ตอนที่ 2 พรพรหม
"เดี๋ยววันนี้เราถ่ายฉากที่แปดซีนที่สาม กันก่อนนะครับ เป็นฉากง่าย ๆ โลในคอฟฟี่ช๊อปของโรงแรม"
ทีมงานเดินมาบอกอนิล ทันทีที่เขานั่งพักจากการวิ่งกลับมาโรงแรมที่พักหลังออกไปผจญภัยกับหมาและคนข้างนอก
“เดี๋ยวพี่ขออะไรรองท้องสักนิดนะ พลช่วยสั่งอาหารง่าย ๆ ให้พี่สักจาน หิวจนตาลายแล้ว" เขารีบบอกทีมงานก่อนที่จะลากตัวเขาไปแต่งหน้าทำผม ที่จริงเขาเป็นคนที่ตรงเวลามาก เวลานัดกองเขาไม่เคยไปสาย เขาจะเผื่อเวลาอย่างน้อยครึ่งชม.ทุกครั้ง ทีมงานทุกคนจึงนับถือเขามาก แต่วันนี้มันฉุกละหุกจริง ๆ ทำให้เขามาสายไปเกือบชั่วโมง จะบอกกล่าวถึงสาเหตุก็ไม่มีเวลาเสียแล้ว เพราะการมาทำงานต่างถิ่นต้องใช้เวลาให้คุ้มค่า ในทุกฉากทุกตอนที่ต้องเร่งถ่ายทำ
อาชีพนักแสดง ไม่เคยอยู่ในหัวของอนิลเลย แต่โชคชะตาก็เล่นกลผลักเขาเข้ามาโลดแล่นในวงการมาได้ห้าปีแล้ว การทำงานในวงการทำให้มุมมองการใช้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ตอนเรียนปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของเมืองไทย เขาเป็นเด็กกิจกรรมตัวยงคนหนึ่ง ไม่มีกิจกรรมไหนของมหาวิทยาลัยที่เขาไม่เข้าร่วม สิ่งที่เขาชอบมากและทำติดต่อกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีสี่เลยก็คือกิจกรรมออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท ที่เขาเป็น
เดินทางไปในถิ่นทุรกันดาร ต้องลำบากในการบุกป่าฝ่าดงเข้าไปกว่าจะถึง ขนข้าวของมากมายมาแจกจ่ายประธานชมรม เขาเป็นคนที่ชอบท่องเที่ยวและเดินทางเป็นชีวิตจิตใจ
แต่เมื่อนึกไปว่าการท่องเที่ยวเพื่อ บำรุงความสุขของตนเอง กับการท่องเที่ยวเพื่อแบ่งปันความสุขให้ผู้อื่น ค่าต่อจิตใจมันแตกต่างกัน การได้ให้ผู้ที่รอรับ เขาเรียนคณะสถาปัตยกรรม จึงได้ใช้ในการออกแบบก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน ห้องสมุด ห้องสุขา มีอยู่ปีหนึ่งเขาทำโครงการสนามเด็กเล่นเพื่อน้อง ในโรงเรียนตำรวจตะเวนชายแดนแห่งหนึ่ง เขาทำการประชาสัมพันธ์ เพื่อน ๆ ในมหาวิทยาลัยรับบริจาคยางรถยนต์ที่ไม่ใช้แล้ว นำไปสร้างสนามเด็กเล่นให้น้อง ๆ เขายังจำแววตาของเด็กที่นั้นได้ แววตาตื่นเต้นคาดหวังและรอคอย ในสิ่งที่ไม่เคยมี ไม่เคยได้ เขาและเพื่อน ๆ เร่งรีบกันทำงานแบบไม่หยุดพักทานข้าว จนเกือบเย็นสนามเด็กเล่นสีสันสดใส จากยางรถยนต์เก่าก็เสร็จ
พวกเด็ก ๆ เฮกันดังลั่น และกรูกันเข้ามาเล่น ไม่กลัวว่าสีมันยังไม่แห้ง เสียงหัวเราะ เสียงวี้ดว้ายของเด็กหญิง ที่เพื่อนโล้ชิงช้ายางรถยนต์ขึ้นสูงเกินไป ทำให้พวกเขาอดยิ้มอย่างภูมิใจในผลงานไม่ได้ นี่แหล่ะชีวิตที่เขาชอบ การเดินทางเพื่อเติมเต็มความสุขให้คนอื่น จนจบปริญญาตรีชีวิตด้านนี้ก็หายไป
จวบจนเขาเดินทางไปเรียนต่อที่ มลรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ที่นั้นเขาได้เจอกับรวิ คนไทยคนเดียวที่นั่นเพื่อนสนิทคนเดียวของเขาที่เป็นยิ่งกว่าเพื่อนตาย เพราะชีวิตในต่างแดนของพวกเขาสองคน เรียกได้ว่าร่วมหัวจมท้ายกัน ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ทำให้มิตรภาพงอกงามยั่งยืนมาจนปัจจุบัน เรียนจบกลับมาพวกเขาสองคนยังคงติดต่อกันอยู่เสมอ กลายเป็นเพื่อนสนิทที่รักกันดั่งพี่น้อง เมื่อเช้านี้ก่อนขึ้นเครื่องบินมาทำงานที่เชียงใหม่ เขาได้มอบหมายภารกิจบางอย่างให้รวิไปทำ ก่อนเข้านอนคืนนี้เขาคงต้องโทรไปติดตามผลสักหน่อย สิ่งที่เขาคาดหวังจะเป็นจริงหรือไหม คงต้องให้พรหมลิขิตประทานพร...คิดได้แล้วเขารีบสลัดเรื่องในหัวออก เพื่อใช้สมาธิในการทบทวนบทละครตรงหน้า
…ชีวิตบางครั้งอะไรที่คิดว่าจะเกิด มันดันไม่เกิด แต่อะไรทีไม่คิดว่าจะเกิดกับชีวิตเรา มันดันเกิดขึ้น ในลักษณะที่พระพรหมเองยังบันดาลไม่ทันเลย เรื่องนี้อนิลไม่รู้ และไม่มีวันรู้ จนกว่าจะเจอกับตัวเอง…
โกรธ!
