สรรพสามิตสั่งตรวจเข้มรถคันแรก เผยเริ่มมีผู้ซื้อขอคืนเงินรัฐรายแรก อ้างไม่ถูกโฉลกขายก่อนกำหนด 5 ปี สั่งไฟแนนซ์ผิดเงื่อนไข ยึดเงินคืนทันที
โครงการนโยบายรถคันแรกของรัฐบาล กำหนดให้ผู้ซื้อรถยนต์ต้องทำสัญญาตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2554 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2555 โดยผู้ซื้อจะได้รับการลดหย่อนภาษีในวงเงินภาษีจ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ในข้อกำหนดที่ว่าต้องเป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคัน เป็นรถยนต์นั่ง ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร/รถกระบะ (Pick up) / รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab) โดยรัฐบาลมีนโยบายรถคันแรกนี้ ในเบื้องต้นมีการตั้งเป้าหมายว่าจะให้มีคนซื้อรถภายใต้โครงการนี้จำนวน 500,000 คัน และตั้งวงเงินภาษีที่จะคืนประมาณ 30,000 ล้านบาท แต่หลังจากเปิดโครงการไป ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก
นางสมณีย์ มงคลโภชน์ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่ายอดใช้สิทธิโครงการรถคันแรกอย่างเป็นทางการ มีจำนวนทั้งสิ้น 1.25 ล้านคัน เป็นเงินที่ต้องจ่ายคืน 9.1 หมื่นล้านบาท โดยจะทยอยจ่ายหลังจากที่ผู้ใช้สิทธิครอบครองรถไปแล้ว 1 ปี อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้กรมสรรพสามิตจะเข้มงวดกับผู้ที่ใช้สิทธิรถคันแรก โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับเงินคืนไปแล้วว่า ทำตามเงื่อนไขหรือไม่ คือต้องถือครองรถเป็นเวลา 5 ปี หากถือครองไม่ถึงตามกำหนดที่ระบุไว้ในเงื่อนไข โดยเปลี่ยนมือก่อน กรมฯ จะดำเนินการยึดเงินคืนทันที
ประกบติดไฟแนนซ์ยึดเงินคืน
ทั้งนี้ ได้ชี้แจงกระบวนการยึดเงินคืนกับผู้ที่ใช้สิทธิรถคันแรกให้กับไฟแนนซ์ทั่วประเทศไปแล้ว หลักการเบื้องต้นหากผู้ใช้สิทธิที่ได้เงินคืนไปแล้ว โดนไฟแนนซ์ยึดรถก่อนที่จะถือครองรถครบ 5 ปี ทางไฟแนนซ์จะต้องแจ้งให้ทางกรมฯ ทราบ เมื่อไฟแนนซ์นำรถที่ยึดไปขายต่อและได้เงินเกินมูลหนี้ ก็ต้องส่งเงินส่วนเกินให้กรมฯ หากยังไม่ครบเท่ากับที่กรมฯ จ่ายคืนให้แก่ผู้ใช้สิทธิ ก็จะต้องดำเนินการฟ้องร้องต่อไป
นางสมณีย์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่พบผู้ที่ทำผิดเงื่อนไข ต้องยึดเงินที่จ่ายไปคืนกลับมา แต่มีผู้ใช้สิทธิรายหนึ่งเมื่อได้เงินภาษีสรรพสามิตคืนแล้วไปแล้ว แต่เกิดไม่ถูกโฉลกกับรถคันที่ซื้อมา จึงขายให้แก่ผู้อื่นไป แต่ก็ได้นำเงินภาษีมาคืนให้เอง โดยไม่ต้องทวงถาม
ภาคเหนือเผยยอดใช้สิทธิกว่าแสนคัน
ผู้สื่อข่าวรายงานยอดการขอใช้สิทธิรถยนต์คันแรก ในพื้นที่ภาคเหนือว่า มียอดขอใช้สิทธิกว่า 109,711 คัน ยอดขอเงินคืนกว่า 7,856 ล้านบาท โดยจังหวัดเชียงใหม่มีผู้ขอใช้สิทธิมากที่สุด 39,768 คัน ยอดขอเงินคืน 3,013 ล้านบาท แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 27,776 คัน ยอดขอเงินคืน 2,459 ล้านบาท รถยนต์กระบะ 6,478 คัน ยอดขอเงินคืน 106 ล้านบาท รถยนต์นั่งที่มีกระบะ 5,494 คัน ยอดขอเงินคืน 446 ล้านบาท
