นิยายเรื่องแรก ฝากติชมด้วยนะคะ :) ..>>>ฝากลมมาห่มรัก<<<.. โดย ลอมชอม ตอนที่ 1 แรกพบ

ฝากลมมาห่มรัก โดย ลอมชอม
ตอนที่ 1 แรกพบ

อนิลไม่เข้าใจว่าอะไรดลใจให้เขาเดินเข้ามาในร้านอาหารตามสั่งแห่งนี้ ร้านอาหารที่เป็นเรือนไทยล้านนาประยุกต์ทาสีเหลืองครีมสดใส มีกาแลติดอยู่บนจั่วหลังคาลวดลายหางหงส์บรรจงทำขึ้นมารับกับเชิงชายฉลุลวดลายดอกอ้ออ่อนไหว เข้ากันได้กับสายลมฤดูหนาวที่พัดโชยมา จนเขาต้องกระชับผ้าพันคอให้แน่นขึ้น เขาแหวกรากระโยงระยางของต้นม่านบาหลี ที่ปกคลุมซุ้มประตูทางเข้าร้าน ม่านบาหลีรากสีชมพูอ่อนพลิ้วไหวตามสายลม เหมือนมันกำลังเต้นระบำเริงร่า อวดสายตาสายลมจากเมืองกรุงอย่างเขา เขาเคยถามแม่ว่าทำไมถึงตั้งชื่อเขาว่า อนิล ที่แปลว่าลม แถมชื่อเล่นเขาก็คือลมอีกเช่นกันแม่ตอบเขาว่า

‘แม่อยากให้ลูกมีอิสระ ไปได้ทุกที่ และที่ไหนที่ลูกไป ที่นั่นก็จะสดชื่นและเย็นสบาย เป็นสายลมที่พัดโบกไล่ความร้อนให้จางหาย แม่ถึงตั้งชื่อลูกว่าลม’

ในวัยเด็กเขาไม่เข้าใจความนัยที่แม่สื่อแต่พอเติบโตขึ้น เขาก็เข้าใจความหมายนั้น เพราะทุกคนที่รู้จักเขาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาเหมาะสมกับชื่อลมจริง ๆ ด้วยนิสัยใจเย็นสนุกสนาน เข้ากับคนอื่นง่าย และหน้ายิ้มชื่นระรื่นตลอดเวลาเหมือนชีวิตนี้ไม่มีความทุกข์ใดจะทำอะไรเขาได้เลย บางครั้งเขาก็เป็นสายลมที่ซุกซนแต่บางครั้งเขาก็คือสายลมที่จริงจังเวลาทำงานที่ต้องใช้สมาธิ เขายิ้มกว้างให้ม่านบาหลีเมื่อความทรงจำถูกดึงมาสู่ปัจจุบัน

“หลบไป! ว้าย!"

สิ้นเสียงว้ายตามมาด้วยโครมครามของรถจักรยานที่เบนหัวหลบเขา แล้วล้มคว่ำทิ่มเข้าไป ในดงดอกเข็มข้างรั้วนอกจากเสียงร้องผู้หญิงแล้ว เขายังได้ยินเสียงร้องเอ๋งของเจ้าตูบในตะกร้าหน้ารถอีกด้วย เขาตะลึงยืนแข็งนิ่งกับภาพที่ปรากฏในสายตาตรงหน้า แต่หลังจากตั้งสติได้แล้ว ภาพที่เห็นทำให้เขาต้อง
ปล่อยเสียงหัวเราะพรวดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ สาวน้อยคนหนึ่งล้มหงายคาอยู่บนรถจักรยานที่ล้อข้างหนึ่งติดเข้าไปในดงดอกเข็ม ขาข้างหนึ่งของเธอชี้ขึ้นไปบนฟ้าอีกข้างโดนรถจักรยานทับอยู่ มีเจ้าตูบหน้าตาซื่อบื้อ นั่งอยู่บนอก มันช่างเป็นภาพที่น่าขบขันสำหรับเขายิ่งนัก จนหยุดหัวเราะไม่ได้

“โอ้ย เฮาเจ๊บ บ่ะม่วนเช่นตั๋ว ปะเลอะปะเต๋อ ยะหยังบ่ะมายกรถถีบเฮากึ้น ตั๋วเป๋นคนบ่ฮู้คัน ฮู้เดี้ยมเรอะ!!"

