ความเดิมตอนที่แล้ว
http://pantip.com/topic/35372901
ตอนที่เก้า
ซากรัก
โดย...ล. วิลิศมาหรา
หนุ่มสาวทั้งสองขับรถกลับเข้ามายังตึกหลังใหญ่ของทิพย์วิภาในเวลาอาหารเย็นพอดี แสงสินีหลบขึ้นข้างบนเพื่ออาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที ปล่อยให้เอกกวีเข้าไปพูดคุยกับผู้ใหญ่ที่กำลังนั่งรอทานข้าวพร้อมหน้ากันอยู่ในห้องรับประทานอาหาร ซึ่งสักพักชายหนุ่มก็ขอตัวขึ้นไปบนห้องพักของตัวเองเช่นกัน
เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันชวนขนหัวลุก คนทั้งคู่จึงไม่อยากให้คนในบ้านรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในวัดเมื่อตอนบ่าย เพราะมันจะนำความวิตกกังวลมาให้ญาติผู้ใหญ่ทั้งหมดอีกครั้ง หลังจากท่านเหล่านั้นเริ่มสบายใจมาได้ระยะหนึ่ง เนื่องจากข่าวคราวหลอกหลอนของปีศาจสาวในบ้านไม้สามหลังซาไปหลายปีแล้ว
หลังเสร็จจากอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย แสงสินีเดินนำหน้าเอกกวีเข้ามายังห้องรับประทานอาหาร ท่าทีของเธอสงบเสงี่ยมผิดปกติไปจากสาวแสนห้าวจอมโวยวาย ญาติผู้ใหญ่ทั้งหมดความจริงทานอาหารอิ่มกันหมดแล้ว ที่ยังคงนั่งอยู่ก็เพื่อรอสนทนากับสองหนุ่มสาวนั่นเอง ทั้งคู่กล่าวคำขอโทษที่กลับมาช้าแล้วเริ่มลงมือทานกันเงียบ ๆ เพราะต่างมีเรื่องให้ครุ่นคิดอยู่ในใจ พวกผู้ใหญ่เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มสาวรวบช้อนส้อมแสดงว่าอิ่มจากมื้ออาหาร รำเพยมารดาของแสงสินีก็เอ่ยถามลูกสาวคนเดียวทันทีว่า
"เมื่อไหร่แกสองคนจะแต่งงานกันเสียที" แสงสินีมองมารดาแล้วก้มหน้าหลบสายตาลงทันควัน แสร้งหยิบช้อนส้อมขึ้นมาเขี่ยอาหารในจานเล่นใหม่ ส่วนเอกกวีนั่งนิ่งอึ้ง
"ว่าไงล่ะฝน" รำเพยคาดคั้นจะเอาคำตอบจากลูกสาวหัวดื้อให้ได้ เธอรู้สึกงุนงงกับความคิดความอ่านของลูกสาว อีกทั้งยังตกใจเมื่อรู้จากทิพย์วิภาว่า ที่ทั้งคู่ยังไม่ลงเอยกันสักทีเป็นเพราะลูกสาวของเธอนั่นเอง
"เอ้อ...ฝน...ฝน"
"ฝนเขายังไม่พร้อมครับ" เอกกวีชำเลืองมองคนรัก เห็นเธออึกอักจึงช่วยตอบเสียเอง
"อะไรกัน อายุปาเข้าไปตั้งสามสิบสามแล้วนะ ยังไม่พร้อมอีกเหรอ แต่งกันซะทีเถอะแม่อยากอุ้มหลานจะแย่ ขืนแก่กว่านี้ปู่กับย่าคงเลี้ยงหลานไม่ไหว" จรุงจิตมารดาของเอกกวีรีบสนับสนุนคำพูดผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง
"นั่นสิ ตากับยายรอมานานเต็มที หรือมีปัญหาเรื่องค่าสินสอดทองหมั้น ขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะว่าไม่เอาสักบาท พ่อกับแม่ยกฝนมันให้ฟรี ๆ"
