** ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้ทุกคนรอกันข้ามวันเลย เนื่องจากเน็ตเน่าค่ะ แต่วันนี้แก้ไขแล้ว งั้นเรามาต่อตอนที่ 2 กันเลยค่าาา ^^
>> หลังจากที่เรานั่งรถไฟกันข้ามคืน สุดท้ายเราก็มาถึงสถานีรถไฟลาวไก ในเวลา 7 โมงเช้า พอเดินออกมาจากสถานีเราก็จะเห็นรถตู้จอดอยู่เต็มไปหมด เป็นรถตู้ที่เราจะนั่งเข้าไป - ซาปา - ค่ะ
จากการสอบถามราคา ทุกคันราคาเท่ากันหมดคือ 50,000 VND /คน บางคนอาจให้รถที่โรงแรมมารับก็แล้วแต่จะตกลงราคากับโรงแรมนะ แต่เราถามโรงแรมเราแล้วราคาแพงกว่าเลยตัดสินใจซื้อหน้างานละกัน พอรถเต็มเค้าก็ออกรถเลย ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ก็ถึงตัวซาปา คนขับรถจะถามว่าเราลงตรงไหนก็บอกเค้า เค้าจะทยอยส่งคนไปเรื่อยๆ
เราจอง Phoung Nam Hotel จากคำแนะนำของพี่ที่ทำงาน รถส่งเราที่โบสถ์ จุดศูนย์กลางของซาปา เราเลยต้องเดินไปเอง T^T แต่ไม่ไกลค่ะ เป็น GPS เดินตามไปค่ะ
พอถึงโรงแรมเรายังไม่สามารถเช็คอินได้ เค้าจะให้เราวางกระเป๋าไว้แถวๆเคาเตอร์ก่อน แจ้งชื่อไว้ แล้วเค้าจะให้คนขนไปให้ทีหลัง เราเลยตัดสินใจถามเรื่อง trekking ว่าราคาเท่าไหร่ เค้าก็ชี้ให้ดูว่า...ถ้าเราจะเดินเส้นทางไหน ราคาเท่าไหร่มั้ง โดยเราเลือก trekking กันที่เส้นทางไป Tan Van ซึ่งอีกประมาณ 1 ชม.จะมีไกด์มารับ ดังนั้นเราเลยจัดการอาบน้ำก่อน ซึ่งไม่ใช่ห้องน้ำของห้องที่เราจะพัก แต่..เป็นห้องน้ำของทางโรงแรมที่มีไว้ให้คนที่ยังไม่ได้เช็คอินอาบน้ำ พอเสร็จธุระส่วนตัวแล้วเราก็จัดการหาของกินตอนเช้าๆกับบรรยากาศฝนโปรยๆหมอกบางๆ กับ เฝอหมูย่าง อร่อยมากกก ร้านอยู่แถวๆโรงแรมเลยค่ะ เดินหาเอานะ

เมื่อเราเติมพลังเพื่อเตรียมพร้อมกับการเดิน trekking กันแล้ว รถก็มารับที่หน้าโรงแรมเลยค่ะ เป็นรถตู้ มีกันทั้งหมด 10 คน รวมเราด้วย แล้วก็เพิ่งรู้ว่า..การเดินเส้นทางนี้ มหาโหดจริงๆค่ะ T^T มาดูด้วยกันเลยค่ะ
การเดินในครั้งนี้ มีลูกทัวร์ 10 คน ไกด์ผู้หญิง 1 คน การดูแลอาจจะไม่ทั่วถึง และไกด์ก็พูดแนะนำระหว่างทางเป็นภาษาอังกฤษ สำเนียงเวียดนาม ส่วนเรานั้น การฟังละพูดภาษาอังกฤษก็งูๆปลาๆ ดังนั้น สิ่งที่ไกด์พูดไปก็ไม่ได้เข้าหัวเลยซักนิด 555+ เราจึง เดินไปถ่ายรูปไปกับเพื่อน ไม่สนอะไรทั้งนั้น ซึ่งไม่รู้ว่า..ต่อไปเราจะเจออะไร หึหึ มาดูรูประหว่างทางดีกว่าค่ะ
รูปนี้เป็นรูปที่เดินลงมาจากจุดที่รถตู้ส่งลงมานิดนึง

