ถ้าให้พูดถึงจุดหมายปลายทางที่ชวนสะกดจิตนักท่องเที่ยวให้มาพิชิตทันทีที่ได้เห็นรูปนั้น หนึ่งสถานที่ๆว่าคงหนีไม่พ้นสอง
ภูเขาไฟโบรโม่ (Mt. Bromo) และ
คาวาอีเจี้ยน (Kawah ijen) อันเลื่องชื่อที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของ
จังหวัดจาวา (East Java) ประเทศอินโดนีเซีย ที่ มีทัศนียภาพดั่งต้องมนต์อย่างลมหายใจของโบรโม่และทะเลสาบซัลเฟอร์สีเทอร์ควอยซ์เล่นแสงอาทิตย์ระยิบระยับของคาวาอีเจี้ยน ลวงตาชวนให้คิดว่าไร้พิษภัย แต่แท้จริงแล้วทั้งเขาและเธอมีพลังทำลายล้างซ่อนอยู่ เพียงแค่รอให้ใครสักคนมาปลุกให้ตื่นจากการหลับใหลเท่านั้นเอง
การผจญภัยครั้งนี้มีเวลาร่วม 5 วัน 4 คืน แบ่งหลักๆออกเป็นสองช่วงคือ
"3 วันแรกขึ้นเขา 2 วันหลังลงทะเล" ซึ่งก่อนการเดินทางเรามีการตระเตรียมทัวร์ไกด์+คนขับรถส่วนตัวสำหรับ 2 คนอย่างดีเป็นที่เรียบร้อย เข็มนาฬิกาเริ่มเดินตั้งแต่ช่วงเวลาที่ไกด์มารับจากสนามบินสุราบายาเพื่อ ตะลุยภูเขาไฟ จวบจนนั่งเฟอรี่ข้ามฟากส่งถึงโรงแรมที่บาหลี
"Selamat Pagi Indonesia สวัสดีอินโดนีเซีย
"
“นี่คือตารางการทัวร์ 3 วันแรกก่อนจะไปชิลเองที่บาหลี”
เมื่อได้เวลาก็บินลัดฟ้า 2,687 กิโลเมตรจาก
กรุงเทพฯสู่สุราบายา โดยมีไกด์ประจำตัวมายืนชูป้ายต้อนรับ ก่อนจะส่งสัญญาณให้รู้กันว่าต้องรีบไปต่อ เนื่องจากไฟลท์ดีเลย์ไปชั่วโมงเศษ กว่าจะถึงสุราบายาก็เย็นแล้ว ไหนจะต้องขับรถไปพักแถวโรงแรมบนภูเขาใกล้กับทางที่จะไปโบรโม่กว่า 3 ชั่วโมงครึ่ง
“ร้านอาหารที่สนามบินถูกตกแต่งให้เหมือนร้านอาหารพื้นบ้านในเมือง”
“เมื่อกองทัพต้องเดินด้วยท้องเลยแวะเติมพลังก่อน”
“อาหารท้องถิ่นที่มีข้าว ไข่เจียว ไก่ทอดที่เคียงมากับซอสเผ็ด”
“แม้กระทั่งการตกแต่งที่สนามบิน บ่งบอกให้เห็นถึงความเข้มข้นของวัฒนธรรมที่ชัดเจน”
ในขณะที่คนขับรถปิดแอร์รับลมธรรมชาติและเปลี่ยนเกียร์ต่ำพยายามเกาะถนนปีนเขา ถ้าสังเกตุทัศนียภาพรอบตัวแล้ว ดาวเป็นล้านดวงที่ส่องแสงบนท้องฟ้า เมื่อเทียบกับวิวไหล่ทางที่จะตกมิตกแหล่นั้นช่างขัดกันอย่างสิ้นเชิง ชวนให้ลุ้นและเสียวตลอดระยะทางจนพูดได้เลยว่าจุดนี้ล่ะที่เริ่มจะถามตัวเอง ว่า
“นี่ฉันมาทำอะไรที่นี่ ?”