ความรู้สึกที่เกิดในสมองตอนนี้ของมัลลิกาตั้งแต่เธอเกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นคนแบบนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของเขาเต็ม ๆ ไอ้ผู้ชายหน้าเป็นที่ดวงตายิ้มได้ วันนี้หลังจากพาเจ้าอิ๋งอิ๋งไปซื้อของใช้ส่วนตัวในตลาดเธอก็ปั่นจักรยานกลับบ้านตามปกติ ถ้าไม่มีตาโย่งมายืนยิ้มกับรากไม้ขวางทางอยู่ จักรยานของเธอก็ไม่ล้มเท้าจะไม่แพลงฟกช้ำดำเขียวแบบนี้ คิดแล้วแค้นใจ แถมยังโดนนายนั้นหัวเราะเยาะท่าล้มทุเรศทุรังของเธออีก คนอะไรแทนที่จะช่วย ดันยืนหัวเราะอยู่ได้ และนายนั้นยังประจบแม่ยาย จนเธอโดนดุ คอยดูนะถ้าเจอกันอีกครั้ง เธอจะเอาคืนให้สาสม คิดแล้วด้วยความเผลอ เธอใช้เท้าข้างที่ไม่แพลง กระทืบลงไปที่พื้น แต่คงเป็นวันมหาวิปโยคซวยซับซวยซ้อนของเธอ เท้าเธอดันกระทืบลงบนลูกบอลยางกัดเล่นของเจ้าอิ๋งอิ๋ง ผลคือเธอล้มก้นกระแทกพื้นเป็นครั้งที่สามของวัน ให้มันได้อย่างนี้สิ !!
หิวจัง…
หลังจากประท้วงไม่ลงไปทานข้าวเย็น มิใยที่แม่ยายจะขึ้นมาตามถึงสามรอบ เธอก็ไม่ยอมลงไป เพราะยังน้อยใจแม่ยายไม่หาย ที่ไปเข้าข้างนายโย่งฟันขาวคนนั้น เธออาบน้ำทายารอยแผลฟกช้ำเสร็จก็ปิดไฟเข้านอนเลย ตั้งแต่สองทุ่ม ดูนาฬิกาที่หัวเตียงตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มตรงแล้ว จะย่องลงไปหาอะไรกินในครัวดีไหมนะ สุดท้ายกระเพาะเธอก็ชนะ เพราะมันร้องโครมครามจนดังลั่นห้อง เธอจึงต้องจำใจลุกลงจากเตียง เปิดประตูห้องอย่างเบาเพราะไม่อยากให้แม่ยายตื่นมาเจอ เธอค่อย ๆ เขยกลงบันไดอย่างระมัดระวังเพราะถ้าร่วงลงบันไดไป เธอคงต้องไปทำบุญสะเดาะเคราะห์พรุ่งนี้แน่ ๆ
พอลงมาถึงชั้นล่าง เธอคลำทางในความมืดไปถึงห้องครัว เปิดสวิทช์ไฟสว่างขึ้นมา แล้วมองไปที่โต๊ะกลางห้อง จนเห็นอะไรบางอย่าง ฝาชีแบบสานอันเล็กครอบสิ่งหนึ่งอยู่ในนั้น บนฝาชีมีกระดาษแผ่นหนึ่งแปะอยู่ เธอเดินเข้าไปดึงมันขึ้นมาอ่าน
‘ข้าวซอยของหนู อยู่ในตู้เย็น ถ้าจะกินเอาออกมาอุ่นในไมโครเวฟนะลูก
ส่วนในฝาชีเป็นสละลอยแก้วที่หนูชอบแม่ทำให้ ทานแล้วนอนพักนะคะลูกรักหนูนะ'