เราจะเดินลงเขามาเรื่อยๆ นะคะ
อ้อ !! ลืมบอกว่า..ตอนเราลงจากรถตู้จะมีชาวเขาเดินประกบเรามา ชวนคุย แล้วก็ช่วยเราเวลาเจอทางเดินลำบากๆ แล้วตอนสุดท้ายเค้าจะชวนเราซื้อของที่เค้าแบกมา ซึ่งตอนแรกเราก็จะซื้อ แต่ถามราคาแล้วแพง เลยไม่ซื้อ จริงๆก็ไม่ได้ช่วยอะไรเราเลยด้วย เลยตัดสินใจไม่เอาดีกว่า แต่มีเด็กๆเค้าเอาหญ้าที่มีดอกไม้มาทำรูปหัวใจให้ด้วยนะ

ที่นี่เค้าทำนาโดยใช้ควายไถนา เพราะทำบนเขา

เราเกือบโดนควายล่ามแล้ว ดีนะแค่เฉียดๆ เพราะสะพายกระเป๋าซะสีส้มสำท้อนแสงเลย - - “
ระหว่างทางก็จะมีร้านขายของที่ระลึกด้วยค่ะ

ช่วงที่เรามาเป็นช่วงกลางๆกันยายน นาข้าวออกรวงสีทอง บางที่ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้วเราเลยเป็นชาวนาเก็บข้าวกัน

เดินมาอีกนิดก็ได้เจอกับจุกพักเที่ยงของเรา เป็นบ้านของไกด์เอง เค้าทำกับข้าวให้เรากิน มีห้องน้ำให้เข้า สะดวกสาย โดยที่ค่าข้าวรวมแล้วในการเดิน trekking ครั้งนี้ กับน้ำอีก ขวดใหญ่ กับข้าวก็มี กะหล่ำผัดน้ำปลา, เต้าหู้ผัด และไก่ผัดหอมใหญ่ใส่เห็ด ตามรูปเลยค่า

และนี่คือบรรยากาศตอนนั่งกินข้าวค่ะ

ต่อจากนี้ไป เราจะได้ใช้พลังการที่สะสมมาทั้งหมดกับการเดินขึ้นเขา ซึ่งทางเดินก่อนหน้านี้เค้าเทปูนทำให้เราเดินสะดวก แต่หลังจากนี้เราจะเดินกันไปบนขอบนาขั้นบันได ซื้อคิดสภาพนะ ก่อนหน้านี้มีฝนปรอยๆ ดินเปียกชื้น ทำให้การเดินมีลื่นบ้าง รองเท้าจมดินบ้าง สภาพยับเยินเลยค่ะ งั้นไปลุยกันเลยค่ะ

รูปจากบนภูเขา

และรูปทางเดิน ไม่รู้คิดถูกหรือผิดที่ใส่converseมา เน่าเลยค่ะ 555+

เนื่องจากทางเดินโหด เลยได้รูปมานิดเดียว เพราะว่าถ้าจะมัวถ่ายรูป คงเดินเอาหาเหยียบข้าวเค้าแล้วเค้าจะด่าเอา หึหึ
จากประสบการณ์ในครั้งนี้สอนให้รู้ว่า.. ควรเตรียมรองเท้ามา 2 คู่นะ (เราเตรียมมาแล้ว) เผื่อมันเน่าแล้วเปลี่ยนเอาอีกคู่มาใส่แทน แล้วก็เตรียมยานวดคลายกล้ามเนื้อมาด้วยนะ
เราเห็นคนรีวิวส่วนใหญ่ไม่ค่อยเดินเส้นทางนี้กัน เลยอยากเอามาให้เพื่อนๆลองพิจารณาสำหรับคนที่ชอบลุยๆแบบเรา รวมๆแล้วระยะทางขึ้นเขาลงเขาประมาณ 15 กม. เรากับเพื่อนที่เป็นเอเชียแค่ 2 คน นอกนั้นก็เป็นคนแคนนาดา ออสเตรเลีย และเม็กซิโก
หลังจากสิ้นสุดการเดิน trekking จะมีรถตู้มารับเราที่ปลายทาง ส่งเรากลับโรงแรม เรามาถึงโรงแรมประมาณบ่าย 3 กว่าๆมั้ง จำไม่ได้ นี่คือห้องของเรา