การยื่นขอใช้สิทธิของประชาชน ถือว่าหมดเขตแล้วตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค. ที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้เจ้าหน้าที่สำนักงานสรรพสามิตในพื้นที่ยังสามารถรอการยื่นเอกสาร การใช้สิทธิของประชาชนไปจนถึงวันที่ 15 ม.ค. นี้ เพราะช่วงการยื่นขอใช้สิทธิทางอินเทอร์เน็ต พบว่าผู้ใช้สิทธิส่งเอกสารไม่ครบ จึงได้ขยายเวลายื่นเอกสารออกไป
ยอดไฟแนนซ์รถยนต์เชียงใหม่ทะลุเป้า
แหล่งข่าวจากบริษัทไฟแนนซ์แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงยอดการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ปี 2555 ว่าเพิ่มขึ้นจากเป้าหมายที่ทางสถาบันการเงินตั้งไว้ โดยตั้งเป้าไว้ว่าตลอดทั้งปีจะปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 11,000 คัน แต่ปีที่ผ่านมามียอดการปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 13,000 คัน ส่วนที่เพิ่มขึ้นเกิดจากนโยบายรถคันแรกของรัฐบาลที่กระตุ้นการขอใช้สิทธิรถคันแรกของประชาชน ที่อยู่ในวัยเพิ่งจบการศึกษาใหม่ๆ และวัยทำงานที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง และอยากมีรถ โดยมีผู้ปกครองเป็นผู้ค้ำประกันให้
ส่วนประเภทรถที่ขอสินเชื่อมากที่สุด พบว่า ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์นั่ง 70% แยกเป็นยี่ห้อรถ นิสสัน โดยเฉพาะ มาร์ช และ อัลเมร่า ได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุดถึง 50% รองลงมา โตโยต้า ฮอนด้า ในรุ่นวีออส แจ๊ซ ยาริส ประมาณ 30% และ ยี่ห้อซูซุกิ ในรุ่นสวิฟท์ และ มิตซูบิชิ รุ่นมิราจ อยู่ที่ 20%
จากการคาดการณ์ พบว่า การปล่อยสินเชื่อรถยนต์จะเข้าสู่สภาวะปกติ จะอยู่ในช่วงเดือนเม.ย. เพราะขณะนี้ลูกค้าของบริษัทกำลังส่งมอบรถ เพราะขณะนี้ตัวแทนจำหน่ายยังไม่สามารถปล่อยรถให้กับลูกค้าได้ เพราะแต่ละรุ่นประชาชนมีความต้องการมาก
รถคันแรกดันยอดใช้น้ำมันเพิ่ม
นายชำนาญ กายประสิทธิ์ พลังงานจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงแนวโน้มในการใช้พลังงานในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากการเพิ่มจำนวนของยานพาหนะ ว่า การใช้พลังงานในอนาคต โดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน อาจจะมีการปรับตัวในการใช้เพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย ปัจจุบันการใช้น้ำมันเบนซินของประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ วันละ 160,000 ลิตร ส่วนการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ วันละ 330,000 ลิตร เพราะว่ารถยนต์รุ่นใหม่ ส่วนใหญ่ผู้ผลิตจะผลิตให้ถังน้ำมันรองรับพลังงานที่ผลิตได้ภายในประเทศ โดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ เพื่อลดการนำเข้า เป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย รวมทั้งเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนด้วย
ที่ผ่านมาในส่วนของพลังงานจังหวัดเชียงใหม่ ได้รณรงค์ให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น หรือหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อเป็นทางเลือกในการเดินทาง เป็นการลดการใช้พลังงานที่นับวันจะเริ่มลดน้อยลง จากการใช้ของประชาชนที่มากขึ้นด้วย
www.bangkokbiznews.com/home/detail/auto-mobile/auto-mobile/20130104/484400/อ้างไม่ถูกโฉลก!มีคนขอคืนเงินภาษีรถคันแรก.html