อ่านโน๊ตจบ เธอถึงกับน้ำตาซึม อยากกอดแม่ยายเพื่อขอโทษที่เอาแต่ใจ และพยศไม่มีเหตุผล เธอยอมรับนี่คือจุดอ่อนของเด็กบ้านแตกอย่างเธอ กลัวคนที่ตัวเองรักจะให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่า
ตั้งแต่จำความได้ชีวิตเธอก็มีแต่แม่ยาย ไม่เคยได้พบหน้าพ่อและแม่แท้ ๆ ของตัวเองสักครั้ง ทุกปีเมื่อถึงวันแม่ โรงเรียนให้เด็กพาแม่มาให้กราบเท้าในงาน เธอก็แอบร้องไห้ทุกครั้งที่เธอไม่มีแม่เหมือนคนอื่น แต่ต้องให้คนที่มีสถานะเป็นยาย มาให้กราบแทน ตั้งแต่อนุบาลจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่หก
ตอนเล็ก ๆ เธอเรียกยายว่าแม่เพราะยังไม่รู้ความทุกครั้งที่หกล้มเธอจะร้องไห้ วิ่งหา"แม่จ๋า"ของเธอทุกครั้ง แม่จ๋าจะไม่โอ๋ แต่สอนให้เธอเข้มแข็งและอดทน เมื่อล้มเองก็ต้องลุกเอง อย่ารอให้ใครมาโอบอุ้ม เพราะมันจะทำให้เธอกลายเป็นคนที่ต้องพึ่งคนอื่นตลอดเวลา
เธอเชื่อแม่จ๋า เมื่อล้มครั้งต่อมาเธอจึงไม่ร้องไห้ รีบลุกขึ้นปัดขี้ดินที่เปื้อนชุด แล้ววิ่งเล่นต่อกับเพื่อน ๆ จนเมื่อเธอโตขึ้น รู้ความมากขึ้น เธอจึงรู้จักคำว่ายาย ยายที่เป็นแม่ของแม่อีกทีหนึ่ง เธอรู้เรื่องราวของแม่เพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อใดก็ตามที่เธอถามถึงแม่ของเธอ ยายของเธอจะบอกเพียงแค่ว่า แม่มีเหตุผลที่ทิ้งหล่อนไว้กับยาย เป็นเหตุผลของผู้ใหญ่ ที่ยังบอกเธอไม่ได เมื่อเธอโตกว่านี้ ยายจะบอกเธอเอง
เธอจึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้กับตัว และไม่ถามถึงแม่อีกเลย ยายเธอทุ่มเทความรักทั้งหมดให้เธอ เพื่อชดเชยสิ่งที่เธอขาดหายไป ยายรักและตามใจเธอทุกอย่าง จนบางครั้งทำให้เธอนิสัยเสีย แต่ไม่ใช่เธอไม่รู้สึกผิด เธอยอมรับว่าเธอผิดที่ไมฟังความให้ดีเสียก่อน ก่อนตัดสินคนอื่น แต่หน้านายนั่นมันกวนประสาทเธอจริง ๆ
ครั้งแรกที่สบตากัน ไม่ใช่มีแต่นายนั่นที่ตะลึง เธอเองก็ใจกระตุกไปเหมือนกัน ผู้ชายหน้าคร้ามคม คิ้วเข้ม ที่มีดวงตายิ้มได้ จมูกโด่งคม เหมือนมีเลือดผสมตะวันตก ปากบางและหยักลึก เวลานายนั้นยิ้มฟันขาวเรียงตัวสว่างไสว จนตาเธอพร่า เกือบลืมตัวยิ้มตอบไป ถ้าไม่ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างขบขันเสียก่อน เสียงหัวเราะที่ทำลายมนต์สะกดของสายตาคู่นั้น...
ตึ๊ง !