ตอนแรกที่จองไปในเว็บจองห้องเตียงคู่ 1 เตียง สำหรับสองคน แต่เจ้าของบอกว่า..ฉันมีอีกห้องนึงเดี๋ยวให้เธอนอนห้องนี้เลยละกันนะ ราคาเท่าเดิม เราเลยเปรมเลยค่ะ เตียงคู่สองเตียงเลย ^0^ แอร์ไม่มีนะคะ มีแต่พัดลม จริงๆพัดลมก็ไม่ได้เปิดค่ะ เพราะลมพัดเข้าห้องทั้งคืนหนาวสั่นกันเลยทีเดียวค่ะ
หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้วเราก็เดินหาของกินค่ะ
>> ซึ่งจากการหาข้อมูลมาเค้าบอกว่า... “ชาบูแซลมอนเด็ด” ซึ่งเราก็ไม่รุว่าร้านไหน เราเลยไปจบร้านแถวๆที่พัก เดินไม่ไกล หาง่ายดีค่ะ ร้านนี้เลย

เราก็จักมาแค่ 2 เมนูเองค่ะ ตามรูปเล้ยยยย

จำไม่ได้ว่าอันบนนี้เค้าเรียกว่าอะไร แต่กินสดๆเลยแล้วม้วนๆเหมือนแหนมเนืองแล้วจิ้มน้ำจิ้ววาซาบิ สุโค่ยยยย ค่ะ ^^P
..คือ..สั่งมาคิดว่าหมดแน่ๆ เดินตั้ง 15 กิโล แต่...พออาหารมาเท่านั้นแหละ ทำไมเยอะจังว้า ??กินชาบูไม่หมดค่ะ เพราะในชาบูมีมาม่าด้วย มันอืดเต็มหม้อเลย สุดท้ายกินแต่เนื้อปลาค่ะ ปล่อยให้มาม่าอืดไป ^O^
กินเสร็จก็เดินย่อยตอนกลางคืน อุณหภูมิที่ซาปา 15 องศาค่ะ ชิววววค่ะ ฮั้ดชิ้วววว เลยค่ะ TT^TT
เพราะก่อนมามีอาการหวัดกิน พอมาเจอ 35 องศาที่ฮานอย อีกวันที่ ซาปา 15 องศา ร่างกายไปเลยค่ะ แต่ก็ยังจะเที่ยวต่อ เพื่อได้เที่ยวเรายอมค่ะ ^^V
ปิดท้ายยามค่ำคืน โบสน์ที่ซาปาค่ะ

อรุณสวัสเช้าวันที่สามค่ะ อาบน้ำลงมากินข้าวเช้าของโรงแรม หน้าตาน่ากินเนาะ อย่าถามเรื่องรสชาตินะ