พอทรงศักดิ์ซึ่งเป็นบิดาของแสงสินีพูดจบทุกคนก็พากันหัวเราะครืน ถึงแม้จะพูดทีเล่นทีจริงแต่ต่างรู้ดีว่า ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงไม่ได้คิดถึงเรื่องสินสอดทองหมั้นเลยแม้แต่น้อยจริง ๆ
"เรื่องงานแต่งเดี๋ยวป้าจัดการให้เอง ไม่ต้องออกเงินสักบาทเหมือนกัน ว่าไงล่ะ"
ทิพย์วิภาเอ่ยสนับสนุนเต็มที่ หญิงเจ้าของสวนไม่มีญาติมิตรที่ไหนอีก เธอคิดว่าตัวเองโชคดีที่ในชีวิตโดดเดี่ยวยังได้มารู้จักกับครอบครัวของคนดี ๆ บั้นปลายชีวิตของเธอจึงหวังพึ่งพิงหลานนอกไส้ทั้งคู่ เงินทองที่มีอยู่มากมาย เมื่อก่อนคิดว่าตายไปก็จะมอบให้เป็นสาธารณะกุศล แต่ตอนนี้เธอมีหลาน ๆ พวกนี้แล้ว ดังนั้นทรัพย์สินทั้งหมดจึงคิดทุ่มเทให้หลานทั้งคู่
"เอ้อ ไม่ใช่เรื่องเงินทองหรอกครับ ฝนเขาไม่พร้อมเพราะยังทำใจไม่ได้...เรื่องแก้มนั่นแหละ ก็เลยยังไม่ยอมแต่งกับผม"
ทุกคนในที่นั้นยกเว้นทิพย์วิภาและรำเพยร้อง อ้าว ออกมาพร้อมกันเพราะพึ่งรู้สาเหตุ ก่อนหันมามองหน้าคมขำของแสงสินีเป็นตาเดียว
"ฝนเกรงใจแก้มค่ะ"
หญิงสาวตัดสินใจเปิดปากบอก แม้เรื่องร้ายผ่านมานานมากถึงสิบห้าปี แต่ทนายสาวยังรู้สึกเหมือนมันพึ่งผ่านไปไม่นานมานี้ แสงสินียังฝันถึงกวินตาบ่อย ๆ วิญญาณเพื่อนรักมักมาเข้าฝันและขออาศัยอยู่ด้วย ซึ่งเธอก็รีบทำบุญให้เพื่อนเสมอ แต่ความรู้สึกย่ำแย่ว่าเป็นต้นเหตุให้กวินตาฆ่าตัวตายก็ยังไม่ดีขึ้นเสียที
"ถ้าแต่งงานกับเต้ยไปแล้วฝนรู้สึกเหมือนทำร้ายแก้ม เพราะแก้มยังไม่ไปไหน ยังอยู่ที่นั่น เฝ้ามองดูพวกเราอยู่"
"ทำไมคิดมากแบบนี้ คนก็ส่วนคน วิญญาณย่อมอยู่อีกโลกหนึ่ง ป่านนี้ก็คงไปผุดไปเกิดแล้วล่ะ ไม่ได้ยินว่าออกมาให้ใครเห็นนานแล้วนี่"
รำเพยติงลูกสาว เธอยกเหตุผลทางพระพุทธศาสนามาอ้าง ไม่ทันสังเกตอาการสะดุ้งน้อย ๆ ของคนทั้งคู่
"ฝนเข้าใจค่ะแม่ แต่...มันยังรู้สึกแย่ ๆ ฝนว่ารออีกสักระยะดีกว่า"
หญิงสาวรีบตัดบท เอกกวีถอนหายใจเฮือกใหญ่ นึกถึงเรื่องน่ากลัวเมื่อตอนบ่ายนี้แล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มนึกท้อใจจริงจังขึ้นมาเป็นครั้งแรก การปรากฏตัวของวิญญาณกวินตาให้แสงสินีได้รับรู้ ยิ่งทำให้สถานการณ์วิวาห์ยืดเยื้อระหว่างเขากับเธอแย่ลงไปอีก วิศวกรหนุ่มเหลียวมองหน้าผู้ใหญ่ทุกคนก่อนยักไหล่แบมือออกสองข้างเสมอไหล่อย่างบอกว่ายอมแพ้ แสงสินีสร้างเกราะไว้ห่อหุ้มตัวเธอเองจากความรู้สึกผิดอย่างแน่นหนา โดยพ่วงเอาตัวเขาให้ติดร่างแหความผิดบาปนั้นไปด้วย
