Review : Walkman B-Series

กระทู้สนทนา
Review : Walkman B-Series

    พัฒนาการของเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาทุกวันนี้ก้าวไปไกลล้ำหน้าจนผมแทบจะก้าวไม่ทันพวกมัน ฟีเจอร์ทั้งหลายที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับการเล่นเพลงทยอยยัดทะนานกันเข้ามาในเครื่องเล่นตัวน้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อแบบไร้สาย หน้าจอสัมผัสความละเอียดสูง โปรแกรมเสริมเพื่อการอำนวยความสะดวกต่างๆ นาๆ จนผู้ใช้เล่นกันไม่หวาดไม่ไหว แต่เมื่อลองมองมุมกลับกันไป ของแถมต่างๆ เหล่านั้นมันก็นำมาด้วยราคาที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมันสำคัญอย่างยิ่งเมื่อราคาของเครื่องเล่นที่พุ่งสูงขึ้นแต่ผู้ใช้บางส่วนกลับไม่ได้ต้องการฟีเจอร์ต่างๆ ที่แถมมานั้นแม้แต่นิดเดียว

    แล้วจะทำอย่างไรละ? ผู้ใช้บางท่านที่ผมรู้จักต้องการแค่เครื่องเล่นธรรมดาๆ เพื่อใช้เล่นเพลงของศิลปินที่พวกเขาชื่นชอบเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นคนใกล้ตัวของผมเอง ที่ต้องการเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาขนาดเล็กๆ ที่พกพาสะดวก คุณภาพเสียงพอประมาณ และที่สำคัญการเชื่อมต่อเพื่อลงเพลงต้องทำได้ง่ายๆ และรวดเร็วอย่างที่คนไม่ถนัดเทคโนโลยีทำเองได้แบบไม่ต้องศึกษาและยุ่งยากมากนัก (เธอบอกผมว่าวันๆ หนึ่งของผู้หญิงมีเรื่องให้ทำเยอะพอแล้ว (- -*))  ข้อจำกัดอันหลากหลายดังกล่าวทำให้การเลือกเฟ้นเครื่องเล่นพกพาที่เหมาะสมกับตัวเธอนั้นดูยากลำบากขึ้นเป็นเท่าตัว และข้อแม้ที่ว่าก็ดูแคบลงไปอีกเมื่อเธอจำกัดมาว่าเครื่องเล่นที่หามาจะต้องมีสีสรรค์สวยงามหลากสีให้เลือก ผลิตจากบริษัทที่เป็นที่นิยม และที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องมีราคาถูก ….

    จากย่อหน้าที่ผ่านมาหน้าที่ในการหาของตามสเปคของเธอก็ตกเป็นของผมอย่างที่ไม่มีเงื่อนไขและไร้ข้อต่อรอง การเสาะหาเครื่องเล่นล๊อคสเปคที่ว่าก็เริ่มต้นขึ้น เวลาผ่านไป เครื่องเล่นหลายชนิดหลากรุ่นต่างพากันทยอยเข้ามาทำความรู้จักกับเธอแต่ก็ไม่มีเครื่องเล่นตัวไหนถูกใจเธอสักเพียงเครื่องเดียว (แพงไปมั่งละ, ใช้ยากเกินมั่งละ, ใหญ่เกินมั่งละ, ยี่ห้ออะไรไม่รู้จักมั่งละ สารพัดสารพันข้อแม้ที่ผมเจอ... ) และด้วยราคาที่รู้ๆ กันทำให้ Sony จึงเป็นแบรนด์ตัวเลือกสุดท้ายที่ผมให้เธอพิจารณาดู แต่เพลย์เยอร์ 1 เดียวที่ผ่านข้อแม้อันมากมายของเธอกลับอยู่กับ Sony ซะอย่างนั้น ซึ่งเจ้าเพลย์เยอร์ตัวที่ว่านั้นก็คือ

Introduce..