ความประทับใจที่สองคือโรงแรมแรกที่พัก เนื่องด้วยการตัดสินใจวินาทีสุดท้ายว่าจะเปลี่ยนจากเที่ยว 4 วันเป็น 5 วัน ทำให้โรงแรมที่จองอยู่เดิมเต็ม จับพลัดจับผลูมาพักที่
Cemara Indrah Hotel แทน ความพีคที่ว่าคือ นี่คือโรงแรมสำหรับ backpackers, tourists แนวไม่คิดอะไรมาก รักธรรมชาติอย่างแท้จริง ใครไม่ลุยนี่เครียดเลยนะ
“จริงๆ แล้วในแถบที่พักนั้นมีโรงแรมให้เลือกหลากหลาย ราคาสูงต่ำตามเกรดกันไป มีตั้งแต่โฮสเทล กระท่อมไปถึงโรงแรมดีๆในราคา 500-7,000 บาท นอกจากนี้เวลาที่เราต้องตื่นตอนเช้าและระยะเวลาในการเดินทาง ก็ขึ้นอยู่กับโรงแรมที่เราเลือกพักด้วย”
อ่ะ… เรามาลองนึกภาพตามกันนะ เคยเห็นกระท่อมร้างในหนังฆาตกรรม หรือหนังแบบพระเอกจับนางเอกไปขังไว้กลางป่าไหม ? ถ้าคิดตามจะจินตภาพออกทันที เพราะเมื่อลงรถแล้ว ร่างกายเราจะสัมผัสอากาศที่แตะอุณหภูมิ 10 องศาแบบไม่คุ้นชิน เหล่าแมลงทับ แมลงปีกแข็ง ผีเสื้อกลางคืนนับสิบยี่สิบตัวบินเล่นไฟ ประหนึ่งรอต้อนรับ พีคกว่านั้นคือบางตัวสามารถเล็ดลอดผ่านช่องลับตามซอกหลืบกำแพง แล้วเข้าไปร่วมหอลงโลงกับเราได้ มิหนำซ้ำความแรงของน้ำ+น้ำอุ่นยังชวนให้หวนนึกถึงความแล้งในปีนี้ที่แผ่วเหลือเกิน แต่
The show ก็ must go on. เพราะหันมาดูเวลาอีกทีก็ปาไปสามทุ่มแล้ว ต้องตื่นตี 3 อีก!!! เลยไม่พิธีรีตอง คนอื่นอยู่ได้เราก็ต้องอยู่ได้ คิดซะว่าอีกไม่นานก็เช้าเลยขอเลือกนอนเอาแรงดีกว่า
ตี 3 แล้ว.. ตี 3 แล้ว.. ตื่นได้แล้ว…
“พี่พระอาทิตย์.. พี่รู้ไหมว่าหนูมารอพี่ขึ้นตั้งแต่ตี 4 พี่ดูไม่แก่ขึ้นเลย”
ลืมตาด้วยความสะลืมสะลือราวกับเพิ่งหลับตาลงได้ไม่กี่ชั่วโมง จู่ๆมือถือก็ทำหน้าที่ปลุกของมัน บวกกับอากาศแสนหนาวเหน็บทำให้ต้องใส่เสื้อผ้าหลายชั้น ดีนะที่เอาเสื้อกันหนาวมา ไม่งั้นคนขี้หนาวอย่างเราไม่น่าจะรอด ถ้าคุณคิดว่าเช้านี้เราจะอาบน้ำ บอกเลยคุณทายผิด ตามองตาคนรู้ใจแล้วรู้กันว่าขอซักแห้งหนึ่งวันคงไม่เป็นไรเนอะ ว่าแล้วพอถึงเวลานัด ไกด์ก็แสนตรงเวลา เอารถจี๊ปมารับแล้วเราก็พร้อมออกเดินทาง
“ที่จอดรถจี๊ปรอรับลูกทัวร์ กว่าจะออกมาได้แต่ละคันทำเอารอจนเหนื่อย พี่พูดเลยว่าคันสุดท้ายซวยสุด”