คำด่าภาษาถิ่นทำให้เขาได้สติ แต่ก็ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการกลั้นหัวเราะที่ยังสะอึกไม่หยุด

“พี่ขอโทษนะครับ พี่ไม่ใช่คนแถวนี้ เดี๋ยวพี่ยกรถให้ น้องยืนเองไหวไหมครับ”

อนิลตอบกลับไปอย่างสำนึกผิด ที่เผลอหัวเราะสาวน้อยน่ารักคนนี้ไป รีบปาดเข้าไปยกรถจักรยานแม่บ้านสีชมพูหวานแหววขึ้นจากตัวเธอคนนั้น แต่พอได้มามองหน้าใกล้ ๆ หัวใจของเขาก็กระตุกอย่างแรง

วงหน้าเล็ก ๆ รูปหัวใจ ล้อมกรอบด้วยผมยาวตรงที่ถักเปียไว้หลวม ๆ แต่ตอนนี้หลุดลุ่ย แถมมีเศษใบไม้ กิ่งไม้แซมเป็นหย่อม ๆ ดวงตายาวรีสีดำสนิทเหมือนเม็ดนิล รับกับคิ้วที่โกร่งดั่งคันศร พาดยาวเกือบถึงไรผม จมูกเล็กๆ ที่ปลายเชิดรั้นบ่งบอกถึงความดื้อ แล้วเฮี้ยวสุดกำลัง ปากเม้นแน่นบ่งบอกอารมณ์โกรธกรุ่น จนเขาอยากจะใช้มือไปคลายมันออกเสีย เพราะกลัวมันจะช้ำชอกยิ่งนัก เธอยืนจ้องหน้าเขาตาเขม็งหลังจากลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ที่หัวสูงสุดแค่ลาดไหล่เขา ทำให้ใบหน้านั้นต้องแหงนจนคอพับ

“นายเป็นใคร มาทำอะไรที่บ้านฉัน มาด้อม ๆ มอง ๆ จะขโมยของหรือเปล่าเนี่ย" หล่อนมองเขาอย่างหวาดระแวง และขยับถอยห่างแบบระวังภัยเต็มที่ และก่อนที่เขาจะได้ทันปฏิเสธอะไร เจ้าหมาน้อยก็งับเข้าที่ขาของเขาเสียแล้ว

“ดีมากอิ๋งอิ๋ง หนูจับโจรไว้ให้แม่นะลูก แม่จะโทรไปแจ้งตำรวจ" หล่อนพูดจบก็ควักโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง และทำท่าจะกดโทรออก

“เดี๋ยวน้อง พี่ไม่ใช่โจร พี่เป็นลูกค้าจะมาทานอาหาร ที่นี้ร้านอาหารไม่ใช่เหรอ" เขารีบพูดพร้อมสะบัดขาไปมา เพื่อให้เจ้าชิสุตัวกระจ้อยหลุดจากขากางเกงยีนส์ลีวายส์ตัวเก่งของเขา แต่เจ้าอิ๋งอิ๋งมันช่างเชื่อฟังแม่มันเหลือเกิน ไม่ว่าเขาจะสะบัดอย่างไงมันก็งับแน่นไม่ยอมปล่อยเขี้ยวคม

“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ ร้านครัวมัลลิกา หยุดทุกวันจันทร์ใครก็รู้ นายอย่ามาหลอกฉันเสียให้ยาก เตรียมตัวแก้ตัวกับตำรวจเถอะ" หล่อนกดเบอร์โทรออกสถานีตำรวจทันทีที่พูดจบ แต่เขาไม่มีเวลาจะเสียไปกับเรื่องไร้สาระและความยุ่งยากที่โรงพัก เลยตัดสินใจทำอะไรบางอย่างอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“คุณตำรวจหรือคะ มีโจ...อะอาอ้น อ้า อ้ากก..." ยังไม่ทันที่หล่อนจะพูดจบ เขาก็พุ่งตัวไปเอามือที่ใหญ่เกือบเท่าหน้าหล่อน ปิดปากหล่อนไว้ อีกมือก็รวบแขนและตัวของหล่อนยกขึ้นจากพื้น พร้อมลากหล่อนที่ดิ้นพล่านเดินเข้าไปข้างในร้าน ส่วนเจ้าอิ๋งอิ๋ง หมาที่ยอมตายแทนเจ้าของ ถูกลากตามไปด้วยอย่างถูลู่ถูกัง สิ้นสภาพโดยดี