ค่ำคืนนี้ในตึกหลังใหญ่ของทิพย์วิภาบรรยากาศเงียบสงบ บรรดาผู้ใหญ่ต่างเปิดโอกาสให้สองคู่รักสนทนากันตามประสาคนรักอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เพราะพึ่งรู้ว่านาน ๆ ทั้งสองจึงจะมีโอกาสได้อยู่กันตามลำพังแบบนี้ ทั้งหมดจึงชวนกันเข้านอนห้องใครห้องมันตั้งแต่หัวค่ำ
"อยากอยู่กับฝนแบบนี้ทุกวันเลย เมื่อไหร่เราถึงจะได้ใช้ชีวิตร่วมกันเสียทีนะ"
เอกกวีเปรยขึ้น เขาลูบไล้มือเรียวที่วางอยู่บนตักของสาวคนรักแผ่วเบา สายตาจ้องมองเธออย่างเสน่หา
"ไม่มีทางหรอก" หญิงสาวกลับตอบมาด้วยสุ้มเสียงประหลาดจนชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วถาม
"หืม ทำไมฝนพูดแบบนั้น"
"ถึงแต่งงานกันแล้ว เต้ยก็ต้องบินไปนู่นนี่บ่อย ๆ ไม่ใช่เหรอ ปีหนึ่งตัวอยู่เมืองไทยกี่วันกัน แล้วเราจะอยู่ด้วยกันทุกวันได้ยังไง"
"เอ๊ะ ฝนกำลังคิดอะไรอยู่ หรือว่าฝนต้องการอยู่กินกันแบบนั้นจริง ๆ ถ้างั้น...ฝนไม่ต้องทำงานดีไหม เราจะได้อยู่ด้วยกันทุกวันได้อย่างที่ฝนต้องการ เวลาเต้ยบินไปเมืองนอกก็เอาฝนตามไปด้วย"
"เต้ยพูดเอาแต่ได้ สำนักงานกฎหมายของฝนกว่าจะมาถึงวันนี้ต้องลงแรงไปตั้งเท่าไหร่ แล้วจะให้ทิ้งเสียง่าย ๆ เพื่อไปเป็นแม่บ้านคอยหาข้าวหาปลาให้เต้ยกินงั้นเหรอ ไม่ไหวมั้ง"
"ฝน..." วิศวกรหนุ่มเรียกแฟนสาวเสียงดังอย่างตกใจ นี่มันอะไรกัน ทำไมแสงสินีถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ คำพูดคำจาของเธอราวไร้เยื่อใย พูดออกมาได้เต็มปากทำนองว่าชายคนรักไม่สำคัญเท่างานที่ทำ เอกกวีกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ รู้สึกคับแน่นตีบตันในอก จ้องมองแฟนสาวอย่างน้อยใจเป็นที่สุด
"ขอถามสักคำ ฝนยังรักเต้ยอยู่ใช่ไหม" คำถามนี้ไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องเอ่ยปากถามไถ่ แต่ไหนแต่ไรเขามั่นใจในรักแรกและรักเดียวระหว่างเขากับเธอ ทั้งสองพบเจออุปสรรคมากมายแต่ฝ่าฝันร่วมกันมาได้โดยตลอด และยิ่งนานวันเขายิ่งผูกพันรักใคร่เพียงเธอ ชายหนุ่มเชื่อสนิทใจว่าแฟนสาวก็เป็นเช่นเดียวกับเขา แต่คราวนี้ที่ต้องถามเพราะเกิดแคลงใจ
"รักสิ แต่ฝนก็รักงานของฝนเหมือนกัน เอาล่ะ ลองพูดกลับกันนะ ถ้าฝนขอร้องให้เต้ยออกจากงานมาช่วยที่สำนักงานของฝนล่ะ"
หล่อนย้อนคำถามที่ทำให้ชายหนุ่มต้องสะอึก เขานึกไม่ถึงปัญหาข้อนี้ หรือว่าตัวเขาจะหมดหนทางสานต่อความรักจนถึงมีงานวิวาห์กับเธอได้แล้วจริง ๆ ตอนนี้เอกกวีแน่ใจแล้วว่า เป็นเพราะแสงสินีกลัวเสียตัวตนและงานที่เธอรักไป ส่วนเรื่องของแก้มนั้นอาจเป็นเรื่องรองที่เธอนำมาช่วยอ้างก็ได้ แสงสินีต้องการเพียงแค่ได้รักแต่ไม่ต้องการครองเรือนกับเขา ชายหนุ่มนั่งอึ้งมองหน้าแฟนสาว สมองมึนงงกับสิ่งที่ได้ยิน พยายามนึกหาคำพูดมาต่อรอง แต่เขายังนึกไม่ออก
