สืบเนื่องจากกระทู้ "อยากเล่าเรื่อง คนใกล้ตายเห็นอะไร ??????"
http://www.pantip.com/topic/30008675
ได้อ่านแล้ว ทำให้นึกถึง ธรรมบท เรื่อง ผู้บันเทิงในโลกทั้งสอง จึงขอนำมาฝากสาธุชนทุกท่านดังนี้
*******************
ทางแห่งความดี ๑๑ โดยอาจารย์วศิน อินทสระ
http://www.dharma-gateway.com/ubasok/wasin/wasin-026.htm
ผู้บันเทิงในโลกทั้งสอง
โดย ผู้จัดการออนไลน์ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๕
พระพุทธภาษิต
อิธ โมทติ เปจฺจ โมทติ กตปุญฺโญ อุภยตฺถ โมทติ
โส โมทติ โส ปโมทติ ทิสฺวา กมฺมวิสุทฺธมตฺตโน
คำแปล
ผู้ได้ทำบุญไว้ ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสองคือบันเทิงในโลกนี้ ละโลกนี้ไปแล้วก็บันเทิงในโลกหน้า เขาบันเทิงยิ่งขึ้น เพราะเห็นกรรมอันบริสุทธิ์ของตน
อธิบายความ
บุคคลผู้เชื่อกรรมและผลของกรรม ย่อมพอใจทำความดี ก่อนทำก็มีใจผ่องใส กำลังทำก็ใจแช่มชื่น ทำเสร็จแล้วก็มีความสุขใจไม่หวนเสียดายไทยธรรม เป็นต้น เขาแสวงหาความสุขในชีวิตด้วยการประกอบกรรมดี แทนการหาความสนุกเพลิดเพลินอย่างอื่นอันเจือด้วยโทษและภัย
การประกอบกรรมดีอยู่เสมอ ทำให้จิตใจคุ้นกับความดี เมื่อคุ้นกับความดีเสียแล้ว ย่อมแขยงต่อความชั่ว เหมือนคนคุ้นกับความสะอาด ย่อมไม่ปรารถนาความสกปรกใดๆ การประกอบกรรมดีเป็นบันไดขั้นแรกแห่งความสุขทางใจ คนประกอบกรรมดีอยู่เสมอย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง คือทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เช่น ธัมมิกอุบาสก
เรื่องประกอบ
ธัมมิกอุบาสก
ธัมมิกอุบาสก เป็นชาวเมืองสาวัตถี เอาใจใส่ในการทำบุญมาก ถวายภัตต์แก่ภิกษุสงฆ์แทบทุกชนิด เป็นต้นว่า สลากภัตต์ (ออกสลากให้ภิกษุจับ ภิกษุรูปใด ถูกของผู้ใด ผู้นั้นก็ถวายแก่ภิกษุนั้น) ปักขิกภัตต์ (อาหารที่ถวายทุก ๑๕ วัน) สังฆภัตต์ (อาหารถวายอุทิศพระอริยสงฆ์) อุโปสถิกภัตต์ (อาหารถวายในวันอุโบสถ) อาคันตุกภัตต์ (อาหารถวายแก่ภิกษุผู้จรมา) วัสสาวาสิกภัตต์ (อาหารถวายแก่ภิกษุรู้อยู่จำพรรษา)
ธัมมิกอุบาสกนั้น พร้อมทั้งบุตรและภรรยา ได้เป็นผู้มีศีลมีกัลยาณธรรม มีความยินดีในการจำแนกทาน ด้วยประการฉะนี้
ต่อมา อายุมากขึ้นสังขารเสื่อมโทรม โรคภัยไข้เจ็บก็เข้ามาเบียดเบียน เขาปรารถนาจะฟังธรรม จึงส่งคนไปกราบทูลพระศาสดา ขอให้ส่งภิกษุจำนวน ๘ รูป หรือ ๑๖ รูป ไปสู่เรือนของตน
เมื่อภิกษุเหล่านั้นไปถึงเรือนแล้ว อุบาสกขอให้สาธยายสูตรใดสูตรหนึ่ง
"ท่านประสงค์จะฟังสูตรใดเล่า อุบาสก?"
