอก พุ่งตรงเข้าสู่ห้วงน้ำวนชั้นใน กระทั่งความเร็วของเขี้ยววายุ ก็ไม่อาจทานแรงถาโถมกราดเกรี้ยวเชี่ยวกรากของกระแสน้ำได้!
พริบตานั้น เขี้ยววายุถูกกระแสน้ำกระแทกเข้ากราบขวาอย่างจัง ลำเรือเอียงวูบแทบพลิกคว่ำ!
เหล่าบรรดาลูกเรือเกือบทั้งหมด เคยแล่นล่องฝ่าห้วงดารานาถกับนายเรือเฒ่ามามากกว่าหนึ่งครั้ง ต่างรู้รักษาตัวรอดเป็นอย่างดีด้วยกันทั้งสิ้น บ้างคว้าจับเชือกเส้นโตมั่น บ้างยึดเกาะเกี่ยวเสากระโดง บ้างรั้งหลักพันเชือกแน่น บ้างกระทั่งกราบเรือก็คว้าจับสุดชีวิต ราวสิ่งเหล่านั้นเป็นสมบัติสุดรักสุดหวงแหน เหนี่ยวรั้งลำตัวติดสนิทแนบ ไม่ยอมให้ถูกกวาดพัดไปกับกระแสน้ำอย่างเด็ดขาด
ทันใด นายเรือเฒ่าสั่งการด้วยเสียงอันกังวานอีกครั้ง
“ลดใบเรือหลักลงครึ่งหนึ่ง หันใบเรือรองตัดกระแสลม!”
บรรดาลูกเรือที่ประจำอยู่เสากระโดงทั้งสอง ได้ยินคำสั่งถนัดชัด ต่างเร่งผ่อนเชือกลดใบเรือหลัก ดึงรั้งเชือกหันเหทิศทางของใบเรือรองในฉับพลัน และทันทีที่ขาดแรงขับเคลื่อนของกระแสลม นาวาเขี้ยววายุพลันเบนทิศ พุ่งทะยานเข้าสู่ทิศทางเดียวกับกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากในบัดดล!
แม้ถลำเข้าลึกสู่ห้วงน้ำวนชั้นใน เฒ่าเวทิตกลับยังสามารถเบนหัวเรือ บังคับเข้าสู่ทิศทางเดียวกับกระแสน้ำอันบ้าคลั่งได้!
เพลานี้บุลินเนื้อตัวเปียกโชก สำลักน้ำแสบตาแสบจมูกไปหมด เชือกที่ผูกมัดเมื่อเปียกน้ำยิ่งหดตัว รัดแน่นมากขึ้นจนรู้สึกปวดไปทั้งตัว โทสะประดังพลุ่งพล่าน ความหวาดกลัวยึดกุมจิตใจสิ้น
“จบสิ้นกัน! ชีวิตข้าต้องจบสิ้นในวันนี้แน่!”
ยามนั้นจู่ๆ หญิงสาวข้างกาย กลับเอ่ยถามขึ้นว่า
“ท่านรู้หรือไม่ นาม ‘เขี้ยววายุ’ มีที่มาอย่างไร”
มายากรหนุ่มไหนเลยมีอารมณ์ตอบคำถามของนาง
“ใครจะไปรู้! แล้วข้าก็ไม่ได้อยากรู้ในตอนนี้ด้วย!”