กับบรรยากาศสวยๆ

และรูปจากระเบียงหน้าห้อง

หลังจากกินอิ่ม และถ่ายรูปเป็นที่พอใจแล้ววันนี้เราต้องเก็บของรอ check out ซึ่งตอนแรกแพลนว่าจะไปหมู่บ้านกัตกัต (cat cat village) กับไปดูน้ำตก silver ซึ่งเป็นที่ที่มีชื่อของที่นี่ แต่..เราเจอพี่ๆคนไทยเค้าชวนคุยแล้วบอกว่า..เค้าจะไปเที่ยว Fansipan กัน เราเลยเกิดความสนใจแล้วนั่งหาข้อมูลพบว่ายังไม่ค่อยมีใครรีวิวเลยเพราะที่นี่เพิ่งเปิดตอนต้นปีที่ผ่านมา เราเลยตัดสินใจไปกันค่ะ
( ต่อในคอมเม้นแทนนะคะ )
[CR] Review เที่ยวเวียดนาม >>ฮานอย+ซาปา<< สไตล์ 2 สาว :: 5 วัน 4 คืน (ตอนที่ 2)
>> หลังจากที่เรานั่งรถไฟกันข้ามคืน สุดท้ายเราก็มาถึงสถานีรถไฟลาวไก ในเวลา 7 โมงเช้า พอเดินออกมาจากสถานีเราก็จะเห็นรถตู้จอดอยู่เต็มไปหมด เป็นรถตู้ที่เราจะนั่งเข้าไป - ซาปา - ค่ะ
จากการสอบถามราคา ทุกคันราคาเท่ากันหมดคือ 50,000 VND /คน บางคนอาจให้รถที่โรงแรมมารับก็แล้วแต่จะตกลงราคากับโรงแรมนะ แต่เราถามโรงแรมเราแล้วราคาแพงกว่าเลยตัดสินใจซื้อหน้างานละกัน พอรถเต็มเค้าก็ออกรถเลย ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ก็ถึงตัวซาปา คนขับรถจะถามว่าเราลงตรงไหนก็บอกเค้า เค้าจะทยอยส่งคนไปเรื่อยๆ
เราจอง Phoung Nam Hotel จากคำแนะนำของพี่ที่ทำงาน รถส่งเราที่โบสถ์ จุดศูนย์กลางของซาปา เราเลยต้องเดินไปเอง T^T แต่ไม่ไกลค่ะ เป็น GPS เดินตามไปค่ะ
พอถึงโรงแรมเรายังไม่สามารถเช็คอินได้ เค้าจะให้เราวางกระเป๋าไว้แถวๆเคาเตอร์ก่อน แจ้งชื่อไว้ แล้วเค้าจะให้คนขนไปให้ทีหลัง เราเลยตัดสินใจถามเรื่อง trekking ว่าราคาเท่าไหร่ เค้าก็ชี้ให้ดูว่า...ถ้าเราจะเดินเส้นทางไหน ราคาเท่าไหร่มั้ง โดยเราเลือก trekking กันที่เส้นทางไป Tan Van ซึ่งอีกประมาณ 1 ชม.จะมีไกด์มารับ ดังนั้นเราเลยจัดการอาบน้ำก่อน ซึ่งไม่ใช่ห้องน้ำของห้องที่เราจะพัก แต่..เป็นห้องน้ำของทางโรงแรมที่มีไว้ให้คนที่ยังไม่ได้เช็คอินอาบน้ำ พอเสร็จธุระส่วนตัวแล้วเราก็จัดการหาของกินตอนเช้าๆกับบรรยากาศฝนโปรยๆหมอกบางๆ กับ เฝอหมูย่าง อร่อยมากกก ร้านอยู่แถวๆโรงแรมเลยค่ะ เดินหาเอานะ
เมื่อเราเติมพลังเพื่อเตรียมพร้อมกับการเดิน trekking กันแล้ว รถก็มารับที่หน้าโรงแรมเลยค่ะ เป็นรถตู้ มีกันทั้งหมด 10 คน รวมเราด้วย แล้วก็เพิ่งรู้ว่า..การเดินเส้นทางนี้ มหาโหดจริงๆค่ะ T^T มาดูด้วยกันเลยค่ะ