"ดึกแล้ว พรุ่งนี้ค่อยคุยกันใหม่ ฝนง่วงจัง ขอตัวไปนอนก่อนนะ"
กลายเป็นหญิงสาวที่พูดตัดบทอีกแล้ว และลุกขึ้นจากที่นั่งตั้งท่าจะผละจากไป เอกกวีจึงต้องลุกตาม
"เอาที่ฝนสบายใจก็แล้วกัน ตามใจฝนจ้ะ เต้ยรอฝนได้เสมอ" แสงสินีส่งยิ้มให้แฟนหนุ่ม พึมพำพูดขอบคุณเขาที่เข้าใจ ทั้งสองจูงมือกันเดินขึ้นไปห้องพักบนชั้นสองของตึกหลังใหญ่
บ้านของทิพย์วิภาเป็นตึกทรงยุโรปสูงสองชั้น ซึ่งแต่แรกชั้นบนมีสามห้องนอนและห้องน้ำในตัวทุกห้อง กับห้องพระอีกหนึ่งห้อง เจ้าของบ้านพักอยู่หนึ่งในห้องข้างบนนี้ ส่วนชั้นล่างแบ่งเป็นห้องรับแขกห้องครัวและห้องรับประทานอาหาร รวมทั้งห้องเอนกประสงค์ที่ใช้สำหรับพักผ่อน ต่อมาเมื่อสองครอบครัวของคนเฝ้าสวนเข้ามาพักอาศัยอยู่ด้วยเธอจึงขยายชั้นล่าง สร้างห้องนอนเพิ่มอีกสามห้องให้แก่พ่อแม่ของเด็กทั้งคู่และตัวเธอเอง ทิพย์วิภาลงมาอยู่เป็นเพื่อนกัน อีกทั้งสะดวกไม่ต้องขึ้นลงบันได เพราะสูงอายุกันแล้วทุกคน ห้องนอนข้างบนจึงมีไว้เพื่อรับรองแขกและให้สองหนุ่มสาวเข้าพักเวลากลับมาเยี่ยมบ้านเท่านั้น
เมื่อพากันเดินมาถึงประตูห้องนอนของแสงสินี ทั้งคู่หยุดยืนอยู่หน้าห้อง หญิงสาวเห็นแฟนหนุ่มยังรีรอไม่เดินไปห้องตัวเองจึงพูดล้อขำ ๆ ว่า
"ราตรีสวัสดิ์จ้ะเต้ย แน้...นี่คงไม่คิดจะตามเข้าไปส่งฝนถึงในห้องใช่ไหม"
"ฝนอนุญาตไหมล่ะ เต้ยอยากเข้าไปดูความเรียบร้อยด้วย มีนี่มาให้ฝนแน่ะ เต้ยกลับไปขอหลวงตาเมื่อหัวค่ำอีกรอบ เป็นผ้ายันต์กันผี จะเอาไปติดไว้ที่หัวเตียงให้นะ" ชายหนุ่มล้วงผ้าสีแดงผืนเล็กขนาดฝ่ามือลงอักขระโบราณเอาไว้เต็มผืนทั้งสองด้านจากกระเป๋าเสื้อให้หญิงสาวดู แสงสินีจ้องมองมันอย่างทึ่งแล้วจึงพยักหน้าตกลง นึกถึงเรื่องเมื่อตอนบ่ายแล้วเกิดอาการเสียวสยองขึ้นมาอีกจนขนที่แขนเธอลุกเกรียว
หญิงสาวเปิดประตูเดินนำเข้าไปในห้อง เอกกวีก้าวเท้าเดินตาม ทั้งคู่เข้ามาหยุดอยู่ที่หัวเตียงทำด้วยไม้สักขนาดใหญ่ วางด้วยที่นอนหนานุ่มและมีผ้าปูที่นอนผืนสวยปูทับเก๋ไก๋ เครื่องใช้ภายในบ้านของทิพย์วิภามักเป็นของดีมีคุณภาพตามรสนิยมผู้เป็นเจ้าของบ้าน
"ที่เล่าว่าแก้มพูดเรื่องอยากให้ช่วยคือเรื่องอะไรเหรอ เขาบอกหรือเปล่า"
ขณะมองดูเอกกวีกำลังติดผ้ายันต์ผืนดังกล่าวให้ด้วยเทปกาวไว้ตรงหัวเตียงตัวเอง แสงสินีก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าหม่นหมอง เธอไม่ทราบว่าเพราะอะไรวิญญาณของเพื่อนสาวจึงไม่ยอมไปผุดไปเกิดเสียที และแน่ใจว่ากวินตากำลังต้องการความช่วยเหลือจึงเข้าสิงร่างเธอเพื่อบอกกล่าว