เสียงไมโครเวฟดังปลุกภวังค์ของเธอจนสะดุ้ง และเผลอกร่นด่าตัวเองที่เผลอไปคิดถึงนายนั่น นายลม ชื่อนี้เธอจะจำให้ขึ้นใจ และคงไม่มีวันได้เจอกันอีกแน่นอนตลอดชาตินี้ คิดได้ดังนั้นเธอก็สบายใจขึ้น หยิบชามข้าวซอยร้อนกรุ่นออกจากไมโครเวฟ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือข้าวซอยชามนี้ต่างหาก แล้วเธอก็นั่งกินข้าวซอยอย่างหิวโซจนเกลี้ยงชามในเวลาอันรวดเร็ว
คืนนั้นมัลลิกาหลับต่อจนถึงกลางดึกใกล้รุ่ง แล้วหล่อนก็ฝัน
..ในฝันหล่อนและเจ้าอิ๋งอิ๋งไปเดินเล่นที่สวนหลังบ้าน หล่อนปีนต้นมะม่วงขึ้นไปหวังจะเก็บมะม่วงเปรี้ยวที่แก่จัด มาให้แม่ยายทำกะปิน้ำปลาหวานให้จิ้มกิน แค่คิดน้ำลายหล่อนก็สอขึ้นมาแล้ว หล่อนปีนขึ้นไปอย่างคล่องแคล่วเพราะปีนขึ้นลงมาตั้งแต่เด็กจนชำนาญ นั่นไงมะม่วงพวงนั้นที่หมายตา ใกล้ถึงแล้วอีกนิดเดียว หล่อนเอื้อมมือไปจนใกล้จะคว้าพวงมะม่วงพวงนั้นได้อยู่แล้ว
ทันใดนั้น! งูเห่าตัวหนึ่งเลื้อยพันอยู่ที่กิ่งมะม่วงใกล้ ๆ ก็ชูแผงคอแผ่แม่เบี้ยขึ้น พร้อมแลบลิ้นสองแฉกขู่ฝ่อใส่เธอ เธอตกใจแทบสิ้นสติ แต่มีคนเคยสอนหล่อนว่าเวลาเจองูให้จ้องตามันแล้วกลั้นใจแผ่เมตตาให้มันแล้วมันจะไม่ทำร้ายเรา บทแผ่เมตตาท่องยังไงล่ะ ตอนนี้หล่อนตกใจจนแทบไม่ได้สติสมประดี ท่องสะเปะสะปะไม่เป็นภาษา ในขนาดที่หล่อนจ้องตากับงูอยู่นั้น จู่ ๆ เจ้างูเห่าตัวนั้นก็ยิ้มให้หล่อน เฮ้ย! งูอะไรยิ้มได้แถมฟันยังสวยอีกต่างหาก พอหล่อนมองหน้ามันชัด ๆ หน้าเจ้างูตัวนั้นกลายเป็นหน้านายลมพิษ!! ยิ้มยิงฟันใส่ตาหล่อน หล่อนตกใจปล่อยมือจากกิ่งไม้ที่ยึดอยู่หงายท้องตกจากต้นมะม่วงทันที
กรี๊ด ตุ้บ!!!
สองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน เสียงแรกคือเสียงกรี๊ดแบบตกใจสุดขีดของมัลลิกา เสียงต่อมาคือเสียงหล่อนกลิ้งตกเตียง!
เธอลืมตาขึ้นมามองเพดานห้องในความมืด หัวใจเธอยังเต้นอย่างกับกลองรบอยู่เลยตอนยกมือขึ้นมาทาบอก นี่นายนั้นตามมาหลอกหลอนเธอถึงในฝันเลยหรือนี่ ไม่ได้การแล้ว พรุ่งนี้เธอจะไปง้อแม่ยาย เพื่อขอวิธีแก้ฝัน ฝันเห็นงูโบราณบอกว่าจะเจอเนื้อคู่ เธอไม่อยากได้เนื้อคู่ ยิ่งเนื้อคู่กวนประสาทอย่างนายลมพิษ เธอต้องขอวิธีแก้ฝันจากแม่ยายให้เร็วที่สุด แค่คิดถึงเรื่องน่ากลัวในความฝัน ขนแขนเธอก็ลุกซู่ จนนอนต่อไม่ลง
มองออกไปนอกหน้าต่าง แสงอรุณรุ่งกำลังจับขอบฟ้าทางทิศตะวันออก เธอรีบลุกขึ้นหาเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำ เพื่อลงไปช่วยแม่ยายเตรียมของใส่บาตร ดังเช่นทุกวัน ต้องถามวิธีแก้ฝันกับแม่ยายด้วย เธอไม่ยอมรับเด็ดขาด ถ้าจะต้องได้นายนั่นเป็นเนื้อคู่ เธอเกลียดแววตายิ้มได้ของเขา เธอเกลียดรอยยิ้มกระชากวิญญาณของเขา เกลียดท่าทางที่คลุกคามเธอเหมือนเธอเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ดื้อและซน เธอเกลียดน้ำเสียงที่กลั้วเสียงหัวเราะตลอดเวลา ได้ยินแล้วประสาทเธอตึงเครียดเขม็ง เจอกันครั้งเดียว แค่นี้ก็เกินพอแล้ว
คิดสรุปความได้ตามความพอใจแล้ว มัลลิกาก็เดินเข้าห้องน้ำอาบน้ำอย่างสบายใจ
...แต่หล่อนคงลืมคิดไปถึงคำโบราณอีกประโยคหนึ่งที่บอกว่า
...ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ และเจอยิ่งกว่าเจอไปตลอดชีวิตเลยล่ะ ถ้าหล่อนจะรู้อนาคตอันใกล้ ๆ นี้
แต่ใครเลยจะล่วงรู้อนาคตได้ล่ะ นอกจากพระพรหมเท่านั้น เขาถึงเรียกว่า ...พรหมลิขิตอย่างไงล่ะ
หึ หึ เสียงหัวเราะลึกลับ...ลอยตามลมหนาวที่พัดโบกพลิ้วผ้าม่านฉลุสีขาวสะอาดตา ในห้องนอนของมัลลิกาและลอยลับหายออกหน้าต่างและจางหายไปกับสายลมหนาวต้นฤดู
......จบตอนที่ 2....