หญิงสาวเอื้อนเอ่ยสุ้มเสียงกังวานใส
“เขี้ยววายุเป็นเรือสินค้าขนาดกลาง มีเสากระโดงสองต้น รูปร่างเปรียวกว่าเรือสินค้าทั่วไปค่อนข้างมาก ทว่ากลับมีน้ำหนักบรรทุกเกือบเท่ากัน เนื่องเพราะท้องเรือกว้างและมีถึงสามชั้น แทนที่จะเป็นสองชั้นเช่นเรือสินค้าธรรมดา ด้วยเหตุที่รูปร่างเปรียวกว่าเรือทั่วไป ยามใบเรือรับลมเต็มที่จึงแล่นฉิวตัดกระแสน้ำ ด้วยความเร็วกว่าเรือขนาดเดียวกันสองถึงสามเท่าตัว และนี่เองเป็นที่มาของนามเขี้ยววายุ”
หญิงสาวพลันเงยหน้า ประกายสุกใสดั่งดาราในแววตา เหลียวสำรวจรอบข้างเพียงวูบ ก่อนก้มหน้าลงอีกครั้ง
“ลำเรือของเขี้ยววายุเล่าลือกันว่า สร้างจากไม้เนื้อแข็งชนิดดีที่สุด เสากระโดงทั้งสองมีความแกร่ง ทั้งยังอ่อนหยุ่นเป็นพิเศษ มีข่าวลืออีกเช่นกันว่า ท่านผู้เฒ่าเวทิตลักลอบซื้อเสาสองต้นนี้จากนายวานิชผู้หนึ่ง ซึ่งเดิมทีต้องส่งเสาทั้งสองไปให้กองทัพเรือของกษมปราการ ทั้งใบเรือทั้งเชือกผูกโยงล้วนเป็นวัสดุชั้นดีทั้งสิ้น กล่าวได้ว่าเรือสินค้าลำนี้มีประสิทธิภาพไม่ด้อยกว่าเรือรบของแคว้นใดเลยทีเดียว”
ยามนี้กระแสน้ำโถมซัดอื้ออึง บุลินนั่งอยู่ใกล้เพียงด้านข้าง ยังแทบไม่ได้ยินประโยคเหล่านั้นของหญิงสาว แต่เพียงสิ้นประโยคสุดท้าย สุ้มเสียงเปี่ยมความชื่นชมของเฒ่าเวทิตกลับตะโกนโต้ตอบมาว่า
“แม่หนูน้อย เจ้ามีความรู้ติดตัวไม่น้อยจริงๆ”
เจ้ามายากรหนุ่มยังคงตะโกนด่าทอ แช่งชักหักกระดูกเฒ่าเวทิตเสียงขรม
“ตาเฒ่าหนังเหนียว! ตาเฒ่าไม่ยอมตาย! ทำไมถึงสั่งการเสียสติอย่างนั้น! พวกเราจะตายกันหมดก็เพราะการสั่งการผิดๆ ของเจ้า!”
ทันใดนั้น หญิงสาวบังเกิดแววสงสัยในดวงตา เอ่ยแทรกขึ้น
“ท่านนอกจากเป็นมายากรแล้ว ยังเป็นนายเรือด้วยหรือ”
บุลินหันขวับ พลอยไม่สบอารมณ์คนที่อยู่ข้างๆ ไปด้วย
“ถ้าข้าเป็นนายเรือก็ไม่ต้องมาอาศัยเรือตาเฒ่านี่หรอก! แล้วข้าก็คงไม่ต้องมาถูกมัดอยู่อย่างนี้ด้วย!”
แม้กำลังเอ่ยวาจาตอบโต้ หญิงสาวผู้เปียกโชกไปทั้งร่างเช่นกัน กลับยังก้มหน้านิ่ง หาได้เงยหน้าขึ้นไม่ ผมยาวประต้นคอสีน้ำตาลเข้มโชกชุ่มด้วยน้ำ คลุมปิดใบหน้าสิ้น
“ถ้าเช่นนั้น ท่านรู้ได้อย่างไรว่า ที่ท่านผู้เฒ่าสั่งการนั้นผิดพลาด”
มายากรหนุ่มตะคอกสวนกลับทันควัน
“เหล่าปราชญ์แห่งเมธาปุระ บันทึกวิธีการแล่นล่องฝ่าห้วงดารานาถ เขียนเป็นตำราขึ้นมาตั้งแต่หลายสิบปีก่อน ใครๆ ก็เคยอ่านทั้งนั้น เฮอะ ทำไมข้าจะไม่รู้ว่า...”