(มีต่อ)
ริษยาซ่อนร่าง ตอนที่ 9
http://pantip.com/topic/35372901
โดย...ล. วิลิศมาหรา
หนุ่มสาวทั้งสองขับรถกลับเข้ามายังตึกหลังใหญ่ของทิพย์วิภาในเวลาอาหารเย็นพอดี แสงสินีหลบขึ้นข้างบนเพื่ออาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที ปล่อยให้เอกกวีเข้าไปพูดคุยกับผู้ใหญ่ที่กำลังนั่งรอทานข้าวพร้อมหน้ากันอยู่ในห้องรับประทานอาหาร ซึ่งสักพักชายหนุ่มก็ขอตัวขึ้นไปบนห้องพักของตัวเองเช่นกัน
เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันชวนขนหัวลุก คนทั้งคู่จึงไม่อยากให้คนในบ้านรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในวัดเมื่อตอนบ่าย เพราะมันจะนำความวิตกกังวลมาให้ญาติผู้ใหญ่ทั้งหมดอีกครั้ง หลังจากท่านเหล่านั้นเริ่มสบายใจมาได้ระยะหนึ่ง เนื่องจากข่าวคราวหลอกหลอนของปีศาจสาวในบ้านไม้สามหลังซาไปหลายปีแล้ว
หลังเสร็จจากอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย แสงสินีเดินนำหน้าเอกกวีเข้ามายังห้องรับประทานอาหาร ท่าทีของเธอสงบเสงี่ยมผิดปกติไปจากสาวแสนห้าวจอมโวยวาย ญาติผู้ใหญ่ทั้งหมดความจริงทานอาหารอิ่มกันหมดแล้ว ที่ยังคงนั่งอยู่ก็เพื่อรอสนทนากับสองหนุ่มสาวนั่นเอง ทั้งคู่กล่าวคำขอโทษที่กลับมาช้าแล้วเริ่มลงมือทานกันเงียบ ๆ เพราะต่างมีเรื่องให้ครุ่นคิดอยู่ในใจ พวกผู้ใหญ่เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มสาวรวบช้อนส้อมแสดงว่าอิ่มจากมื้ออาหาร รำเพยมารดาของแสงสินีก็เอ่ยถามลูกสาวคนเดียวทันทีว่า
"เมื่อไหร่แกสองคนจะแต่งงานกันเสียที" แสงสินีมองมารดาแล้วก้มหน้าหลบสายตาลงทันควัน แสร้งหยิบช้อนส้อมขึ้นมาเขี่ยอาหารในจานเล่นใหม่ ส่วนเอกกวีนั่งนิ่งอึ้ง
"ว่าไงล่ะฝน" รำเพยคาดคั้นจะเอาคำตอบจากลูกสาวหัวดื้อให้ได้ เธอรู้สึกงุนงงกับความคิดความอ่านของลูกสาว อีกทั้งยังตกใจเมื่อรู้จากทิพย์วิภาว่า ที่ทั้งคู่ยังไม่ลงเอยกันสักทีเป็นเพราะลูกสาวของเธอนั่นเอง
"เอ้อ...ฝน...ฝน"
"ฝนเขายังไม่พร้อมครับ" เอกกวีชำเลืองมองคนรัก เห็นเธออึกอักจึงช่วยตอบเสียเอง
"อะไรกัน อายุปาเข้าไปตั้งสามสิบสามแล้วนะ ยังไม่พร้อมอีกเหรอ แต่งกันซะทีเถอะแม่อยากอุ้มหลานจะแย่ ขืนแก่กว่านี้ปู่กับย่าคงเลี้ยงหลานไม่ไหว" จรุงจิตมารดาของเอกกวีรีบสนับสนุนคำพูดผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง
"นั่นสิ ตากับยายรอมานานเต็มที หรือมีปัญหาเรื่องค่าสินสอดทองหมั้น ขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะว่าไม่เอาสักบาท พ่อกับแม่ยกฝนมันให้ฟรี ๆ"