ตอนที่ 1 แรกรัก
http://pantip.com/topic/35327094
^__^ ลอมชอม
ฝากลมมาห่มรัก โดย ลอมชอม ตอนที่ 2 พรพรหม
"เดี๋ยววันนี้เราถ่ายฉากที่แปดซีนที่สาม กันก่อนนะครับ เป็นฉากง่าย ๆ โลในคอฟฟี่ช๊อปของโรงแรม"
ทีมงานเดินมาบอกอนิล ทันทีที่เขานั่งพักจากการวิ่งกลับมาโรงแรมที่พักหลังออกไปผจญภัยกับหมาและคนข้างนอก
“เดี๋ยวพี่ขออะไรรองท้องสักนิดนะ พลช่วยสั่งอาหารง่าย ๆ ให้พี่สักจาน หิวจนตาลายแล้ว" เขารีบบอกทีมงานก่อนที่จะลากตัวเขาไปแต่งหน้าทำผม ที่จริงเขาเป็นคนที่ตรงเวลามาก เวลานัดกองเขาไม่เคยไปสาย เขาจะเผื่อเวลาอย่างน้อยครึ่งชม.ทุกครั้ง ทีมงานทุกคนจึงนับถือเขามาก แต่วันนี้มันฉุกละหุกจริง ๆ ทำให้เขามาสายไปเกือบชั่วโมง จะบอกกล่าวถึงสาเหตุก็ไม่มีเวลาเสียแล้ว เพราะการมาทำงานต่างถิ่นต้องใช้เวลาให้คุ้มค่า ในทุกฉากทุกตอนที่ต้องเร่งถ่ายทำ
อาชีพนักแสดง ไม่เคยอยู่ในหัวของอนิลเลย แต่โชคชะตาก็เล่นกลผลักเขาเข้ามาโลดแล่นในวงการมาได้ห้าปีแล้ว การทำงานในวงการทำให้มุมมองการใช้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ตอนเรียนปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของเมืองไทย เขาเป็นเด็กกิจกรรมตัวยงคนหนึ่ง ไม่มีกิจกรรมไหนของมหาวิทยาลัยที่เขาไม่เข้าร่วม สิ่งที่เขาชอบมากและทำติดต่อกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีสี่เลยก็คือกิจกรรมออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท ที่เขาเป็น
เดินทางไปในถิ่นทุรกันดาร ต้องลำบากในการบุกป่าฝ่าดงเข้าไปกว่าจะถึง ขนข้าวของมากมายมาแจกจ่ายประธานชมรม เขาเป็นคนที่ชอบท่องเที่ยวและเดินทางเป็นชีวิตจิตใจ
แต่เมื่อนึกไปว่าการท่องเที่ยวเพื่อ บำรุงความสุขของตนเอง กับการท่องเที่ยวเพื่อแบ่งปันความสุขให้ผู้อื่น ค่าต่อจิตใจมันแตกต่างกัน การได้ให้ผู้ที่รอรับ เขาเรียนคณะสถาปัตยกรรม จึงได้ใช้ในการออกแบบก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน ห้องสมุด ห้องสุขา มีอยู่ปีหนึ่งเขาทำโครงการสนามเด็กเล่นเพื่อน้อง ในโรงเรียนตำรวจตะเวนชายแดนแห่งหนึ่ง เขาทำการประชาสัมพันธ์ เพื่อน ๆ ในมหาวิทยาลัยรับบริจาคยางรถยนต์ที่ไม่ใช้แล้ว นำไปสร้างสนามเด็กเล่นให้น้อง ๆ เขายังจำแววตาของเด็กที่นั้นได้ แววตาตื่นเต้นคาดหวังและรอคอย ในสิ่งที่ไม่เคยมี ไม่เคยได้ เขาและเพื่อน ๆ เร่งรีบกันทำงานแบบไม่หยุดพักทานข้าว จนเกือบเย็นสนามเด็กเล่นสีสันสดใส จากยางรถยนต์เก่าก็เสร็จ
พวกเด็ก ๆ เฮกันดังลั่น และกรูกันเข้ามาเล่น ไม่กลัวว่าสีมันยังไม่แห้ง เสียงหัวเราะ เสียงวี้ดว้ายของเด็กหญิง ที่เพื่อนโล้ชิงช้ายางรถยนต์ขึ้นสูงเกินไป ทำให้พวกเขาอดยิ้มอย่างภูมิใจในผลงานไม่ได้ นี่แหล่ะชีวิตที่เขาชอบ การเดินทางเพื่อเติมเต็มความสุขให้คนอื่น จนจบปริญญาตรีชีวิตด้านนี้ก็หายไป
จวบจนเขาเดินทางไปเรียนต่อที่ มลรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ที่นั้นเขาได้เจอกับรวิ คนไทยคนเดียวที่นั่นเพื่อนสนิทคนเดียวของเขาที่เป็นยิ่งกว่าเพื่อนตาย เพราะชีวิตในต่างแดนของพวกเขาสองคน เรียกได้ว่าร่วมหัวจมท้ายกัน ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ทำให้มิตรภาพงอกงามยั่งยืนมาจนปัจจุบัน เรียนจบกลับมาพวกเขาสองคนยังคงติดต่อกันอยู่เสมอ กลายเป็นเพื่อนสนิทที่รักกันดั่งพี่น้อง เมื่อเช้านี้ก่อนขึ้นเครื่องบินมาทำงานที่เชียงใหม่ เขาได้มอบหมายภารกิจบางอย่างให้รวิไปทำ ก่อนเข้านอนคืนนี้เขาคงต้องโทรไปติดตามผลสักหน่อย สิ่งที่เขาคาดหวังจะเป็นจริงหรือไหม คงต้องให้พรหมลิขิตประทานพร...คิดได้แล้วเขารีบสลัดเรื่องในหัวออก เพื่อใช้สมาธิในการทบทวนบทละครตรงหน้า
…ชีวิตบางครั้งอะไรที่คิดว่าจะเกิด มันดันไม่เกิด แต่อะไรทีไม่คิดว่าจะเกิดกับชีวิตเรา มันดันเกิดขึ้น ในลักษณะที่พระพรหมเองยังบันดาลไม่ทันเลย เรื่องนี้อนิลไม่รู้ และไม่มีวันรู้ จนกว่าจะเจอกับตัวเอง…
โกรธ!