"สติปัฏฐานสูตร เห็นจะเหมาะ พระคุณเจ้า"
พระจึงเริ่มสวดสติปัฏฐานสูตรว่า
"เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทธิยา" เป็นต้น แปลว่า "ภิกษุทั้งหลาย! มีทางสายเอกอยู่สายหนึ่ง เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย"
ขณะนั้นมีรถมาจากเทวโลก ๖ ชั้น เทวดาอยู่บนรถร้องเชิญให้ธัมมิกอุบาสก ละกายเนื้ออันเปรียบเสมือนหม้อดิน แล้วถือเอากายทิพย์อันเป็นเสมือนหม้อทองคำ และขอให้ขึ้นสู่รถของตนเพื่อไปสู่เทวโลกอันเป็นชั้นของตน
อุบาสกไม่ปรารถนาให้เป็นอันตรายแก่การฟังธรรม จึงกล่าวขึ้นว่า "ขอท่านจงรอก่อน ขอท่านจงรอก่อนเถิด"
ภิกษุทั้งหลายได้ยินดังนั้นเข้าใจว่าอุบาสกพูดกับพวกตน จึงหยุดนิ่งเสีย บุตรธิดาของอุบาสกก็ร้องไห้ เสียใจว่า "บิดาของพวกเรา ไม่เคยอิ่มด้วยการฟังธรรม แต่บัดนี้ทั้งๆ ที่ให้นิมนต์ภิกษุมาสาธยายธรรมให้ฟังเอง แล้วห้ามเสียเอง บิดาคงกลัวต่อมรณภัย โอ หนอ! สัตว์ผู้ไม่กลัวต่อความตายคงไม่มีเป็นแน่แท้"
ภิกษุทั้งหลายปรึกษากันว่า "บัดนี้มิใช่โอกาสเสียแล้ว" จึงลุกจากอาสนะ กลับไปวัดเชตวัน
อุบาสก กลับได้สติ ถามลูกๆ ว่า "พวกเจ้าร้องไห้ทำไม?"
"พ่อให้นิมนต์ภิกษุมาสาธยายธรรมให้ฟังแล้ว เมื่อท่านกำลังสวด พ่อก็ห้ามเสียเอง พระจึงกลับหมดแล้ว ลูกๆ คิดว่า ขึ้นชื่อว่าบุคคลผู้ไม่กลัวตายนั้นไม่มี จึงร้องไห้อยู่"
"พ่อพูดอย่างไร?" อุบาสกถาม
พ่อบอกว่า "ท่านทั้งหลายจงรอก่อน ท่านทั้งหลาย จงรอก่อนเถิด"
"พ่อมิได้พูดกับพระผู้เป็นเจ้า"
"ถ้าอย่างนั้น พ่อพูดกับใคร?"
อุบาสกได้เล่าสิ่งที่ตนเห็นและได้ยินให้บุตรฟังโดยตลอด
"พวกผมไม่เห็นรถเลย" ลูกว่า
"ลูกมีพวงมาลัยสำหรับพ่อบ้างไหม?"
"มีพ่อ"
"ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงเอาพวงมาลัยมา"
เมื่อลูกๆ เอาพวงมาลัยมาแล้ว ธัมมิกอุบาสกจึงถามต่อไปว่า "เทวโลกชั้นไหนน่ารื่นรมย์?"