    เครื่องเล่นเพลงขนาดพกพา Sony NWZ – B142F  “B-Series Walkman” คือเครื่องเล่นเพลงพกพารุ่นเล็กระดับเริ่มต้น ขนาดเล็กกระจิ๋วหลิว ที่มีจุดเด่นในการเชื่อมต่อ USB แบบ Plug and Play สำหรับการถ่ายโอนไฟล์และชาร์ตพลังงานที่แสนง่ายดาย และมีฟีเจอร์ในเรื่องเสียงที่เป็นจุดเด่นก็คือการเร่งเสียงเบสที่เรียกว่า Bass Booster และการเลือกฟังเพลงจากการพรีวิวท่อนฮุคที่เรียกว่า Zappin และมีภาคการรับฟังวิทยุ FM และฟีเจอร์ขั้นพื้นฐานต่างๆ ครบถ้วนสำหรับการเป็นเครื่องเล่นเพลงแบบพกพา (อัดเสียงได้ด้วยนะครับรุ่นนี้)

Design

    รูปร่างและขนาดโดยรวมของ B – Series มีขนาดใหญ่กว่าอุปกรณ์เก็บข้อมูลแบบพกพาขนาดมาตรฐานอยู่เล็กน้อย โดยมีขนาดและปริมาตรอยู่ที่ 85.8 x 23.2 x 14.1 มม และมีน้ำหนักเบาสุดๆ แค่เพียง 26 กรัมเท่านั้น ด้วยขนาดและน้ำหนักจึงเหมาะสมอย่างยิ่งกับการพกพา ปลายด้านขวาเมื่อถอดออกมาจะเป็นหัวเชื่อมต่อแบบ USB ที่ใช้อินเตอร์เฟสการส่งผ่านข้อมูลแบบ USB 2.0 (ใช้ในการชาร์ตพลังงานด้วย) โดยจะมีความจุให้เลือก 2 ขนาดได้แก่ 2GB และ 4GB และมีสีให้เลือกกันถึง 4 สีด้วยกัน และในด้านตรงกันข้ามอีกด้านหนึ่งก็จะเป็นแจ๊คที่เสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มม.

    ด้านหน้าตรงจะประกอบไปด้วยกน้าจอแสดงผลแบบ Monochrome 3 บรรทัด ถัดมาก็จะเป็นปุ่มฟีเจอร์ Zappin และปุ่ม BACK ที่ใช้สำหรับในการเลือกเมนูต่างๆ วางตำแหน่งลดหลั่นกัน และสุดท้ายก็คือปุ่ม Play/Pause พร้อมด้วยไฟแสดงสถานะ LED สีแดงรูปวงกลมวางรายเรียงกันอยู่ และในวงกลมที่ว่าก็จะมีปุ่ม forward / reverse Track ทั้งสองปุ่มหลบอยู่ด้วย (ตามรูป)

    ด้านบนจะประกอบไปด้วยปุ่ม Rec/Stop สำหรับฟีเจอร์อัดเสียงอยู่ด้านซ้ายสุด ตามมาด้วยปุ่มกำหนดระดับความดังของเสียง และปุ่มฟีเจอร์ Bass Booster จะอยู่ในลำดับสุดท้ายดังรูป

    ด้านล่างจะมีปุ่ม Hold แค่เพียงอย่างเดียว และด้านหลังก็จะมีปุ่ม Soft Reset เล็กๆ แอบอยู่

Features

    ด้วยความที่ B-Series จัดอยู่ในเครื่องเล่นระดับเริ่มต้นดังนั้นฟังค์ชั่นของมันจึงไม่ได้มีอะไรที่หวือหวาตระการตาเหมือนกับเครื่องเล่นอื่นๆ มากนัก เมนูหลักของ B-Series  ประกอบไปด้วยตัวเลือกแค่ 4 ตัวเลือกเท่าน้น ได้แก่ Voice, Music Library, FM และ Setting โดยการควบคุมจะใช้ปุ่ม forward / reverse Track  ในการเคลื่อนตัวเลือกไปตามเมนู และปุ่ม  play/pause ในการตกลงกรือเลือกเพื่อเข้าสู่เมนูย่อยในแต่ละตัวเลือก และใช้ปุ่ม BACK เพื่อกลับออกมาจากเมนูย่อยนั้นๆ

    ในเมนุหลัก Voice คุณสามารถเลือกระดับของคุณภาพเสียงที่อัดได้ในเมนู Setting ซึ่งจะประกอบไปด้วย 3 ระดับได้แก่ low, medium, และ high

    และในเมนู Music Library ผู้ใช้สามารถค้นหาเพลงได้ผ่านการจัดแบ่งประเภทต่างๆ ได้ตามความชอบใจประกอบไปด้วย การค้นหาผ่าน Folder การเล่นเพลงทั้งหมด (All Song) การค้นหาผ่านชื่อสิลปิน อัลบั้ม แนวเพลง (Genre) ปีที่ออกวางจำหน่ายและสุดท้ายก็คือเล่นตามเพลย์ลิสต์ที่ผู้ใช้ได้กำหนดไว้แล้ว