“ขอโทษนะครับ มีใครอยู่บ้าง ช่วยผมด้วยครับ" อนิลร้องตะโกนขอความช่วยเหลือเข้าไปในบ้าน เพราะเขาคิดว่า ถ้าไม่มีตัวช่วย ชีวิตเขาต้องซวยติดคุกติดตะรางไม่ต้องทำงานทำการแน่ ๆ

สตรีสูงวัยผมสีดอกเลาเกล้ามวยสูง ปักผมด้วยปิ่นเงินเดินออกจากบ้านมาด้วยความตกใจ กับภาพเหตุการณ์ชุลมุนที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า

“เกิดอะไรขึ้น มีใครพอจะเล่าให้ฟังได้ไหม" นางถามขึ้นอย่างตกใจ
“อายอนอี้อันเอ็นโอน อันอะอาอ้นอ้านเอาอะแอ้อาย"

ร่างในอ้อมแขนเขาพยายามจะพูดทั้งที่มีมือปิดปากอยู่ และหล่อนก็ดิ้นรนให้เป็นอิสระไม่หยุด จนวินาทีหนึ่งที่ อนิลปล่อยร่างหล่อนลงบนพื้น ทั้งที่หล่อนยังไม่ทันรู้ตัว ผลคือร่างหล่อนหล่นตุบลงไปกองกับพื้น เจ็บตัวเพราะเขาเป็นครั้งที่สองของวัน

“โอ๊ย นายทำฉันเจ็บตัวอีกแล้วนะ" หล่อนขโยกเขยกคลำก้นกบที่เจ็บเพราะหล่นกระแทกพื้น พร้อมขว้างค้อนใส่หน้าเขา แล้วหันไปฟ้องผู้สูงวัยตัวช่วยของเขา

“แม่ยายขานายคนนี้มันเป็นโจรค่ะ มันมาดูลาดเลาจะปล้นบ้านเรา มะลิเห็นมันยืนลับ ๆ ล่อ ยืนยิ้มกับรากม่านบาหลีหน้าบ้านด้วยค่ะ ท่าทางไม่น่าไว้ใจ เราโทรเรียกตำรวจดีไหมคะ" หล่อนใส่ร้ายเขาฉอด ๆ

“ผมไม่ใช่โจรครับ ผมชื่ออนิล มาจากกรุงเทพ ผมมาทำธุระที่เชียงใหม่ สองสัปดาห์เพิ่งลงเครื่องมาตอนเที่ยง ผมหิวเลยออกมาหาอะไรทาน เห็นที่นี้เป็นร้านอาหาร แล้วบรรยากาศดี เลยเดินเข้ามาครับ ผมขอโทษนะครับที่ไม่ทราบว่าร้านปิด และทำให้"น้อง"มะลิ ต้องเจ็บตัว" เขาอธิบายพร้อมยกมือไหว้ผู้อวุโสเพื่อขอโทษ และหันไปเน้นคำว่าน้องกับสาวน้อยที่หน้างอเป็นม้าหมากรุก “พี่ขอโทษน้องมะลิด้วยนะครับ ที่ยืนขวางทางจนทำให้จักรยานล้ม และขอโทษลูกของน้องด้วยที่ทำให้ตกใจ" ประโยคสุดท้าย เขาหันไปจ้องหน้าเจ้าอิ๋งอิ๋ง ที่รู้แกววิ่งไปหลบหลังแม่และส่งสายตาลุแกโทษ

“เอาล่ะ ๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแล้วกันนะ ก็ขอให้เลิกแล้วต่อกัน มะลิไหว้ขอโทษพี่เขาสิ เราเข้าใจผิดจนทำให้เรื่องราวใหญ่โต"

สุดท้ายเขาก็ชนะ อนิลยิ้มกริ่มสมใจ หันไปจ้องหน้าสาวน้อยที่น่าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ แต่ร้ายกาจเหมือนปีศาจน้อย หล่อนสบตาเขาด้วยแววตาขุ่นเคือง ในแววตาที่สวยสดใสเหมือนนิลเม็ดนั้นเหมือนมีเปลวไฟสุ่มอยู่