ลูกๆ ตอบว่า "ชั้นดุสิตดี เพราะเป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์, พระพุทธมารดา พุทธบิดา และนักปราชญ์ราชบัณฑิตทั้งหลาย"
ธัมมิกอุบาสกจึงว่า "ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงเสี่ยงอธิษฐานว่า "ขอพวงมาลัยนี้จงคล้องรถที่มาจากชั้นดุสิต" แล้วเหวี่ยงพวงดอกไม้ไป"
บุตรของเขาได้เหวี่ยงพวงดอกไม้ไป พวงดอกไม้นั้นคล้องที่แอกรถ ห้อยลงในอากาศ คนทั้งหลายได้เห็นพวงดอกไม้นั้น แต่หาเห็นรถไม่ ธัมมิกอุบาสก บอกบุตรว่า พวงดอกไม้นั้นห้อยอยู่ที่รถซึ่งมาจากชั้นดุสิต พ่อจะต้องไปชั้นดุสิต พวกเจ้าอย่าวิตกเลย หากพวกเจ้าปรารถนาจะไปเกิดร่วมกับเราก็จงทำบุญทั้งหลาย อย่างที่เราทำแล้ว
ธัมมิกอุบาสกทำกาละแล้ว กายทิพย์ได้ปรากฏขึ้นในรถอันมาจากชั้นดุสิต
เมื่อภิกษุทั้งหลายกลับมาถึงเชตวนาราม พระศาสดาตรัสถามว่า อุบาสกได้ฟังธรรมเทศนาแล้วหรือ? ภิกษุทั้งหลายทูลเล่าเรื่องทั้งปวงให้ทรงทราบ พระศาสดาจึงตรัสเล่าความเป็นจริงให้ภิกษุทั้งหลายฟังมีว่า "ภิกษุทั้งหลาย! อุบาสกหาได้กล่าวกับพวกเธอไม่" เป็นต้น
ภิกษุทั้งหลายทูลว่า "อุบาสกบันเทิงในท่ามกลางญาติในโลกนี้แล้ว ละโลกนี้ไปแล้วเกิดในฐานะอันควรเป็นที่ชื่นชมอีก"
พระศาสดาตรัสว่า "อย่างนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ไม่ประมาทเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตาม ย่อมบันเทิงในที่ทั้งปวง" ดังนี้แล้วตรัสพระคาถาซึ่งได้ยกไว้ในเบื้องต้นว่า
"ผู้ได้ทำบุญไว้ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง" เป็นอาทิ
ธรรมบท "ผู้บันเทิงในโลกทั้งสอง" สืบเนื่องจากกระทู้ "อยากเล่าเรื่อง คนใกล้ตายเห็นอะไร ??????"
http://www.pantip.com/topic/30008675
ได้อ่านแล้ว ทำให้นึกถึง ธรรมบท เรื่อง ผู้บันเทิงในโลกทั้งสอง จึงขอนำมาฝากสาธุชนทุกท่านดังนี้
*******************
ทางแห่งความดี ๑๑ โดยอาจารย์วศิน อินทสระ
http://www.dharma-gateway.com/ubasok/wasin/wasin-026.htm
ผู้บันเทิงในโลกทั้งสอง
โดย ผู้จัดการออนไลน์ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๕
พระพุทธภาษิต
อิธ โมทติ เปจฺจ โมทติ กตปุญฺโญ อุภยตฺถ โมทติ
โส โมทติ โส ปโมทติ ทิสฺวา กมฺมวิสุทฺธมตฺตโน
คำแปล
ผู้ได้ทำบุญไว้ ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสองคือบันเทิงในโลกนี้ ละโลกนี้ไปแล้วก็บันเทิงในโลกหน้า เขาบันเทิงยิ่งขึ้น เพราะเห็นกรรมอันบริสุทธิ์ของตน
อธิบายความ
บุคคลผู้เชื่อกรรมและผลของกรรม ย่อมพอใจทำความดี ก่อนทำก็มีใจผ่องใส กำลังทำก็ใจแช่มชื่น ทำเสร็จแล้วก็มีความสุขใจไม่หวนเสียดายไทยธรรม เป็นต้น เขาแสวงหาความสุขในชีวิตด้วยการประกอบกรรมดี แทนการหาความสนุกเพลิดเพลินอย่างอื่นอันเจือด้วยโทษและภัย