การเดินในครั้งนี้ มีลูกทัวร์ 10 คน ไกด์ผู้หญิง 1 คน การดูแลอาจจะไม่ทั่วถึง และไกด์ก็พูดแนะนำระหว่างทางเป็นภาษาอังกฤษ สำเนียงเวียดนาม ส่วนเรานั้น การฟังละพูดภาษาอังกฤษก็งูๆปลาๆ ดังนั้น สิ่งที่ไกด์พูดไปก็ไม่ได้เข้าหัวเลยซักนิด 555+ เราจึง เดินไปถ่ายรูปไปกับเพื่อน ไม่สนอะไรทั้งนั้น ซึ่งไม่รู้ว่า..ต่อไปเราจะเจออะไร หึหึ มาดูรูประหว่างทางดีกว่าค่ะ
รูปนี้เป็นรูปที่เดินลงมาจากจุดที่รถตู้ส่งลงมานิดนึง
เราจะเดินลงเขามาเรื่อยๆ นะคะ
อ้อ !! ลืมบอกว่า..ตอนเราลงจากรถตู้จะมีชาวเขาเดินประกบเรามา ชวนคุย แล้วก็ช่วยเราเวลาเจอทางเดินลำบากๆ แล้วตอนสุดท้ายเค้าจะชวนเราซื้อของที่เค้าแบกมา ซึ่งตอนแรกเราก็จะซื้อ แต่ถามราคาแล้วแพง เลยไม่ซื้อ จริงๆก็ไม่ได้ช่วยอะไรเราเลยด้วย เลยตัดสินใจไม่เอาดีกว่า แต่มีเด็กๆเค้าเอาหญ้าที่มีดอกไม้มาทำรูปหัวใจให้ด้วยนะ
ที่นี่เค้าทำนาโดยใช้ควายไถนา เพราะทำบนเขา
เราเกือบโดนควายล่ามแล้ว ดีนะแค่เฉียดๆ เพราะสะพายกระเป๋าซะสีส้มสำท้อนแสงเลย - - “
ระหว่างทางก็จะมีร้านขายของที่ระลึกด้วยค่ะ
ช่วงที่เรามาเป็นช่วงกลางๆกันยายน นาข้าวออกรวงสีทอง บางที่ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้วเราเลยเป็นชาวนาเก็บข้าวกัน
เดินมาอีกนิดก็ได้เจอกับจุกพักเที่ยงของเรา เป็นบ้านของไกด์เอง เค้าทำกับข้าวให้เรากิน มีห้องน้ำให้เข้า สะดวกสาย โดยที่ค่าข้าวรวมแล้วในการเดิน trekking ครั้งนี้ กับน้ำอีก ขวดใหญ่ กับข้าวก็มี กะหล่ำผัดน้ำปลา, เต้าหู้ผัด และไก่ผัดหอมใหญ่ใส่เห็ด ตามรูปเลยค่า
และนี่คือบรรยากาศตอนนั่งกินข้าวค่ะ
ต่อจากนี้ไป เราจะได้ใช้พลังการที่สะสมมาทั้งหมดกับการเดินขึ้นเขา ซึ่งทางเดินก่อนหน้านี้เค้าเทปูนทำให้เราเดินสะดวก แต่หลังจากนี้เราจะเดินกันไปบนขอบนาขั้นบันได ซื้อคิดสภาพนะ ก่อนหน้านี้มีฝนปรอยๆ ดินเปียกชื้น ทำให้การเดินมีลื่นบ้าง รองเท้าจมดินบ้าง สภาพยับเยินเลยค่ะ งั้นไปลุยกันเลยค่ะ
รูปจากบนภูเขา
และรูปทางเดิน ไม่รู้คิดถูกหรือผิดที่ใส่converseมา เน่าเลยค่ะ 555+
เนื่องจากทางเดินโหด เลยได้รูปมานิดเดียว เพราะว่าถ้าจะมัวถ่ายรูป คงเดินเอาหาเหยียบข้าวเค้าแล้วเค้าจะด่าเอา หึหึ
จากประสบการณ์ในครั้งนี้สอนให้รู้ว่า.. ควรเตรียมรองเท้ามา 2 คู่นะ (เราเตรียมมาแล้ว) เผื่อมันเน่าแล้วเปลี่ยนเอาอีกคู่มาใส่แทน แล้วก็เตรียมยานวดคลายกล้ามเนื้อมาด้วยนะ