ความรู้สึกที่เกิดในสมองตอนนี้ของมัลลิกาตั้งแต่เธอเกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นคนแบบนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของเขาเต็ม ๆ ไอ้ผู้ชายหน้าเป็นที่ดวงตายิ้มได้ วันนี้หลังจากพาเจ้าอิ๋งอิ๋งไปซื้อของใช้ส่วนตัวในตลาดเธอก็ปั่นจักรยานกลับบ้านตามปกติ ถ้าไม่มีตาโย่งมายืนยิ้มกับรากไม้ขวางทางอยู่ จักรยานของเธอก็ไม่ล้มเท้าจะไม่แพลงฟกช้ำดำเขียวแบบนี้ คิดแล้วแค้นใจ แถมยังโดนนายนั้นหัวเราะเยาะท่าล้มทุเรศทุรังของเธออีก คนอะไรแทนที่จะช่วย ดันยืนหัวเราะอยู่ได้ และนายนั้นยังประจบแม่ยาย จนเธอโดนดุ คอยดูนะถ้าเจอกันอีกครั้ง เธอจะเอาคืนให้สาสม คิดแล้วด้วยความเผลอ เธอใช้เท้าข้างที่ไม่แพลง กระทืบลงไปที่พื้น แต่คงเป็นวันมหาวิปโยคซวยซับซวยซ้อนของเธอ เท้าเธอดันกระทืบลงบนลูกบอลยางกัดเล่นของเจ้าอิ๋งอิ๋ง ผลคือเธอล้มก้นกระแทกพื้นเป็นครั้งที่สามของวัน ให้มันได้อย่างนี้สิ !!
หิวจัง…
หลังจากประท้วงไม่ลงไปทานข้าวเย็น มิใยที่แม่ยายจะขึ้นมาตามถึงสามรอบ เธอก็ไม่ยอมลงไป เพราะยังน้อยใจแม่ยายไม่หาย ที่ไปเข้าข้างนายโย่งฟันขาวคนนั้น เธออาบน้ำทายารอยแผลฟกช้ำเสร็จก็ปิดไฟเข้านอนเลย ตั้งแต่สองทุ่ม ดูนาฬิกาที่หัวเตียงตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มตรงแล้ว จะย่องลงไปหาอะไรกินในครัวดีไหมนะ สุดท้ายกระเพาะเธอก็ชนะ เพราะมันร้องโครมครามจนดังลั่นห้อง เธอจึงต้องจำใจลุกลงจากเตียง เปิดประตูห้องอย่างเบาเพราะไม่อยากให้แม่ยายตื่นมาเจอ เธอค่อย ๆ เขยกลงบันไดอย่างระมัดระวังเพราะถ้าร่วงลงบันไดไป เธอคงต้องไปทำบุญสะเดาะเคราะห์พรุ่งนี้แน่ ๆ
พอลงมาถึงชั้นล่าง เธอคลำทางในความมืดไปถึงห้องครัว เปิดสวิทช์ไฟสว่างขึ้นมา แล้วมองไปที่โต๊ะกลางห้อง จนเห็นอะไรบางอย่าง ฝาชีแบบสานอันเล็กครอบสิ่งหนึ่งอยู่ในนั้น บนฝาชีมีกระดาษแผ่นหนึ่งแปะอยู่ เธอเดินเข้าไปดึงมันขึ้นมาอ่าน
‘ข้าวซอยของหนู อยู่ในตู้เย็น ถ้าจะกินเอาออกมาอุ่นในไมโครเวฟนะลูก
ส่วนในฝาชีเป็นสละลอยแก้วที่หนูชอบแม่ทำให้ ทานแล้วนอนพักนะคะลูกรักหนูนะ'