    ในเมนู FM นั้นก็เหมือนกับเครื่องเล่นวิทยุทั่วๆ ไปที่มีการบันทึกสถานีโปรด รวมไปถึงความสามารถในการบันทึกเสียงเพลงจากวิทยุเข้าไปในความจำของเครื่องได้อีกด้วย

    สุดท้ายในเมนู Setting ที่จะแยกย่อยไปได้อีกหลากกลายเมนูเพื่อการปรับแต่งการใช้งานเมนูหลักต่างๆ โดยเมนูหลักๆ ที่ผมใช้งานบ่อยๆ ก็จะเป็นเมนู Music Setting ที่จะมีเมนูย่อยในการเลือกปรับเปลี่ยนโหมดในการเล่นและปรับเปลี่ยน EQ ( B-Series แม้จะเป็นเพลย์เยอร์รุ่นเล็กแต่ก็ประกอบไปด้วย EQ หลักๆ ของโซนี่อย่างครบถ้วนและมี Custom EQ อีก 1 Slot ) รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนระยะความยาวการพรีวิวเพลงของฟีเจอร์ Zappin อีกด้วย

    อีกหนึ่งเมนูที่ผมเรียกใช้บ่อยๆ ก็คือเมนู Common Setting ที่ใช้เพื่อการปรับแต่งสิ่งต่างๆ ในเครื่องไม่ว่าจะเป็น Contrast ของจอแสดงผล การประหยัดพลังงาน การปรับเปลี่ยนการแสดงผลของไฟLED วันเวลา และการใช้/ไม่ใช้ ฟังค์ชั่น ALVS ที่เป็นเอกลักษณ์ของเครื่องเล่นโซนี่  (มีเมนูเปลี่ยนภาษาให้เล่นด้วยนะครับแต่เสียดายที่ไม่มีภาษาไทย แต่ B-Series  สามารถแสดงผลเพลงเป็นภาษาไทยได้เต็มรูปแบบครับ)

Extra Features

    ฟีเจอร์ Zappin ที่เสริมเข้ามาจาก B-Series ตัวเก่าก็คือฟีเจอร์พรีวิวเพลงๆ หนึ่งโดยเครื่องเล่นจะสุ่มไปที่ท่อนฮุคกลางเพลง ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะให้มีระยะเวลาในการ Zap ว่าสั้น/ยาว (สั้นประมาณ 3 วินาที ยาวประมาณ 5 วินาที) โดยเมื่อกดใช้จะมีเสียงแสดงสถานะว่าเปิดใช้งานอยู่ (Zappin In) และระบบก็จะทำการพรีวิวเพลงไปเรื่อยๆ ถ้ากาต้องการจะหยุดที่เพลงไหฯก็เพียงแค่กดปุ่มอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ระบบการเล่นกลับไปเป็นปกติ (Zappin Out)

    Bass Booster หรือ Bass Enhancement เป็นฟีเจอร์ที่สร้างมาให้ขาร๊อกกับขาฮิบฮอบที่นิยมเบสหนักๆ และมีมิติได้เล่นกันโดยเฉพาะทีเดียว การจากเปิด/ปิด ในการเล่นเพลงเดียวกันแต่ละครั้ง ผมพอจะสรุปได้ว่าเมื่อเปิด Bass Enhancement  เสียงเบสที่ได้นั้นจะเพิ่มความหนักและมิติมาให้ซึ่งก็ต้องแลกกับความใสและรายละเอียดของเสียงที่หายไประหว่างการเปิดฟีเจอร์นี้ (บริโภคพลังงานมากขึ้นด้วย)

    ระบบ Quick Charge 3 นาทีใช้งานได้ 90 นาทีก็สามารถทำได้จริง แต่มีข้อแม้ว่าคุณจะต้องฟังเพลงไฟล์ MP 3 ที่ 128 Kbps และ ปิดระบบ Bass Enhancement ด้วย ดังนั้นผมจึงทดลองด้วยการใช้ไฟล์เสียง 320Kbps และเปิด Bass Enhancement และพบว่าสามารถใช้งานได้ 45 นาทีโดยประมาณ

Sound Quality

    

    ด้วยขนาด น้ำหนักและราคาของ  B-Series ผมจึงไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรที่มันจะสามารถเล่นไฟล์เสียงได้เพียงแค่ 2 ชนิดเท่านั้น ซึ่งได้แก่ไฟล์นามสกุล WMA (32-192kbps) และ MP3 (128-320 kbps) การโยกย้ายไฟล์เพลงใน  B-Series สามารถทำได้ง่ายๆ เหมือนกับการถ่ายโอนไฟล์ในอุปกรณ์เก็บข้อมูลแบบพกพาเท่านั้น