สรรพสามิตสั่งตรวจเข้มรถคันแรก ผิดเงื่อนไข ยึดเงินคืนทันที
โครงการนโยบายรถคันแรกของรัฐบาล กำหนดให้ผู้ซื้อรถยนต์ต้องทำสัญญาตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2554 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2555 โดยผู้ซื้อจะได้รับการลดหย่อนภาษีในวงเงินภาษีจ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ในข้อกำหนดที่ว่าต้องเป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคัน เป็นรถยนต์นั่ง ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร/รถกระบะ (Pick up) / รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab) โดยรัฐบาลมีนโยบายรถคันแรกนี้ ในเบื้องต้นมีการตั้งเป้าหมายว่าจะให้มีคนซื้อรถภายใต้โครงการนี้จำนวน 500,000 คัน และตั้งวงเงินภาษีที่จะคืนประมาณ 30,000 ล้านบาท แต่หลังจากเปิดโครงการไป ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก
นางสมณีย์ มงคลโภชน์ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่ายอดใช้สิทธิโครงการรถคันแรกอย่างเป็นทางการ มีจำนวนทั้งสิ้น 1.25 ล้านคัน เป็นเงินที่ต้องจ่ายคืน 9.1 หมื่นล้านบาท โดยจะทยอยจ่ายหลังจากที่ผู้ใช้สิทธิครอบครองรถไปแล้ว 1 ปี อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้กรมสรรพสามิตจะเข้มงวดกับผู้ที่ใช้สิทธิรถคันแรก โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับเงินคืนไปแล้วว่า ทำตามเงื่อนไขหรือไม่ คือต้องถือครองรถเป็นเวลา 5 ปี หากถือครองไม่ถึงตามกำหนดที่ระบุไว้ในเงื่อนไข โดยเปลี่ยนมือก่อน กรมฯ จะดำเนินการยึดเงินคืนทันที
ประกบติดไฟแนนซ์ยึดเงินคืน
ทั้งนี้ ได้ชี้แจงกระบวนการยึดเงินคืนกับผู้ที่ใช้สิทธิรถคันแรกให้กับไฟแนนซ์ทั่วประเทศไปแล้ว หลักการเบื้องต้นหากผู้ใช้สิทธิที่ได้เงินคืนไปแล้ว โดนไฟแนนซ์ยึดรถก่อนที่จะถือครองรถครบ 5 ปี ทางไฟแนนซ์จะต้องแจ้งให้ทางกรมฯ ทราบ เมื่อไฟแนนซ์นำรถที่ยึดไปขายต่อและได้เงินเกินมูลหนี้ ก็ต้องส่งเงินส่วนเกินให้กรมฯ หากยังไม่ครบเท่ากับที่กรมฯ จ่ายคืนให้แก่ผู้ใช้สิทธิ ก็จะต้องดำเนินการฟ้องร้องต่อไป
นางสมณีย์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่พบผู้ที่ทำผิดเงื่อนไข ต้องยึดเงินที่จ่ายไปคืนกลับมา แต่มีผู้ใช้สิทธิรายหนึ่งเมื่อได้เงินภาษีสรรพสามิตคืนแล้วไปแล้ว แต่เกิดไม่ถูกโฉลกกับรถคันที่ซื้อมา จึงขายให้แก่ผู้อื่นไป แต่ก็ได้นำเงินภาษีมาคืนให้เอง โดยไม่ต้องทวงถาม
ภาคเหนือเผยยอดใช้สิทธิกว่าแสนคัน
ผู้สื่อข่าวรายงานยอดการขอใช้สิทธิรถยนต์คันแรก ในพื้นที่ภาคเหนือว่า มียอดขอใช้สิทธิกว่า 109,711 คัน ยอดขอเงินคืนกว่า 7,856 ล้านบาท โดยจังหวัดเชียงใหม่มีผู้ขอใช้สิทธิมากที่สุด 39,768 คัน ยอดขอเงินคืน 3,013 ล้านบาท แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 27,776 คัน ยอดขอเงินคืน 2,459 ล้านบาท รถยนต์กระบะ 6,478 คัน ยอดขอเงินคืน 106 ล้านบาท รถยนต์นั่งที่มีกระบะ 5,494 คัน ยอดขอเงินคืน 446 ล้านบาท