พอทรงศักดิ์ซึ่งเป็นบิดาของแสงสินีพูดจบทุกคนก็พากันหัวเราะครืน ถึงแม้จะพูดทีเล่นทีจริงแต่ต่างรู้ดีว่า ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงไม่ได้คิดถึงเรื่องสินสอดทองหมั้นเลยแม้แต่น้อยจริง ๆ
"เรื่องงานแต่งเดี๋ยวป้าจัดการให้เอง ไม่ต้องออกเงินสักบาทเหมือนกัน ว่าไงล่ะ"
ทิพย์วิภาเอ่ยสนับสนุนเต็มที่ หญิงเจ้าของสวนไม่มีญาติมิตรที่ไหนอีก เธอคิดว่าตัวเองโชคดีที่ในชีวิตโดดเดี่ยวยังได้มารู้จักกับครอบครัวของคนดี ๆ บั้นปลายชีวิตของเธอจึงหวังพึ่งพิงหลานนอกไส้ทั้งคู่ เงินทองที่มีอยู่มากมาย เมื่อก่อนคิดว่าตายไปก็จะมอบให้เป็นสาธารณะกุศล แต่ตอนนี้เธอมีหลาน ๆ พวกนี้แล้ว ดังนั้นทรัพย์สินทั้งหมดจึงคิดทุ่มเทให้หลานทั้งคู่
"เอ้อ ไม่ใช่เรื่องเงินทองหรอกครับ ฝนเขาไม่พร้อมเพราะยังทำใจไม่ได้...เรื่องแก้มนั่นแหละ ก็เลยยังไม่ยอมแต่งกับผม"
ทุกคนในที่นั้นยกเว้นทิพย์วิภาและรำเพยร้อง อ้าว ออกมาพร้อมกันเพราะพึ่งรู้สาเหตุ ก่อนหันมามองหน้าคมขำของแสงสินีเป็นตาเดียว
"ฝนเกรงใจแก้มค่ะ"
หญิงสาวตัดสินใจเปิดปากบอก แม้เรื่องร้ายผ่านมานานมากถึงสิบห้าปี แต่ทนายสาวยังรู้สึกเหมือนมันพึ่งผ่านไปไม่นานมานี้ แสงสินียังฝันถึงกวินตาบ่อย ๆ วิญญาณเพื่อนรักมักมาเข้าฝันและขออาศัยอยู่ด้วย ซึ่งเธอก็รีบทำบุญให้เพื่อนเสมอ แต่ความรู้สึกย่ำแย่ว่าเป็นต้นเหตุให้กวินตาฆ่าตัวตายก็ยังไม่ดีขึ้นเสียที
"ถ้าแต่งงานกับเต้ยไปแล้วฝนรู้สึกเหมือนทำร้ายแก้ม เพราะแก้มยังไม่ไปไหน ยังอยู่ที่นั่น เฝ้ามองดูพวกเราอยู่"
"ทำไมคิดมากแบบนี้ คนก็ส่วนคน วิญญาณย่อมอยู่อีกโลกหนึ่ง ป่านนี้ก็คงไปผุดไปเกิดแล้วล่ะ ไม่ได้ยินว่าออกมาให้ใครเห็นนานแล้วนี่"
รำเพยติงลูกสาว เธอยกเหตุผลทางพระพุทธศาสนามาอ้าง ไม่ทันสังเกตอาการสะดุ้งน้อย ๆ ของคนทั้งคู่
"ฝนเข้าใจค่ะแม่ แต่...มันยังรู้สึกแย่ ๆ ฝนว่ารออีกสักระยะดีกว่า"
หญิงสาวรีบตัดบท เอกกวีถอนหายใจเฮือกใหญ่ นึกถึงเรื่องน่ากลัวเมื่อตอนบ่ายนี้แล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มนึกท้อใจจริงจังขึ้นมาเป็นครั้งแรก การปรากฏตัวของวิญญาณกวินตาให้แสงสินีได้รับรู้ ยิ่งทำให้สถานการณ์วิวาห์ยืดเยื้อระหว่างเขากับเธอแย่ลงไปอีก วิศวกรหนุ่มเหลียวมองหน้าผู้ใหญ่ทุกคนก่อนยักไหล่แบมือออกสองข้างเสมอไหล่อย่างบอกว่ายอมแพ้ แสงสินีสร้างเกราะไว้ห่อหุ้มตัวเธอเองจากความรู้สึกผิดอย่างแน่นหนา โดยพ่วงเอาตัวเขาให้ติดร่างแหความผิดบาปนั้นไปด้วย