หญิงสาวพลันเอ่ยแทรกขึ้นอีกครั้ง
“ตำราเล่มนั่นถูกเขียนมาหลายสิบปีแล้ว แต่ในช่วงหลายสิบปีนี้กลับมีนายเรือไม่ถึงหนึ่งในห้า ที่สามารถล่องฝ่าห้วงดารานาถได้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น หรือนายเรืออีกสี่ส่วนที่เหลือ ไม่เคยอ่านตำราเล่มนั้น...”
คำกล่าวของหญิงสาวคำเอาบุลินนิ่งอึ้งไป...วิธีแล่นล่องฝ่าห้วงดารานาถถูกบันทึกไว้ ในตำราวิถีแห่งนายเรือขั้นสูง ฉบับปรับปรุงแก้ไขโดย ท่านปราชญ์ ‘นันทนะ’ เมื่อกว่าสามสิบปีก่อน
ตำราเล่มนี้เป็นหนึ่งในตำรับตำรา ที่เหล่านายเรือต้องศึกษาเป็นพื้นฐาน และเป็นหนึ่งในตำราของเหล่าปราชญ์แห่งเมธาปุระที่แพร่หลายเป็นอย่างยิ่ง
กระนั้นนายเรือผู้ฝึกปรือจนสามารถฝ่าห้วงดารานาถได้ กลับมีจำนวนน้อยยิ่งกว่าน้อย และส่วนใหญ่ก็ได้กลายไปเป็นขุนพลเรือของแคว้นต่างๆ แทบทั้งสิ้น หลงเหลือผู้เลือกยึดอาชีพนายเรือสินค้าเพียงน้อยนิด ด้วยเหตุนี้เองในปีหนึ่งๆ จึงมีเรือสินค้าแล่นล่องไปพุทธินคราผ่านเส้นทางนี้ไม่เกินสี่ลำ...
เหมันต์จันทร์ธารา บทที่ 2. ฝ่าห้วงดารานาถ
ทุกผู้ต่างวิ่งฉับไวกระตือรือร้นแข็งขัน แยกย้ายประจำตามตำแหน่งหน้าที่ของตน ทั้งหมดล้วนมุ่งหมายในความสำเร็จสูงสุด อันไม่เคยมีเรือสินค้าลำใดทำได้มาก่อน
ห้วงดารานาถถือกำเนิดจากมหานที ‘ศศิกันทรา’ และ ‘นิศาอัมพุ’
กระแสแห่งศศิกันทราทอดสายธารจากทิศเหนือลงสู่ใต้ มหานทีนิศาอัมพุไหลจากเบื้องตะวันออก ไปยังเบื้องตะวันตก ด้วยเหตุฉะนี้ ห้วงน้ำวนอันถือกำเนิดจากมหานทีทั้งสองจึงหมุนวนในทิศเวียนขวา
โดยปกตินั้น วิธีการซึ่งเหล่าบรรดานายเรือผู้เชี่ยวชาญ ใช้แล่นล่องฝ่าห้วงดารานาถ ไม่ว่าจะจากฟากนิศาอัมพุไปยังห้วงศศิกันทรา หรือจากฟากศศิกันทราไปสู่ห้วงนิศาอัมพุ ล้วนเป็นเฉกเช่นเดียวกัน
ผู้เป็นนายเรือต้องบังคับนาวา ให้แล่นเข้าสู่ขอบชั้นนอกสุดของห้วงน้ำวน อันเป็นบริเวณที่ยังพอคัดท้ายทานกระแสน้ำบังคับทิศทางได้ โดยไม่ให้ถลำลึกเข้าสู่ห้วงน้ำวนชั้นในเป็นอันขาด เนื่องเพราะบริเวณนั้นกระแสน้ำจะถาโถมซัดกระหน่ำอย่างรุนแรง แค่ประคองเรือไม่ให้พลิกคว่ำยังแทบเป็นไปไม่ได้ ไหนเลยบังคับทิศทางอันใดได้