การประกอบกรรมดีอยู่เสมอ ทำให้จิตใจคุ้นกับความดี เมื่อคุ้นกับความดีเสียแล้ว ย่อมแขยงต่อความชั่ว เหมือนคนคุ้นกับความสะอาด ย่อมไม่ปรารถนาความสกปรกใดๆ การประกอบกรรมดีเป็นบันไดขั้นแรกแห่งความสุขทางใจ คนประกอบกรรมดีอยู่เสมอย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง คือทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เช่น ธัมมิกอุบาสก
เรื่องประกอบ
ธัมมิกอุบาสก
ธัมมิกอุบาสก เป็นชาวเมืองสาวัตถี เอาใจใส่ในการทำบุญมาก ถวายภัตต์แก่ภิกษุสงฆ์แทบทุกชนิด เป็นต้นว่า สลากภัตต์ (ออกสลากให้ภิกษุจับ ภิกษุรูปใด ถูกของผู้ใด ผู้นั้นก็ถวายแก่ภิกษุนั้น) ปักขิกภัตต์ (อาหารที่ถวายทุก ๑๕ วัน) สังฆภัตต์ (อาหารถวายอุทิศพระอริยสงฆ์) อุโปสถิกภัตต์ (อาหารถวายในวันอุโบสถ) อาคันตุกภัตต์ (อาหารถวายแก่ภิกษุผู้จรมา) วัสสาวาสิกภัตต์ (อาหารถวายแก่ภิกษุรู้อยู่จำพรรษา)
ธัมมิกอุบาสกนั้น พร้อมทั้งบุตรและภรรยา ได้เป็นผู้มีศีลมีกัลยาณธรรม มีความยินดีในการจำแนกทาน ด้วยประการฉะนี้
ต่อมา อายุมากขึ้นสังขารเสื่อมโทรม โรคภัยไข้เจ็บก็เข้ามาเบียดเบียน เขาปรารถนาจะฟังธรรม จึงส่งคนไปกราบทูลพระศาสดา ขอให้ส่งภิกษุจำนวน ๘ รูป หรือ ๑๖ รูป ไปสู่เรือนของตน
เมื่อภิกษุเหล่านั้นไปถึงเรือนแล้ว อุบาสกขอให้สาธยายสูตรใดสูตรหนึ่ง
"ท่านประสงค์จะฟังสูตรใดเล่า อุบาสก?"
"สติปัฏฐานสูตร เห็นจะเหมาะ พระคุณเจ้า"
พระจึงเริ่มสวดสติปัฏฐานสูตรว่า
"เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทธิยา" เป็นต้น แปลว่า "ภิกษุทั้งหลาย! มีทางสายเอกอยู่สายหนึ่ง เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย"
ขณะนั้นมีรถมาจากเทวโลก ๖ ชั้น เทวดาอยู่บนรถร้องเชิญให้ธัมมิกอุบาสก ละกายเนื้ออันเปรียบเสมือนหม้อดิน แล้วถือเอากายทิพย์อันเป็นเสมือนหม้อทองคำ และขอให้ขึ้นสู่รถของตนเพื่อไปสู่เทวโลกอันเป็นชั้นของตน
อุบาสกไม่ปรารถนาให้เป็นอันตรายแก่การฟังธรรม จึงกล่าวขึ้นว่า "ขอท่านจงรอก่อน ขอท่านจงรอก่อนเถิด"
ภิกษุทั้งหลายได้ยินดังนั้นเข้าใจว่าอุบาสกพูดกับพวกตน จึงหยุดนิ่งเสีย บุตรธิดาของอุบาสกก็ร้องไห้ เสียใจว่า "บิดาของพวกเรา ไม่เคยอิ่มด้วยการฟังธรรม แต่บัดนี้ทั้งๆ ที่ให้นิมนต์ภิกษุมาสาธยายธรรมให้ฟังเอง แล้วห้ามเสียเอง บิดาคงกลัวต่อมรณภัย โอ หนอ! สัตว์ผู้ไม่กลัวต่อความตายคงไม่มีเป็นแน่แท้"
ภิกษุทั้งหลายปรึกษากันว่า "บัดนี้มิใช่โอกาสเสียแล้ว" จึงลุกจากอาสนะ กลับไปวัดเชตวัน
อุบาสก กลับได้สติ ถามลูกๆ ว่า "พวกเจ้าร้องไห้ทำไม?"