ค่ำคืนนี้ในตึกหลังใหญ่ของทิพย์วิภาบรรยากาศเงียบสงบ บรรดาผู้ใหญ่ต่างเปิดโอกาสให้สองคู่รักสนทนากันตามประสาคนรักอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เพราะพึ่งรู้ว่านาน ๆ ทั้งสองจึงจะมีโอกาสได้อยู่กันตามลำพังแบบนี้ ทั้งหมดจึงชวนกันเข้านอนห้องใครห้องมันตั้งแต่หัวค่ำ
"อยากอยู่กับฝนแบบนี้ทุกวันเลย เมื่อไหร่เราถึงจะได้ใช้ชีวิตร่วมกันเสียทีนะ"
เอกกวีเปรยขึ้น เขาลูบไล้มือเรียวที่วางอยู่บนตักของสาวคนรักแผ่วเบา สายตาจ้องมองเธออย่างเสน่หา
"ไม่มีทางหรอก" หญิงสาวกลับตอบมาด้วยสุ้มเสียงประหลาดจนชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วถาม
"หืม ทำไมฝนพูดแบบนั้น"
"ถึงแต่งงานกันแล้ว เต้ยก็ต้องบินไปนู่นนี่บ่อย ๆ ไม่ใช่เหรอ ปีหนึ่งตัวอยู่เมืองไทยกี่วันกัน แล้วเราจะอยู่ด้วยกันทุกวันได้ยังไง"
"เอ๊ะ ฝนกำลังคิดอะไรอยู่ หรือว่าฝนต้องการอยู่กินกันแบบนั้นจริง ๆ ถ้างั้น...ฝนไม่ต้องทำงานดีไหม เราจะได้อยู่ด้วยกันทุกวันได้อย่างที่ฝนต้องการ เวลาเต้ยบินไปเมืองนอกก็เอาฝนตามไปด้วย"
"เต้ยพูดเอาแต่ได้ สำนักงานกฎหมายของฝนกว่าจะมาถึงวันนี้ต้องลงแรงไปตั้งเท่าไหร่ แล้วจะให้ทิ้งเสียง่าย ๆ เพื่อไปเป็นแม่บ้านคอยหาข้าวหาปลาให้เต้ยกินงั้นเหรอ ไม่ไหวมั้ง"
"ฝน..." วิศวกรหนุ่มเรียกแฟนสาวเสียงดังอย่างตกใจ นี่มันอะไรกัน ทำไมแสงสินีถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ คำพูดคำจาของเธอราวไร้เยื่อใย พูดออกมาได้เต็มปากทำนองว่าชายคนรักไม่สำคัญเท่างานที่ทำ เอกกวีกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ รู้สึกคับแน่นตีบตันในอก จ้องมองแฟนสาวอย่างน้อยใจเป็นที่สุด
"ขอถามสักคำ ฝนยังรักเต้ยอยู่ใช่ไหม" คำถามนี้ไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องเอ่ยปากถามไถ่ แต่ไหนแต่ไรเขามั่นใจในรักแรกและรักเดียวระหว่างเขากับเธอ ทั้งสองพบเจออุปสรรคมากมายแต่ฝ่าฝันร่วมกันมาได้โดยตลอด และยิ่งนานวันเขายิ่งผูกพันรักใคร่เพียงเธอ ชายหนุ่มเชื่อสนิทใจว่าแฟนสาวก็เป็นเช่นเดียวกับเขา แต่คราวนี้ที่ต้องถามเพราะเกิดแคลงใจ
"รักสิ แต่ฝนก็รักงานของฝนเหมือนกัน เอาล่ะ ลองพูดกลับกันนะ ถ้าฝนขอร้องให้เต้ยออกจากงานมาช่วยที่สำนักงานของฝนล่ะ"
หล่อนย้อนคำถามที่ทำให้ชายหนุ่มต้องสะอึก เขานึกไม่ถึงปัญหาข้อนี้ หรือว่าตัวเขาจะหมดหนทางสานต่อความรักจนถึงมีงานวิวาห์กับเธอได้แล้วจริง ๆ ตอนนี้เอกกวีแน่ใจแล้วว่า เป็นเพราะแสงสินีกลัวเสียตัวตนและงานที่เธอรักไป ส่วนเรื่องของแก้มนั้นอาจเป็นเรื่องรองที่เธอนำมาช่วยอ้างก็ได้ แสงสินีต้องการเพียงแค่ได้รักแต่ไม่ต้องการครองเรือนกับเขา ชายหนุ่มนั่งอึ้งมองหน้าแฟนสาว สมองมึนงงกับสิ่งที่ได้ยิน พยายามนึกหาคำพูดมาต่อรอง แต่เขายังนึกไม่ออก