หากสามารถเข้าสู่ห้วงน้ำชั้นนอกสุดได้ ต้องรีบเบนหัวเรือเข้าสู่ทิศทางเดียวกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากในฉับพลัน ถ้าชักช้าแม้เพียงอึดใจ กระแสน้ำกราดเกรี้ยวจะโถมซัดพลิกเรือคว่ำทันที จากนั้นต้องปล่อยให้แรงมหาศาลของกระแสแห่งห้วงดารานาถ หนุนเนื่องส่งลำนาวาพุ่งทะยานไปข้างหน้า แล่นล่องด้วยความเร็วจุดสายลมหอบเข้าสู่อีกห้วงน้ำ
และในจังหวะที่กำลังจะเข้าสู่อีกห้วงน้ำนั่นเอง เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กระแสน้ำเชี่ยวกรากเข้าสู่หัวโค้ง แรงหมุนวนจะเริ่มดึงเรือให้เข้าถลำลึกสู่ห้วงน้ำวนชั้นใน เหล่านายเรือต้องฉวยจังหวะในเสี้ยวพริบตานี้ อาศัยแรงส่งของกระแสน้ำเบนทิศในฉับพลัน บังคับนาวาพุ่งทะยานฝ่าออกจากห้วงดารานาถ
วิธีการดังกล่าวนี้คล้ายง่ายดาย แท้จริงกลับลำบากยากเย็นแสนเข็ญ นายเรือแทบทุกผู้ต่างกระจ่างในขั้นตอนเหล่านี้เป็นอย่างดี ทว่าตลอดสี่ห้วงมหานทีกลับมีนายเรือจำนวนน้อยนิด สามารถนำไปปฏิบัติแล่นล่องฝ่าห้วงดารานาถอย่างปลอดภัย
นั่นเพราะแม้ห้วงดารานาถจะมีขนาดใหญ่มหึมา ทว่าขอบชั้นนอกสุดของห้วงน้ำวนกลับแคบอย่างยิ่ง เป็นอาณาบริเวณเพียงหนึ่งในสิบของห้วงดารานาถเท่านั้น การบังคับนาวาให้เข้าสู่ขอบชั้นนอก โดยไม่ถลำลึกเข้าสู่ห้วงน้ำวนชั้นใน จึงมิใช่เรื่องที่จะกระทำได้โดยง่าย ปกติต้องลดใบเรือลงให้ต่ำที่สุด อาศัยการผ่อนหันเหทิศใบเรือต้านปะทะรับกระแสลม ในจังหวะและทิศทางที่เหมาะเจาะพอดีอย่างยิ่ง
และการจะอาศัยแรงอันมหาศาลของกระแสน้ำหนุนเนื่อง ส่งนาวาพุ่งทะยานไปข้างหน้าก็จำเป็นต้องใช้ฝีมือในการบังคับควบคุมเรือ อันคล่องแคล่วเชี่ยวชาญชำนาญ โดยต้องบังคับหัวเรือให้อยู่ในทิศทางเดียวกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากตลอดเวลา ผิดพลาดแม้เล็กน้อยไม่ได้อย่างเด็ดขาด หากนาวาหันเหทิศขวางกระแสน้ำเมื่อใดต้องพลิกคว่ำในทันที
อีกทั้งในช่วงซึ่งนาวากำลังจะพ้นจากห้วงน้ำหนึ่งเข้าสู่อีกห้วงน้ำ อันเป็นช่วงที่กระแสน้ำกราดเกรี้ยวเริ่มเข้าสู่หัวโค้งของห้วงน้ำวน ก็ต้องอาศัยการตัดสินใจในฉับพลัน ด้วยความแม่นยำอย่างยิ่ง บ่ายทิศหันหัวเรือพุ่งทะยานออกจากห้วงดารานาถ
หากในเสี้ยวพริบตาไม่สามารถฉกฉวยจังหวะไว้ได้ แรงหมุนวนอันรุนแรงมหาศาลจะฉุดดึงลำนาวาเข้าสู่ห้วงน้ำวนชั้นใน กระแสน้ำจะยิ่งหมุนเร็วแรงเป็นทบทวีคูณ ถึงเวลานั้นจะไม่สามารถบังคับควบคุมเรือได้อีก วาระสุดท้ายถ้าไม่พลิกคว่ำก็ต้องถูกฉุดกลืนหาย ลงสู่ใต้ห้วงดารานาถอันลึกสุดหยั่ง