**จิปาถะ ที่ควรเตรียมไป Mt.Bromo คือเป้สะพายหลังที่บรรจุไปด้วย ทิชชู่ ทิชชู่เปียก หน้ากากอนามัย น้ำเปล่าขวดหนึ่ง พลาสเตอร์ปิดแผล แว่นกันแดด เงิน และที่สำคัญคือ…ใจล้วนๆ**
จุดชมวิวโบรโม่มี 4 จุด ซึ่งจุดแรกที่คนส่วนใหญ่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นก็คือ
The Paranjakan view point จุดนี้เราจะสามารถเห็นภาพ panorama ของภูเขาที่เรียงรายอยู่ 7 ลูกด้วยกันแต่ 3 ลูกหลักที่คุณจะได้เห็นอย่างชัดเจนก็คือ
Mt. Batok, Mt.Bromo, และ
Mt.Semeru (หนึ่งในภูเขาไฟที่สูงที่สุดในจังหวัดจาวาและยังมีการปะทุรุนแรงอยู่)
“ภาพที่ถ่ายได้จากจุดชมวิว Paranjakan ก่อนที่ท้องฟ้าเริ่มจะสว่างขึ้น”
“ทำตัวกลมกลืน หาจุดถ่ายรูปจากมุมต่างๆ”
“สรุปแล้วคือหามุมที่ไม่มีคนอื่นเป็นฉากหลังไม่มี ฮ่าๆ”
“ระหว่างทางมีแวะดื่มชาร้อนในอากาศหนาว ได้อารมณ์สุดๆ”
“Mie Goreng มาม่าแห้งรสชาติอร่อยล้ำ ช่วยประทังชีวิตเช้านี้”
“ระหว่างทางก็จะมีอาหาร ของที่ระลึกขายตลอดทาง ข้าวโพดปิ้งก็เป็นอีกหนึ่งอาหารขวัญใจชาวอินโดฯ”
“รับกล้วยทับ ฟักทอง มันเผาสไตล์จาวาทานสักชิ้นไหมคะ ?”
ไปกันต่อที่จุดชมวิวที่สองมีชื่อว่า
“Kingkong Hill” ตามมาด้วยจุดที่สามคือ
“Love Hill” (จุดๆนี้มีคู่รักมาถ่าย
pre-wedding กันเยอะ ซึ่งวันนั้นเองเราก็เจอคู่รักคู่หนึ่ง ฝ่าความหนาวลากเกาะอก กระโปรงยาวมาถ่ายกับว่าที่เจ้าบ่าว ทุ่มทุนสร้างยิ่งนัก) ส่วนจุดชมวิวสุดท้ายระหว่างลงเขามาก็คือจุด
“Simpang Dingklik” ที่แค่ลงรถ เดินขึ้นเนินนิดหน่อยก็ถึงแล้ว
“หนึ่งในจุดชมวิวลับลวงพราง ที่ทัวร์ไกด์พาไปยล”
ความคิดส่วนตัวกับการดูพระอาทิตย์ขึ้น เรารู้สึกว่าไม่จำเป็นเท่าไหร่ เพราะจากทุกที่ๆเคยไป ไม่ว่ามันจะขึ้นที่ไหนมันก็ดูเหมือนกันไปหมดแถมนักท่องเที่ยวอยู่กันอย่าง แออัด เบียดเสียด เลยไม่อินกับไอเดียที่ต้องมาจองที่แล้วยืนรอพระอาทิตย์ค่อยๆขึ้นเกือบ 2 ชั่วโมงภายใต้อากาศที่ค่อนข้างหนาวสำหรับคนที่มาจากประเทศแถบร้อน แต่ถ้าใครที่ชอบเสพความเป็นธรรมชาติดิบๆก็แนะนำให้มาลองดู เพราะท้ายที่สุดแล้วทุกคนจะได้เห็นวิว panorama เหมือนกัน เก็บภาพได้คล้ายกันตามความโปรฯของการถ่ายภาพของแต่ละคนในตอนที่ฟ้าสางแล้ว แถมได้เดินไปเดินมา เปลี่ยนมุมถ่ายรูปได้ตามใจ โดยพอมาคิดอีกทีก็อ่าว.. แล้วเราจะมาจองที่ทำไมกันตั้งแต่ตี 4 ?