การยื่นขอใช้สิทธิของประชาชน ถือว่าหมดเขตแล้วตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค. ที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้เจ้าหน้าที่สำนักงานสรรพสามิตในพื้นที่ยังสามารถรอการยื่นเอกสาร การใช้สิทธิของประชาชนไปจนถึงวันที่ 15 ม.ค. นี้ เพราะช่วงการยื่นขอใช้สิทธิทางอินเทอร์เน็ต พบว่าผู้ใช้สิทธิส่งเอกสารไม่ครบ จึงได้ขยายเวลายื่นเอกสารออกไป
ยอดไฟแนนซ์รถยนต์เชียงใหม่ทะลุเป้า
แหล่งข่าวจากบริษัทไฟแนนซ์แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงยอดการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ปี 2555 ว่าเพิ่มขึ้นจากเป้าหมายที่ทางสถาบันการเงินตั้งไว้ โดยตั้งเป้าไว้ว่าตลอดทั้งปีจะปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 11,000 คัน แต่ปีที่ผ่านมามียอดการปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 13,000 คัน ส่วนที่เพิ่มขึ้นเกิดจากนโยบายรถคันแรกของรัฐบาลที่กระตุ้นการขอใช้สิทธิรถคันแรกของประชาชน ที่อยู่ในวัยเพิ่งจบการศึกษาใหม่ๆ และวัยทำงานที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง และอยากมีรถ โดยมีผู้ปกครองเป็นผู้ค้ำประกันให้
ส่วนประเภทรถที่ขอสินเชื่อมากที่สุด พบว่า ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์นั่ง 70% แยกเป็นยี่ห้อรถ นิสสัน โดยเฉพาะ มาร์ช และ อัลเมร่า ได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุดถึง 50% รองลงมา โตโยต้า ฮอนด้า ในรุ่นวีออส แจ๊ซ ยาริส ประมาณ 30% และ ยี่ห้อซูซุกิ ในรุ่นสวิฟท์ และ มิตซูบิชิ รุ่นมิราจ อยู่ที่ 20%
จากการคาดการณ์ พบว่า การปล่อยสินเชื่อรถยนต์จะเข้าสู่สภาวะปกติ จะอยู่ในช่วงเดือนเม.ย. เพราะขณะนี้ลูกค้าของบริษัทกำลังส่งมอบรถ เพราะขณะนี้ตัวแทนจำหน่ายยังไม่สามารถปล่อยรถให้กับลูกค้าได้ เพราะแต่ละรุ่นประชาชนมีความต้องการมาก
รถคันแรกดันยอดใช้น้ำมันเพิ่ม
นายชำนาญ กายประสิทธิ์ พลังงานจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงแนวโน้มในการใช้พลังงานในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากการเพิ่มจำนวนของยานพาหนะ ว่า การใช้พลังงานในอนาคต โดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน อาจจะมีการปรับตัวในการใช้เพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย ปัจจุบันการใช้น้ำมันเบนซินของประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ วันละ 160,000 ลิตร ส่วนการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ วันละ 330,000 ลิตร เพราะว่ารถยนต์รุ่นใหม่ ส่วนใหญ่ผู้ผลิตจะผลิตให้ถังน้ำมันรองรับพลังงานที่ผลิตได้ภายในประเทศ โดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ เพื่อลดการนำเข้า เป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย รวมทั้งเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนด้วย
ที่ผ่านมาในส่วนของพลังงานจังหวัดเชียงใหม่ ได้รณรงค์ให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น หรือหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อเป็นทางเลือกในการเดินทาง เป็นการลดการใช้พลังงานที่นับวันจะเริ่มลดน้อยลง จากการใช้ของประชาชนที่มากขึ้นด้วย
www.bangkokbiznews.com/home/detail/auto-mobile/auto-mobile/20130104/484400/อ้างไม่ถูกโฉลก!มีคนขอคืนเงินภาษีรถคันแรก.html