เนื่องจากเงื่อนปมสำคัญเหล่านี้เอง ในคืนจันทราเต็มดวงจึงแทบไม่มีหนทางแล่นล่องฝ่าห้วงดารานาถ ทั้งนี้เพราะกระแสน้ำที่ถาโถมเชี่ยวกรากเป็นทบเท่าทวีคูณ ในสามทิวาราตรีนี้จะโหมกระหน่ำซัดเข้าใส่กัน บังเกิดเป็นกำแพงคลื่นน้ำขนาดมหึมา พวยพุ่งขึ้นสูงแล้วฟาดกระหน่ำลงสู่ผืนน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อเนื่องไม่ยุติหยุดหย่อนหรืออ่อนแรงแม้เพียงเสี้ยวอึดใจ
แม้เป็นเรือรบขนาดใหญ่แข็งแกร่งเพียงใด ไหนเลยทานแรงปะทะอันรุนแรงมหาศาลของกำแพงคลื่นน้ำได้ หากถูกฟาดปะทะเข้าตรงๆ ต้องแหลกสลายกลายเป็นเศษซากในพริบตา และตำแหน่งที่กำแพงคลื่นน้ำปรากฏบ่อยครั้งมากที่สุดคือขอบชั้นนอกสุดของห้วงน้ำวน!
ในอดีตราวสี่สิบกว่าปีก่อน กองเรือรบอันเกรียงของกษมปราการ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งมหานที ด้วยกำลังกองเรือรบทรงประสิทธิภาพจำนวนมหาศาล คราครั้งนั้นเคยพยายามล่องฝ่าห้วงดารานาถในคืนจันทราเต็มดวง...
ไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัดว่า เหตุใดกองเรือรบต้องเร่งรุดเดินทาง โดยไม่คำนึงถึงพิบัติภัยอันตราย ทั้งที่ทราบกระจ่างแก่ใจถึงเพียงนั้น ทว่าผลของความพยายามในคืนนั้น ประจักษ์แจ้งแก่สายตาของทุกผู้ในรุ่งเช้าวันต่อมา
...เศษไม้ซากเรือจำนวนมากมายสุดคณานับ กระจายเกลื่อนเต็มมหานทีนิศาอัมพุ เรือรบทั้งกองล่มสลายสิ้น ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นแม้สักคนเดียว...
นับจากครั้งนั้นล่วงเลยมาสี่สิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยมีนาวาลำใดหาญกล้าฝ่าห้วงดารานาถ ในคืนจันทราเต็มดวงอีกเลย...
ทว่าจันทรากระจ่างฟ้าราตรีนี้ นาวาเขี้ยววายุกำลังแล่นฉิวฝ่าทวนมหานทีนิศาอัมพุ เพียงไม่กี่อึดใจข้างหน้าจะพุ่งเข้าสู่ขอบชั้นนอกสุดของห้วงดารานาถ!
ทันใด ลูกเรือกลุ่มหนึ่ง ชี้ไม้ชี้มือตะโกนโหวกเหวก ร้องบอกกันเป็นทอดๆ
“นายผู้เฒ่า เรือสีดำลำนั้นเริ่มถอนสมอแล้วขอรับ!”
เฒ่าเวทิตส่ายหน้าหงุดหงิด ครุ่นคิดในใจ
‘ช่างโง่เขลาเสียจริง! หากเกิดเรื่องขึ้น ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าช่วยเด็ดขาด!’
นายเรือเฒ่าเบนสายตาจากห้วงน้ำเบื้องหน้า หันไปสั่งการ สุ้มเสียงทุ้มหนัก กังวานก้องได้ยินทั่วลำเรือ
“กางใบให้สุดทั้งสองเสา! รักษาเชือกให้ตึงไว้ หันใบรับลมเต็มที่!”