“เฮาบ่ไหว้ เฮาบ่ปิดเน้อ ยะหยังแม่ยายต้องบังคับเฮา เฮาบ่มีปี้มีน้อง เฮาเป็นลูกโดดลูกโทน แม่ยายไปเข้าข้างเปิ้น เฮาเสียใจ๋" พูดจบมะลิที่ร้อนดังไฟก็เดินเขยกขึ้นบ้านไป โดยไม่หันกลับมามองเขาสักนิดเดียว

“ขอโทษแทนมะลิด้วยนะคะคุณอนิล มะลิน่าสงสารมากแกเป็นเด็กมีปม นิสัยเลยขาด ๆ เกิน ๆ ไปหน่อย แต่จริง ๆ แล้ว น้องเป็นเด็กดีมากเลยค่ะ" ผู้อวุโสรีบชี้แจง ที่หลานสาวตัวดีออกฤทธิ์กับคนแปลกหน้าแบบเขา

“ผมไม่ถือสาหรอกครับ ผมก็มีน้องสาววัยไล่เลี่ยกัน แต่รายนั้นจะเศร้า ๆ ซึม ๆ ไม่แก่น เฮ้ย ไม่กล้าหาญขนาดนี้ ผมชอบนิสัยนักเลงแบบน้องมะลิครับ รู้สึกสนุกดี ขอโทษนะครับคุณป้า เรียกผมว่าลมก็ได้นะครับ ให้ผมเรียกคุณป้าว่าอย่างไรดีครับ " อนิลได้ทีรีบตีสนิทผู้ผู้อวุโสเอาไว้ก่อน เพราะเขาเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจ ว่าศึกครั้งนี้มันจะต้องยาวนานแน่นอน

“เรียกป้าว่า ป้าจันทร์นิล หรือป้าจันทร์ก็ได้จะ พ่อลม" จันทร์นิลกล่าวตอบ มันก็น่าแปลกที่นางรู้สึกถูกชะตากับอนิลอย่างประหลาดรู้สึกเอ็นดู ตั้งแต่ได้พบหน้า

“นั่งก่อน ป้ากำลังทำข้าวซอย เคยทานไหมจ๊ะ เดี๋ยวป้าจะยกมาให้นะ เมื่อกี้เห็นบ่นว่าหิว"

“ผมเกรงใจไม่รบกวนดีกว่านะครับ เดี๋ยวผมกลับไปทานที่โรงแรมได้ครับ" เขาต้องจำใจปฏิเสธ เพราะนี่ก็เลยเวลานัดกับทีมงานมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว กลับไปต้องเล่าเรื่องอีกยาว คงไม่มีเวลาโอเอ้ ถึงใจจริงจะอยากลองข้าวซอยขนาดไหนก็ตาม

“ไว้โอกาสหน้า ผมจะแวะมาอุดหนุนนะครับ วันนี้ผมขอลาก่อน"

“จ้าไปดีมาดีนะพ่อคุณ โชคดีจ้า พ่อลม" คุณจันทร์นิลไม่รั้งเขาให้ลำบากใจ

ชายหนุ่มยกมือไหว้ลาผู้สูงวัยแล้วเดินย้อนออกมาหน้าร้าน ผ่านม่านบาหลีต้นเหตุ และจักรยานที่ยังจอดสงบนิ่งอยู่หน้ารั้ว พอนึกถึงใบหน้าน้อย ๆ ที่งอง้ำเหมือนตวักตักแกง ก็ยิ้มออกมาได้อย่างอารมณ์ดี มะลิดอกนี้ช่างดึงดูดใจเขานัก และคนแบบอนิลความท้าทายคือกำไรของชีวิต และคนที่กล้าเท่านั้นที่จะชนะทุกอย่าง สายลมสงบราบเนิบนิ่ง ถูกปลุกให้ตื่นด้วยดอกไม้สีขาวดอกเล็ก ๆ เสียแล้ว ..แล้วเราจะพบกันใหม่ในเร็ววัน ...มะลิ

...จบตอนที่ 1...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่