    และเช่นกันปกติตามธรรมเนียมรีวิว (ของผม) ที่จะจับคู่เพลย์เยอร์ตัวหนึ่งเข้ากับหูฟัง 3 ชุดด้วยกัน หูฟังในการทดสอบเจ้าB-Series ในครั้งนี้จะประกอบไปด้วย หูฟังMDR-ED12LP/R In-ear สีแดงแรงสามเท่าราคาย่อมเยาที่ชูระบบ Bass Boost เป็นจุดเด่น หูฟังลำดับที่สองได้แก่ Sennheiser PX 200 ที่ขึ้นชื่อในความสมดุลของเสียงที่ได้ และสุดท้ายได้แก่ MDR-XB700 Full Size Bass Head นุ่มนิ่มเบสรุนแรงจากทางค่ายโซนี่เอง ทุกคู่จะทดสอบด้วยไฟล์เพลง MP 3 ในหลากหลายอัลบั้มและหลากหลายแนวที่ RIP มาจาก CD ด้วยคุณภาพเสียง 320 kbps และจะปิด EQ พร้อมๆ กับเปิดฟีเจอร์ Bass Enhancement ไปตลอดการทดลอง

    ระฆังเริ่มแล้ว ! ยกแรกเปิดตัวการจับระหว่าง  B-Series และ MDR-ED12LP/R สีแดงแรงสามเท่าที่ได้รับการสนับสนุนมาจากทาง Sony Th  , MDR-ED12LP/R (ที่ผมจะไม่พูดซ้ำอีกว่ามันเป็นสีแดงแรงสามเท่า) เป็นหูฟัง In-ear ที่มีขนาดและราคาที่เล็กที่เหมาะสมกับการซื้อเป็นคู่กับ B-Series เป็นอย่างมากเลยทีเดียว แต่ถึงแม้ว่ามันจะมีราคาถูกแต่คุณภาพเสียงที่ได้กลับเทียบเท่าหูฟังในราคาอีกระดับหนึ่งเลยทีเดียว แต่ถ้าหากว่าคุณซื้อมาเพราะว่าข้างกล่องระบุไว้ว่ามันเป็นหูฟัง Bass Boost  ละก้คุณอาจจะต้องผิดหวังเล็กน้อย เพราะเสียงเบสที่ออกมาจากมันนั้นไม่เข้าท่าอย่างแรงเลยทีเดียวแม้ผมจะเปิดฟีเจอร์ Bass Enhancement  แล้วก็ตาม แต่สิ่งที่น้องแดงทำได้ดีก็คือการนำเสนอเสียงร้องแบบเต็มๆ อิ่มๆ ของศิลปินคนโปรดให้คุณแบบถึงน้ำถึงเนื้อเลยทีเดียว โดยอัลบั้มที่แนะนำสำหรับการทดสอบที่ผมอ้างขึ้นข้างต้นนี้ก็คืออัลบั้ม Joanna & 王若琳 ของ Joanna Wang ที่ MDR-ED12LP/R จะนำเสียงนู้ดสั่นๆ จากเธอให้คุณได้ฟังอย่างเต็มอิ่มอารมณ์

    ( และจากการ นอกเรื่องไปทดสอบกับ iPod Nano Gen 3 ผลทดสอบที่ได้ก็ยังคงบทสรุปเดิม เสียงร้องที่ได้ยังคงเต็มอิ่ม และเสียงเบสก็เลือนหายไปซะอย่างนั้น )

    ( สรุป - ความนุ่มและแน่นของเสียงร้องและเสียงกลางที่ได้เทียบได้กับ E-888 เลยทีเดียว แม้จะไม่ใสและได้รายละเอียดน้อยกว่าค่อนข้างมากก็เถอะแต่ด้วยราคาที่ต่างกันหลายเท่านับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ชื่นชอบเพลงแบบ Vocalist และ Jazz ครับ )