"พ่อให้นิมนต์ภิกษุมาสาธยายธรรมให้ฟังแล้ว เมื่อท่านกำลังสวด พ่อก็ห้ามเสียเอง พระจึงกลับหมดแล้ว ลูกๆ คิดว่า ขึ้นชื่อว่าบุคคลผู้ไม่กลัวตายนั้นไม่มี จึงร้องไห้อยู่"
"พ่อพูดอย่างไร?" อุบาสกถาม
พ่อบอกว่า "ท่านทั้งหลายจงรอก่อน ท่านทั้งหลาย จงรอก่อนเถิด"
"พ่อมิได้พูดกับพระผู้เป็นเจ้า"
"ถ้าอย่างนั้น พ่อพูดกับใคร?"
อุบาสกได้เล่าสิ่งที่ตนเห็นและได้ยินให้บุตรฟังโดยตลอด
"พวกผมไม่เห็นรถเลย" ลูกว่า
"ลูกมีพวงมาลัยสำหรับพ่อบ้างไหม?"
"มีพ่อ"
"ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงเอาพวงมาลัยมา"
เมื่อลูกๆ เอาพวงมาลัยมาแล้ว ธัมมิกอุบาสกจึงถามต่อไปว่า "เทวโลกชั้นไหนน่ารื่นรมย์?"
ลูกๆ ตอบว่า "ชั้นดุสิตดี เพราะเป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์, พระพุทธมารดา พุทธบิดา และนักปราชญ์ราชบัณฑิตทั้งหลาย"
ธัมมิกอุบาสกจึงว่า "ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงเสี่ยงอธิษฐานว่า "ขอพวงมาลัยนี้จงคล้องรถที่มาจากชั้นดุสิต" แล้วเหวี่ยงพวงดอกไม้ไป"
บุตรของเขาได้เหวี่ยงพวงดอกไม้ไป พวงดอกไม้นั้นคล้องที่แอกรถ ห้อยลงในอากาศ คนทั้งหลายได้เห็นพวงดอกไม้นั้น แต่หาเห็นรถไม่ ธัมมิกอุบาสก บอกบุตรว่า พวงดอกไม้นั้นห้อยอยู่ที่รถซึ่งมาจากชั้นดุสิต พ่อจะต้องไปชั้นดุสิต พวกเจ้าอย่าวิตกเลย หากพวกเจ้าปรารถนาจะไปเกิดร่วมกับเราก็จงทำบุญทั้งหลาย อย่างที่เราทำแล้ว
ธัมมิกอุบาสกทำกาละแล้ว กายทิพย์ได้ปรากฏขึ้นในรถอันมาจากชั้นดุสิต
เมื่อภิกษุทั้งหลายกลับมาถึงเชตวนาราม พระศาสดาตรัสถามว่า อุบาสกได้ฟังธรรมเทศนาแล้วหรือ? ภิกษุทั้งหลายทูลเล่าเรื่องทั้งปวงให้ทรงทราบ พระศาสดาจึงตรัสเล่าความเป็นจริงให้ภิกษุทั้งหลายฟังมีว่า "ภิกษุทั้งหลาย! อุบาสกหาได้กล่าวกับพวกเธอไม่" เป็นต้น
ภิกษุทั้งหลายทูลว่า "อุบาสกบันเทิงในท่ามกลางญาติในโลกนี้แล้ว ละโลกนี้ไปแล้วเกิดในฐานะอันควรเป็นที่ชื่นชมอีก"
พระศาสดาตรัสว่า "อย่างนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ไม่ประมาทเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตาม ย่อมบันเทิงในที่ทั้งปวง" ดังนี้แล้วตรัสพระคาถาซึ่งได้ยกไว้ในเบื้องต้นว่า
"ผู้ได้ทำบุญไว้ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง" เป็นอาทิ