บรรดาลูกเรือต่างอุทานด้วยความตระหนก แววฉงนงงงวยในดวงตาแต่ละผู้หันมองกันเลิ่กลั่ก ทุกผู้ล้วนตื่นตะลึงต่อคำสั่งของนายเรือเฒ่าเป็นอย่างยิ่ง!
เนื่องเพราะหากกระทำตามคำสั่งนั้น ด้วยความเร็วของเขี้ยววายุ ซึ่งโดยปกติก็เร็วเหนือนาวาลำอื่นอักโข ต้องพุ่งทะยานตัดผ่านขอบชั้นนอก ถลำลึกเข้าสู่ห้วงน้ำวนชั้นในอย่างแน่นอน!
เหตุใดคำสั่งการของนายเรือเฒ่าจึงเป็นเช่นนี้!
ทว่าเหล่าบรรดาลูกเรือ ไม่เคยขัดคำสั่งผู้เป็นนายมาก่อนแม้สักครั้ง ด้วยทั้งหมดเชื่อมั่นในฝีมือนายเรือเฒ่าอย่างเปี่ยมล้น อีกทั้งทุกผู้ย่อมทราบกระจ่างแก่ใจว่า ทุกเสี้ยวพริบตากลางมหานที ล้วนสามารถชี้เป็นชี้ตาย สร้างโอกาสรอดหรือล่มสลายให้กับทั้งกองเรือได้
เหตุนี้แม้ในใจแต่ละผู้ต่างเคลือบแคลงสงสัยเพียงใด ทว่าเพียงสิ้นคำสั่งใบเรือก็ถูกกางขึ้นจนสุด หันเหรับลมเต็มที่ทั้งสองเสา นาวาเขี้ยววายุพลันเร่งความเร็วในพริบตา แล่นล่องตัดฝ่ากระแสน้ำประดุจเหาะเหิน พุ่งทะลวงตัดตรงเข้าสู่กลางห้วงดานานาถ!
ในทันทีที่ทะลวงฝ่าผ่านขอบชั้นนอก พุ่งตรงเข้าสู่ห้วงน้ำวนชั้นใน กระทั่งความเร็วของเขี้ยววายุ ก็ไม่อาจทานแรงถาโถมกราดเกรี้ยวเชี่ยวกรากของกระแสน้ำได้!
พริบตานั้น เขี้ยววายุถูกกระแสน้ำกระแทกเข้ากราบขวาอย่างจัง ลำเรือเอียงวูบแทบพลิกคว่ำ!
เหล่าบรรดาลูกเรือเกือบทั้งหมด เคยแล่นล่องฝ่าห้วงดารานาถกับนายเรือเฒ่ามามากกว่าหนึ่งครั้ง ต่างรู้รักษาตัวรอดเป็นอย่างดีด้วยกันทั้งสิ้น บ้างคว้าจับเชือกเส้นโตมั่น บ้างยึดเกาะเกี่ยวเสากระโดง บ้างรั้งหลักพันเชือกแน่น บ้างกระทั่งกราบเรือก็คว้าจับสุดชีวิต ราวสิ่งเหล่านั้นเป็นสมบัติสุดรักสุดหวงแหน เหนี่ยวรั้งลำตัวติดสนิทแนบ ไม่ยอมให้ถูกกวาดพัดไปกับกระแสน้ำอย่างเด็ดขาด
ทันใด นายเรือเฒ่าสั่งการด้วยเสียงอันกังวานอีกครั้ง
“ลดใบเรือหลักลงครึ่งหนึ่ง หันใบเรือรองตัดกระแสลม!”