อ่านโน๊ตจบ เธอถึงกับน้ำตาซึม อยากกอดแม่ยายเพื่อขอโทษที่เอาแต่ใจ และพยศไม่มีเหตุผล เธอยอมรับนี่คือจุดอ่อนของเด็กบ้านแตกอย่างเธอ กลัวคนที่ตัวเองรักจะให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่า
ตั้งแต่จำความได้ชีวิตเธอก็มีแต่แม่ยาย ไม่เคยได้พบหน้าพ่อและแม่แท้ ๆ ของตัวเองสักครั้ง ทุกปีเมื่อถึงวันแม่ โรงเรียนให้เด็กพาแม่มาให้กราบเท้าในงาน เธอก็แอบร้องไห้ทุกครั้งที่เธอไม่มีแม่เหมือนคนอื่น แต่ต้องให้คนที่มีสถานะเป็นยาย มาให้กราบแทน ตั้งแต่อนุบาลจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่หก
ตอนเล็ก ๆ เธอเรียกยายว่าแม่เพราะยังไม่รู้ความทุกครั้งที่หกล้มเธอจะร้องไห้ วิ่งหา"แม่จ๋า"ของเธอทุกครั้ง แม่จ๋าจะไม่โอ๋ แต่สอนให้เธอเข้มแข็งและอดทน เมื่อล้มเองก็ต้องลุกเอง อย่ารอให้ใครมาโอบอุ้ม เพราะมันจะทำให้เธอกลายเป็นคนที่ต้องพึ่งคนอื่นตลอดเวลา
เธอเชื่อแม่จ๋า เมื่อล้มครั้งต่อมาเธอจึงไม่ร้องไห้ รีบลุกขึ้นปัดขี้ดินที่เปื้อนชุด แล้ววิ่งเล่นต่อกับเพื่อน ๆ จนเมื่อเธอโตขึ้น รู้ความมากขึ้น เธอจึงรู้จักคำว่ายาย ยายที่เป็นแม่ของแม่อีกทีหนึ่ง เธอรู้เรื่องราวของแม่เพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อใดก็ตามที่เธอถามถึงแม่ของเธอ ยายของเธอจะบอกเพียงแค่ว่า แม่มีเหตุผลที่ทิ้งหล่อนไว้กับยาย เป็นเหตุผลของผู้ใหญ่ ที่ยังบอกเธอไม่ได เมื่อเธอโตกว่านี้ ยายจะบอกเธอเอง
เธอจึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้กับตัว และไม่ถามถึงแม่อีกเลย ยายเธอทุ่มเทความรักทั้งหมดให้เธอ เพื่อชดเชยสิ่งที่เธอขาดหายไป ยายรักและตามใจเธอทุกอย่าง จนบางครั้งทำให้เธอนิสัยเสีย แต่ไม่ใช่เธอไม่รู้สึกผิด เธอยอมรับว่าเธอผิดที่ไมฟังความให้ดีเสียก่อน ก่อนตัดสินคนอื่น แต่หน้านายนั่นมันกวนประสาทเธอจริง ๆ
ครั้งแรกที่สบตากัน ไม่ใช่มีแต่นายนั่นที่ตะลึง เธอเองก็ใจกระตุกไปเหมือนกัน ผู้ชายหน้าคร้ามคม คิ้วเข้ม ที่มีดวงตายิ้มได้ จมูกโด่งคม เหมือนมีเลือดผสมตะวันตก ปากบางและหยักลึก เวลานายนั้นยิ้มฟันขาวเรียงตัวสว่างไสว จนตาเธอพร่า เกือบลืมตัวยิ้มตอบไป ถ้าไม่ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างขบขันเสียก่อน เสียงหัวเราะที่ทำลายมนต์สะกดของสายตาคู่นั้น...
ตึ๊ง !
