อภ.เผย ตั้งเป้าสำรองน้ำเกลือ 5 ล้านถุง - เตรียมผลิตยาชื่อสามัญเพิ่มอีก

กระทู้ข่าว
นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า ในปี 2556 ทางอภ.มีแผนที่จะพัฒนาการผลิตน้ำเกลือ เนื่องจากเมื่อช่วงที่เกิดมหาอุทกภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่นั้น มีโรงงานผลิตน้ำเกลือรายใหญ่ได้รับผลกระทบทำให้ประเทศไทยเกิดภาวะขาดแคลนน้ำเกลือขึ้น จนส่งผลให้ต้องมีการนำเข้าน้ำเกลือจากประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ ประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ และมาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งในแต่ละเดือนจะมีการนำเข้าน้ำเกลือประมาณ 1 ล้านถุง ดังนั้นถึงแม้ว่าขณะนี้โรงงานผลิตน้ำเกลือรายดังกล่าวที่เคยได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม จะกลับมาผลิตได้เกือบ 100% แล้วก็ตาม แต่เพื่อความไม่ประมาทและลดการนำเข้าน้ำเกลือจากประเทศเพื่อนบ้าน ทาง อภ.จะทำการผลิตน้ำเกลือสำรองเก็บกักตุนไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน โดยจะต้องสำรองไว้ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านถุง เพื่อจะได้สร้างความมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำเกลืออีก ซึ่งขณะนี้ก็ผลิตได้ประมาณ 1 ล้านกว่าถุงแล้ว และปริมาณน้ำเกลือที่จะผลิตทาง อภ.ตั้งเป้าว่าจะผลิตขนาดตั้งแต่  100 -1,000 ซีซี อย่างไรก็ตามทาง อภ.ก็จะมีการตรวจทานระบบการผลิตน้ำเกลือควบคู่ไปด้วย

นพ.วิทิต กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ในปีหน้า 2556  อภ.ยังมีแผนที่จะผลิตยาชื่อสามัญ หรือการผลิตยาที่หมดสิทธิบัตรแล้วเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าว่าจะผลิตยาในกลุ่มที่ประชาชนมีการใช้เป็นจำนวนมาก เช่น ยาโรคเบาหวาน ยาความดันโลหิตสูง และยาเอดส์ เป็นต้น เพื่อให้ราคายาถูกลง อาทิ จาก 100 บาท ก็จะทำให้ราคาลดลงจากเดิมประมาณร้อยละ 70-80 คือ จาก100 เหลือประมาณ 20 - 30 บาท โดยการผลิตยาชื่อสามัญนั้นจะเริ่มต้นที่ยาเอดส์ก่อนและถ้าผลักดันยาเอดส์สำเร็จ ก็จะผลักดันยาเบาหวานต่อ และตามด้วยยาชนิดอื่นๆตามลำดับ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายของประชาชนและทำให้มีการเข้าถึงยาได้ง่ายขึ้นสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และมีสุขภาพที่แข็งแรง อย่างไรก็ตามถ้าทาง อภ.สามารถผลิตยาชื่อสามัญลงได้ประชาชนและประเทศก็จะประหยัดค่าจ่ายได้มาก เนื่องจากภายหลังจากที่ อภ.มีการผลิตยาซิเดกร้าหรือยาแก้ปัญหาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ก็ส่งผลให้ยากลุ่มเดียวกับซิเดกร้ามีราคาถูกลงจากเดิมประมาณร้อยละ 20-30

“เนื่องจากในปี 2558 ไทยจะก้าวเข้าสู่ประชาคมเขตเศรษฐกิจอาเซียน เราจึงควรใช้ยาชื่อสามัญมากขึ้น เพราะว่าจะต้องมีการแข่งขันกัน ดังนั้นไทยต้องลดการนำเข้ายาดังกล่าว ที่ไทยมีการนำเข้ายาถึง ร้อยละ 70 เพราะฉะนั้นจะต้องเปลี่ยนสมดุลให้เป็นยาในประเทศร้อยละ 50-60 ซึ่งจะต้องดำเนินการควบคู่กับการควบคุมคุณภาพและราคาที่เหมาะสม”ผู้อำนวยการ อภ. กล่าว

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1356934194&grpid=&catid=19&subcatid=1904
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่