บรรดาลูกเรือที่ประจำอยู่เสากระโดงทั้งสอง ได้ยินคำสั่งถนัดชัด ต่างเร่งผ่อนเชือกลดใบเรือหลัก ดึงรั้งเชือกหันเหทิศทางของใบเรือรองในฉับพลัน และทันทีที่ขาดแรงขับเคลื่อนของกระแสลม นาวาเขี้ยววายุพลันเบนทิศ พุ่งทะยานเข้าสู่ทิศทางเดียวกับกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากในบัดดล!
แม้ถลำเข้าลึกสู่ห้วงน้ำวนชั้นใน เฒ่าเวทิตกลับยังสามารถเบนหัวเรือ บังคับเข้าสู่ทิศทางเดียวกับกระแสน้ำอันบ้าคลั่งได้!
เพลานี้บุลินเนื้อตัวเปียกโชก สำลักน้ำแสบตาแสบจมูกไปหมด เชือกที่ผูกมัดเมื่อเปียกน้ำยิ่งหดตัว รัดแน่นมากขึ้นจนรู้สึกปวดไปทั้งตัว โทสะประดังพลุ่งพล่าน ความหวาดกลัวยึดกุมจิตใจสิ้น
“จบสิ้นกัน! ชีวิตข้าต้องจบสิ้นในวันนี้แน่!”
ยามนั้นจู่ๆ หญิงสาวข้างกาย กลับเอ่ยถามขึ้นว่า
“ท่านรู้หรือไม่ นาม ‘เขี้ยววายุ’ มีที่มาอย่างไร”
มายากรหนุ่มไหนเลยมีอารมณ์ตอบคำถามของนาง
“ใครจะไปรู้! แล้วข้าก็ไม่ได้อยากรู้ในตอนนี้ด้วย!”
หญิงสาวเอื้อนเอ่ยสุ้มเสียงกังวานใส
“เขี้ยววายุเป็นเรือสินค้าขนาดกลาง มีเสากระโดงสองต้น รูปร่างเปรียวกว่าเรือสินค้าทั่วไปค่อนข้างมาก ทว่ากลับมีน้ำหนักบรรทุกเกือบเท่ากัน เนื่องเพราะท้องเรือกว้างและมีถึงสามชั้น แทนที่จะเป็นสองชั้นเช่นเรือสินค้าธรรมดา ด้วยเหตุที่รูปร่างเปรียวกว่าเรือทั่วไป ยามใบเรือรับลมเต็มที่จึงแล่นฉิวตัดกระแสน้ำ ด้วยความเร็วกว่าเรือขนาดเดียวกันสองถึงสามเท่าตัว และนี่เองเป็นที่มาของนามเขี้ยววายุ”
หญิงสาวพลันเงยหน้า ประกายสุกใสดั่งดาราในแววตา เหลียวสำรวจรอบข้างเพียงวูบ ก่อนก้มหน้าลงอีกครั้ง
“ลำเรือของเขี้ยววายุเล่าลือกันว่า สร้างจากไม้เนื้อแข็งชนิดดีที่สุด เสากระโดงทั้งสองมีความแกร่ง ทั้งยังอ่อนหยุ่นเป็นพิเศษ มีข่าวลืออีกเช่นกันว่า ท่านผู้เฒ่าเวทิตลักลอบซื้อเสาสองต้นนี้จากนายวานิชผู้หนึ่ง ซึ่งเดิมทีต้องส่งเสาทั้งสองไปให้กองทัพเรือของกษมปราการ ทั้งใบเรือทั้งเชือกผูกโยงล้วนเป็นวัสดุชั้นดีทั้งสิ้น กล่าวได้ว่าเรือสินค้าลำนี้มีประสิทธิภาพไม่ด้อยกว่าเรือรบของแคว้นใดเลยทีเดียว”
ยามนี้กระแสน้ำโถมซัดอื้ออึง บุลินนั่งอยู่ใกล้เพียงด้านข้าง ยังแทบไม่ได้ยินประโยคเหล่านั้นของหญิงสาว แต่เพียงสิ้นประโยคสุดท้าย สุ้มเสียงเปี่ยมความชื่นชมของเฒ่าเวทิตกลับตะโกนโต้ตอบมาว่า
“แม่หนูน้อย เจ้ามีความรู้ติดตัวไม่น้อยจริงๆ”
เจ้ามายากรหนุ่มยังคงตะโกนด่าทอ แช่งชักหักกระดูกเฒ่าเวทิตเสียงขรม
“ตาเฒ่าหนังเหนียว! ตาเฒ่าไม่ยอมตาย! ทำไมถึงสั่งการเสียสติอย่างนั้น! พวกเราจะตายกันหมดก็เพราะการสั่งการผิดๆ ของเจ้า!”