    ยกที่สองระหว่าง Sennheiser PX200 และB-Series  การประกบคู่ระหว่าง  PX200 ทำให้จุดด้อยในเรื่องเสียงของ B-Series  ปรากฎเด่นชัดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ด้วยความที่ PX200 เป็นหูฟังแบบ All-Round ที่ไม่มีความโดดเด่นในทางไหนเป็นพิเศษ (จากจากการบีบหัวเจ้าของเท่านั้น (- -*)) ทำให้ผมสามารถแยกได้อย่างชัดเจนว่าฟีเจอร์ Bass Enhancement ของ B-Series นั้นแย่งชิงความใสของเสียงจากต้นฉบับไปพอประมาณเลยทีเดียว เสียงที่ได้จาก PX200 และ B-Series จะค่อนไปทางอบอุ่นแนวโซนี่ เสียงร้องและเสียงกลางมีความหนักแน่นแต่รายละเอียดของปลายเสียงและเสียงประกอบต่างๆ ยังทำได้ไม่ชัดและขาดความคม เมื่อเทียบกับเพลย์เยอร์รุ่นที่ใหญ่กว่า แต่ถ้าเปรียบเทียบกับราคาค่างวดของมันเองแล้ว (B-Series) ในความคิดของผมเองนับว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว

    สุดท้าย คู่ระหว่าง MDR-XB700 Full Size ที่เกิดมาเพื่อเสียงเบส  (ที่มีขนาดใหญ่โตกว่า B-Series  หลายเท่าเลยทีเดียว)  ที่เปิดBass Enhancement และทดสอบด้วยการฟังเพลงในแนวที่เน้นเสียงเบสทั้งสิ้น ผมพบว่าทั้งคู่สามารถเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อในแนวเพลงที่ต้องการเสียงหนักๆ หรือเบสแรงๆ แต่ด้วยราคาค่าตัวของ B-Series เสียงเบสที่ได้ส่วนใหญ่จึงมีแค่ความดัง แต่ขาดมิติ แต่ในการทดลองฟังเพลงแนวอื่นๆ ด้วยการปิดฟีเจอร์ Bass Enhancement ก็พบว่าเสียงที่ได้จากการจับคู่ในครั้งนี้  XB700 กับ  B-Series กลับทำได้ดีกว่าเพลย์เยอร์รุ่นสูงกว่า อาจเป็นเพราะว่าทั้งคู่มีจุดเด่นและจุดด้อยที่เสริมกันค่อนข้างดี (B-Series ปิด Bass Enhancement เสียงจะใสและแหลมในขณะที่ XB700 จะเน้นไปที่การดึงเสียงหนักและเบส )

Sum up !

    หลังจากการทดสอบหลากหลายผ่านไป ผมค่อนข้างประหลาดใจที่โซนี่จะใส่ใจในการผลิตเจ้าเพลย์เยอร์รุ่นเล็ก  B-Series อันนี้ ถึงแม้ว่าเอเทียบกับเพลย์เยอร์รุ่น Entry-Level ด้วยกันแล้วเจ้า B-Series จะมีราคาสินสอดที่มากกว่าแบรนด์อื่นๆ ในตลาดอยู่พอประมาณ (จากการสำรวจสอบถามล่าสุด B142F 2GB ที่ผมใช้ในการรีวิวมีราคา 2,000 บาทมีทอนขึ้นอยู่กับการต่อรอง)  แต่ด้วยลักษณะรูปลักษณ์รวมไปถึงการวัสดุที่ใช้ประกอบก็มีความทนทานสมราคา (และหูแถม E804 ก็ให้เสียงไม่ขี้เหร่เท่าไรนัก) และจุดสำคัญก็คือพลังและคุณภาพเสียงที่ได้นั้นส่วนตัวแล้วผมถือว่ายอดเยี่ยมอยู่ในระดับแถวหน้าเลยทีเดียว (ถ้าเราไม่นำเครื่องเล่นประเภทในตำนานที่หาซื้อได้ยากมาเปรียบเทียบนะครับ) ข้อเสียที่เห็นได้ชัดสำหรับ B-Series  ก็คือฝา USB ที่ถอดเพื่อเชื่อมต่อนั้นเป็นรอยได้ง่ายดายและเสี่ยงต่อการสูญหายยิ่งนัก และการชาร์ตพลังงานก็เป็นไปอย่างเชื่องช้าอย่างยิ่งเลยทีเดียว แถมมันยังไม่เหมาะสมที่จะใช้คู่กับหูฟัง Hi-End อีกต่างหาก (ด้วยข้อจำกัดของไฟล์เสียงและคุณภาพเสียงจากตัวมันเอง) แต่อย่างไรก็ตามถ้าหากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังมองหาเครื่องเล่นระดับเริ่มต้นที่ไม่มีอะไรมาจุกจิกรบกวนให้ยุ่งยากและมอบคุณภาพเสียงที่ดีสมราคาคุ้มค่าเงินที่คุณเสียไปละก็เจ้า B-Series คือเพลย์เยอร์ที่เหมาะสมอย่างยิ่งเลยทีเดียวครับ  

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่