เราเห็นคนรีวิวส่วนใหญ่ไม่ค่อยเดินเส้นทางนี้กัน เลยอยากเอามาให้เพื่อนๆลองพิจารณาสำหรับคนที่ชอบลุยๆแบบเรา รวมๆแล้วระยะทางขึ้นเขาลงเขาประมาณ 15 กม. เรากับเพื่อนที่เป็นเอเชียแค่ 2 คน นอกนั้นก็เป็นคนแคนนาดา ออสเตรเลีย และเม็กซิโก
หลังจากสิ้นสุดการเดิน trekking จะมีรถตู้มารับเราที่ปลายทาง ส่งเรากลับโรงแรม เรามาถึงโรงแรมประมาณบ่าย 3 กว่าๆมั้ง จำไม่ได้ นี่คือห้องของเรา
ตอนแรกที่จองไปในเว็บจองห้องเตียงคู่ 1 เตียง สำหรับสองคน แต่เจ้าของบอกว่า..ฉันมีอีกห้องนึงเดี๋ยวให้เธอนอนห้องนี้เลยละกันนะ ราคาเท่าเดิม เราเลยเปรมเลยค่ะ เตียงคู่สองเตียงเลย ^0^ แอร์ไม่มีนะคะ มีแต่พัดลม จริงๆพัดลมก็ไม่ได้เปิดค่ะ เพราะลมพัดเข้าห้องทั้งคืนหนาวสั่นกันเลยทีเดียวค่ะ
หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้วเราก็เดินหาของกินค่ะ
>> ซึ่งจากการหาข้อมูลมาเค้าบอกว่า... “ชาบูแซลมอนเด็ด” ซึ่งเราก็ไม่รุว่าร้านไหน เราเลยไปจบร้านแถวๆที่พัก เดินไม่ไกล หาง่ายดีค่ะ ร้านนี้เลย
เราก็จักมาแค่ 2 เมนูเองค่ะ ตามรูปเล้ยยยย
จำไม่ได้ว่าอันบนนี้เค้าเรียกว่าอะไร แต่กินสดๆเลยแล้วม้วนๆเหมือนแหนมเนืองแล้วจิ้มน้ำจิ้ววาซาบิ สุโค่ยยยย ค่ะ ^^P
..คือ..สั่งมาคิดว่าหมดแน่ๆ เดินตั้ง 15 กิโล แต่...พออาหารมาเท่านั้นแหละ ทำไมเยอะจังว้า ??กินชาบูไม่หมดค่ะ เพราะในชาบูมีมาม่าด้วย มันอืดเต็มหม้อเลย สุดท้ายกินแต่เนื้อปลาค่ะ ปล่อยให้มาม่าอืดไป ^O^
กินเสร็จก็เดินย่อยตอนกลางคืน อุณหภูมิที่ซาปา 15 องศาค่ะ ชิววววค่ะ ฮั้ดชิ้วววว เลยค่ะ TT^TT
เพราะก่อนมามีอาการหวัดกิน พอมาเจอ 35 องศาที่ฮานอย อีกวันที่ ซาปา 15 องศา ร่างกายไปเลยค่ะ แต่ก็ยังจะเที่ยวต่อ เพื่อได้เที่ยวเรายอมค่ะ ^^V
ปิดท้ายยามค่ำคืน โบสน์ที่ซาปาค่ะ
อรุณสวัสเช้าวันที่สามค่ะ อาบน้ำลงมากินข้าวเช้าของโรงแรม หน้าตาน่ากินเนาะ อย่าถามเรื่องรสชาตินะ
กับบรรยากาศสวยๆ
และรูปจากระเบียงหน้าห้อง
หลังจากกินอิ่ม และถ่ายรูปเป็นที่พอใจแล้ววันนี้เราต้องเก็บของรอ check out ซึ่งตอนแรกแพลนว่าจะไปหมู่บ้านกัตกัต (cat cat village) กับไปดูน้ำตก silver ซึ่งเป็นที่ที่มีชื่อของที่นี่ แต่..เราเจอพี่ๆคนไทยเค้าชวนคุยแล้วบอกว่า..เค้าจะไปเที่ยว Fansipan กัน เราเลยเกิดความสนใจแล้วนั่งหาข้อมูลพบว่ายังไม่ค่อยมีใครรีวิวเลยเพราะที่นี่เพิ่งเปิดตอนต้นปีที่ผ่านมา เราเลยตัดสินใจไปกันค่ะ
( ต่อในคอมเม้นแทนนะคะ )