ทันใดนั้น หญิงสาวบังเกิดแววสงสัยในดวงตา เอ่ยแทรกขึ้น
“ท่านนอกจากเป็นมายากรแล้ว ยังเป็นนายเรือด้วยหรือ”
บุลินหันขวับ พลอยไม่สบอารมณ์คนที่อยู่ข้างๆ ไปด้วย
“ถ้าข้าเป็นนายเรือก็ไม่ต้องมาอาศัยเรือตาเฒ่านี่หรอก! แล้วข้าก็คงไม่ต้องมาถูกมัดอยู่อย่างนี้ด้วย!”
แม้กำลังเอ่ยวาจาตอบโต้ หญิงสาวผู้เปียกโชกไปทั้งร่างเช่นกัน กลับยังก้มหน้านิ่ง หาได้เงยหน้าขึ้นไม่ ผมยาวประต้นคอสีน้ำตาลเข้มโชกชุ่มด้วยน้ำ คลุมปิดใบหน้าสิ้น
“ถ้าเช่นนั้น ท่านรู้ได้อย่างไรว่า ที่ท่านผู้เฒ่าสั่งการนั้นผิดพลาด”
มายากรหนุ่มตะคอกสวนกลับทันควัน
“เหล่าปราชญ์แห่งเมธาปุระ บันทึกวิธีการแล่นล่องฝ่าห้วงดารานาถ เขียนเป็นตำราขึ้นมาตั้งแต่หลายสิบปีก่อน ใครๆ ก็เคยอ่านทั้งนั้น เฮอะ ทำไมข้าจะไม่รู้ว่า...”
หญิงสาวพลันเอ่ยแทรกขึ้นอีกครั้ง
“ตำราเล่มนั่นถูกเขียนมาหลายสิบปีแล้ว แต่ในช่วงหลายสิบปีนี้กลับมีนายเรือไม่ถึงหนึ่งในห้า ที่สามารถล่องฝ่าห้วงดารานาถได้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น หรือนายเรืออีกสี่ส่วนที่เหลือ ไม่เคยอ่านตำราเล่มนั้น...”
คำกล่าวของหญิงสาวคำเอาบุลินนิ่งอึ้งไป...วิธีแล่นล่องฝ่าห้วงดารานาถถูกบันทึกไว้ ในตำราวิถีแห่งนายเรือขั้นสูง ฉบับปรับปรุงแก้ไขโดย ท่านปราชญ์ ‘นันทนะ’ เมื่อกว่าสามสิบปีก่อน
ตำราเล่มนี้เป็นหนึ่งในตำรับตำรา ที่เหล่านายเรือต้องศึกษาเป็นพื้นฐาน และเป็นหนึ่งในตำราของเหล่าปราชญ์แห่งเมธาปุระที่แพร่หลายเป็นอย่างยิ่ง
กระนั้นนายเรือผู้ฝึกปรือจนสามารถฝ่าห้วงดารานาถได้ กลับมีจำนวนน้อยยิ่งกว่าน้อย และส่วนใหญ่ก็ได้กลายไปเป็นขุนพลเรือของแคว้นต่างๆ แทบทั้งสิ้น หลงเหลือผู้เลือกยึดอาชีพนายเรือสินค้าเพียงน้อยนิด ด้วยเหตุนี้เองในปีหนึ่งๆ จึงมีเรือสินค้าแล่นล่องไปพุทธินคราผ่านเส้นทางนี้ไม่เกินสี่ลำ...