เสียงไมโครเวฟดังปลุกภวังค์ของเธอจนสะดุ้ง และเผลอกร่นด่าตัวเองที่เผลอไปคิดถึงนายนั่น นายลม ชื่อนี้เธอจะจำให้ขึ้นใจ และคงไม่มีวันได้เจอกันอีกแน่นอนตลอดชาตินี้ คิดได้ดังนั้นเธอก็สบายใจขึ้น หยิบชามข้าวซอยร้อนกรุ่นออกจากไมโครเวฟ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือข้าวซอยชามนี้ต่างหาก แล้วเธอก็นั่งกินข้าวซอยอย่างหิวโซจนเกลี้ยงชามในเวลาอันรวดเร็ว
คืนนั้นมัลลิกาหลับต่อจนถึงกลางดึกใกล้รุ่ง แล้วหล่อนก็ฝัน
..ในฝันหล่อนและเจ้าอิ๋งอิ๋งไปเดินเล่นที่สวนหลังบ้าน หล่อนปีนต้นมะม่วงขึ้นไปหวังจะเก็บมะม่วงเปรี้ยวที่แก่จัด มาให้แม่ยายทำกะปิน้ำปลาหวานให้จิ้มกิน แค่คิดน้ำลายหล่อนก็สอขึ้นมาแล้ว หล่อนปีนขึ้นไปอย่างคล่องแคล่วเพราะปีนขึ้นลงมาตั้งแต่เด็กจนชำนาญ นั่นไงมะม่วงพวงนั้นที่หมายตา ใกล้ถึงแล้วอีกนิดเดียว หล่อนเอื้อมมือไปจนใกล้จะคว้าพวงมะม่วงพวงนั้นได้อยู่แล้ว
ทันใดนั้น! งูเห่าตัวหนึ่งเลื้อยพันอยู่ที่กิ่งมะม่วงใกล้ ๆ ก็ชูแผงคอแผ่แม่เบี้ยขึ้น พร้อมแลบลิ้นสองแฉกขู่ฝ่อใส่เธอ เธอตกใจแทบสิ้นสติ แต่มีคนเคยสอนหล่อนว่าเวลาเจองูให้จ้องตามันแล้วกลั้นใจแผ่เมตตาให้มันแล้วมันจะไม่ทำร้ายเรา บทแผ่เมตตาท่องยังไงล่ะ ตอนนี้หล่อนตกใจจนแทบไม่ได้สติสมประดี ท่องสะเปะสะปะไม่เป็นภาษา ในขนาดที่หล่อนจ้องตากับงูอยู่นั้น จู่ ๆ เจ้างูเห่าตัวนั้นก็ยิ้มให้หล่อน เฮ้ย! งูอะไรยิ้มได้แถมฟันยังสวยอีกต่างหาก พอหล่อนมองหน้ามันชัด ๆ หน้าเจ้างูตัวนั้นกลายเป็นหน้านายลมพิษ!! ยิ้มยิงฟันใส่ตาหล่อน หล่อนตกใจปล่อยมือจากกิ่งไม้ที่ยึดอยู่หงายท้องตกจากต้นมะม่วงทันที
กรี๊ด ตุ้บ!!!
สองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน เสียงแรกคือเสียงกรี๊ดแบบตกใจสุดขีดของมัลลิกา เสียงต่อมาคือเสียงหล่อนกลิ้งตกเตียง!
เธอลืมตาขึ้นมามองเพดานห้องในความมืด หัวใจเธอยังเต้นอย่างกับกลองรบอยู่เลยตอนยกมือขึ้นมาทาบอก นี่นายนั้นตามมาหลอกหลอนเธอถึงในฝันเลยหรือนี่ ไม่ได้การแล้ว พรุ่งนี้เธอจะไปง้อแม่ยาย เพื่อขอวิธีแก้ฝัน ฝันเห็นงูโบราณบอกว่าจะเจอเนื้อคู่ เธอไม่อยากได้เนื้อคู่ ยิ่งเนื้อคู่กวนประสาทอย่างนายลมพิษ เธอต้องขอวิธีแก้ฝันจากแม่ยายให้เร็วที่สุด แค่คิดถึงเรื่องน่ากลัวในความฝัน ขนแขนเธอก็ลุกซู่ จนนอนต่อไม่ลง
มองออกไปนอกหน้าต่าง แสงอรุณรุ่งกำลังจับขอบฟ้าทางทิศตะวันออก เธอรีบลุกขึ้นหาเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำ เพื่อลงไปช่วยแม่ยายเตรียมของใส่บาตร ดังเช่นทุกวัน ต้องถามวิธีแก้ฝันกับแม่ยายด้วย เธอไม่ยอมรับเด็ดขาด ถ้าจะต้องได้นายนั่นเป็นเนื้อคู่ เธอเกลียดแววตายิ้มได้ของเขา เธอเกลียดรอยยิ้มกระชากวิญญาณของเขา เกลียดท่าทางที่คลุกคามเธอเหมือนเธอเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ดื้อและซน เธอเกลียดน้ำเสียงที่กลั้วเสียงหัวเราะตลอดเวลา ได้ยินแล้วประสาทเธอตึงเครียดเขม็ง เจอกันครั้งเดียว แค่นี้ก็เกินพอแล้ว
คิดสรุปความได้ตามความพอใจแล้ว มัลลิกาก็เดินเข้าห้องน้ำอาบน้ำอย่างสบายใจ
...แต่หล่อนคงลืมคิดไปถึงคำโบราณอีกประโยคหนึ่งที่บอกว่า
...ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ และเจอยิ่งกว่าเจอไปตลอดชีวิตเลยล่ะ ถ้าหล่อนจะรู้อนาคตอันใกล้ ๆ นี้
แต่ใครเลยจะล่วงรู้อนาคตได้ล่ะ นอกจากพระพรหมเท่านั้น เขาถึงเรียกว่า ...พรหมลิขิตอย่างไงล่ะ
หึ หึ เสียงหัวเราะลึกลับ...ลอยตามลมหนาวที่พัดโบกพลิ้วผ้าม่านฉลุสีขาวสะอาดตา ในห้องนอนของมัลลิกาและลอยลับหายออกหน้าต่างและจางหายไปกับสายลมหนาวต้นฤดู
......จบตอนที่ 2....
ตอนที่ 1 แรกรัก http://pantip.com/topic/35327094
^__^ ลอมชอม