"ดึกแล้ว พรุ่งนี้ค่อยคุยกันใหม่ ฝนง่วงจัง ขอตัวไปนอนก่อนนะ"
กลายเป็นหญิงสาวที่พูดตัดบทอีกแล้ว และลุกขึ้นจากที่นั่งตั้งท่าจะผละจากไป เอกกวีจึงต้องลุกตาม
"เอาที่ฝนสบายใจก็แล้วกัน ตามใจฝนจ้ะ เต้ยรอฝนได้เสมอ" แสงสินีส่งยิ้มให้แฟนหนุ่ม พึมพำพูดขอบคุณเขาที่เข้าใจ ทั้งสองจูงมือกันเดินขึ้นไปห้องพักบนชั้นสองของตึกหลังใหญ่
บ้านของทิพย์วิภาเป็นตึกทรงยุโรปสูงสองชั้น ซึ่งแต่แรกชั้นบนมีสามห้องนอนและห้องน้ำในตัวทุกห้อง กับห้องพระอีกหนึ่งห้อง เจ้าของบ้านพักอยู่หนึ่งในห้องข้างบนนี้ ส่วนชั้นล่างแบ่งเป็นห้องรับแขกห้องครัวและห้องรับประทานอาหาร รวมทั้งห้องเอนกประสงค์ที่ใช้สำหรับพักผ่อน ต่อมาเมื่อสองครอบครัวของคนเฝ้าสวนเข้ามาพักอาศัยอยู่ด้วยเธอจึงขยายชั้นล่าง สร้างห้องนอนเพิ่มอีกสามห้องให้แก่พ่อแม่ของเด็กทั้งคู่และตัวเธอเอง ทิพย์วิภาลงมาอยู่เป็นเพื่อนกัน อีกทั้งสะดวกไม่ต้องขึ้นลงบันได เพราะสูงอายุกันแล้วทุกคน ห้องนอนข้างบนจึงมีไว้เพื่อรับรองแขกและให้สองหนุ่มสาวเข้าพักเวลากลับมาเยี่ยมบ้านเท่านั้น
เมื่อพากันเดินมาถึงประตูห้องนอนของแสงสินี ทั้งคู่หยุดยืนอยู่หน้าห้อง หญิงสาวเห็นแฟนหนุ่มยังรีรอไม่เดินไปห้องตัวเองจึงพูดล้อขำ ๆ ว่า
"ราตรีสวัสดิ์จ้ะเต้ย แน้...นี่คงไม่คิดจะตามเข้าไปส่งฝนถึงในห้องใช่ไหม"
"ฝนอนุญาตไหมล่ะ เต้ยอยากเข้าไปดูความเรียบร้อยด้วย มีนี่มาให้ฝนแน่ะ เต้ยกลับไปขอหลวงตาเมื่อหัวค่ำอีกรอบ เป็นผ้ายันต์กันผี จะเอาไปติดไว้ที่หัวเตียงให้นะ" ชายหนุ่มล้วงผ้าสีแดงผืนเล็กขนาดฝ่ามือลงอักขระโบราณเอาไว้เต็มผืนทั้งสองด้านจากกระเป๋าเสื้อให้หญิงสาวดู แสงสินีจ้องมองมันอย่างทึ่งแล้วจึงพยักหน้าตกลง นึกถึงเรื่องเมื่อตอนบ่ายแล้วเกิดอาการเสียวสยองขึ้นมาอีกจนขนที่แขนเธอลุกเกรียว
หญิงสาวเปิดประตูเดินนำเข้าไปในห้อง เอกกวีก้าวเท้าเดินตาม ทั้งคู่เข้ามาหยุดอยู่ที่หัวเตียงทำด้วยไม้สักขนาดใหญ่ วางด้วยที่นอนหนานุ่มและมีผ้าปูที่นอนผืนสวยปูทับเก๋ไก๋ เครื่องใช้ภายในบ้านของทิพย์วิภามักเป็นของดีมีคุณภาพตามรสนิยมผู้เป็นเจ้าของบ้าน
"ที่เล่าว่าแก้มพูดเรื่องอยากให้ช่วยคือเรื่องอะไรเหรอ เขาบอกหรือเปล่า"
ขณะมองดูเอกกวีกำลังติดผ้ายันต์ผืนดังกล่าวให้ด้วยเทปกาวไว้ตรงหัวเตียงตัวเอง แสงสินีก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าหม่นหมอง เธอไม่ทราบว่าเพราะอะไรวิญญาณของเพื่อนสาวจึงไม่ยอมไปผุดไปเกิดเสียที และแน่ใจว่ากวินตากำลังต้องการความช่วยเหลือจึงเข้าสิงร่างเธอเพื่อบอกกล่าว
(มีต่อ)