ผ่านจุดนี้ไปขอบอกเลยว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ใครที่คิดว่าวิวเมื่อครู่ชวนหยุดลมหายใจ คงไม่เท่ากับอีกสองสามจุดชมวิวที่ไกด์พาไปอย่างลับๆที่บอกเลยว่าสิ่งที่เห็น อยู่ตรงหน้าชวนให้หัวใจหยุดเต้นมากกว่า ที่สำคัญไม่ต้องไปแย่งที่ถ่ายรูปกับใคร
(เพราะฉะนั้นใครที่มีไกด์ควรจะถามรายละเอียดว่ามีจุดชมวิวกี่ที่ ? หยุดรถได้ไหม ? เพื่อที่จะไม่พลาดเพราะคงไม่มีมากันบ่อยๆ)
“วิวที่ชวนให้หัวใจหยุดเต้น ใครคิดเหมือนกันว่าเหมือนภาพวาดบ้าง ?”
“จุดชมวิว Simpang Dingklik”
“ถึงแม้ว่าพระอาทิตย์จะเหมือนกับที่เคยเห็นที่เชียงใหม่หรือภูเก็ต แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกแตกต่างคือทิวทัศน์ใหม่ 360 องศาและบรรยากาศของคนหลากหลายเชื้อชาติที่บากบั่นมาดูพระอาทิตย์ดวงเดิมกับคนพิเศษข้างกาย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว แก๊งค์เพื่อนหรือคนรัก”
จุดสุดท้ายเราจะไปสัมผัสลมหายใจโบรโม่กันแบบรดคอ เอื้อมมือก็ถึงปล่องภูเขาไฟโบรโม่กันไปเลยกับสถานที่ๆเรียกกันว่า
“Caldera of Mt. Bromo” ข้อดีของทริปโบรโม่ก็คือมีรถและม้าอำนวยความสะดวกเกือบตลอดทาง จะเหลือก็เพียงต้องเดินขึ้นบันไดพาตัวเองขึ้นไปใจกลางปล่องภูเขาไฟให้ได้ นั่นเอง ซึ่งเมื่อปี 2010 เกิดเหตุโบรโม่ได้ปะทุจนทำให้
บันไดจำนวน 249 ขั้นเหลือเพียง 235 ขั้น มาถึงตรงนี้บอกเลยว่าเหนื่อยใช่เล่น เพราะ
ความชันเฉลี่ยที่ 40-45 องศา ใครที่มีเวลาเตรียมตัวก่อนมา แนะนำให้ฟิตร่างกายให้เต็มที่เพราะว่าอาจจะมีหอบเล็กๆ
“ถึงจะเหนื่อย คลุกฝุ่นแต่รับรองไม่ผิดหวัง ครั้งหนึ่งในชีวิตลองมากันดู”
“Landscape ระหว่างทางที่จะไปพิชิตปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่”
“นอกจากจะมีร้านค้า เพิงร้านอาหาร ก็ยังเป็นที่จอดรถและมีม้าบริการสำหรับใครที่ขี้เกียจเดิน”
“นี่ก็คือสองโฉมหน้าคนขี้เกียจนั่นเอง ฮ่าๆ”
“หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา…”
[CR] LOVE AT FIRST SLIDE, 'From Mt. Bromo - Kawah ijen to Bali'
ถ้าให้พูดถึงจุดหมายปลายทางที่ชวนสะกดจิตนักท่องเที่ยวให้มาพิชิตทันทีที่ได้เห็นรูปนั้น หนึ่งสถานที่ๆว่าคงหนีไม่พ้นสองภูเขาไฟโบรโม่ (Mt. Bromo) และ คาวาอีเจี้ยน (Kawah ijen) อันเลื่องชื่อที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของจังหวัดจาวา (East Java) ประเทศอินโดนีเซีย ที่ มีทัศนียภาพดั่งต้องมนต์อย่างลมหายใจของโบรโม่และทะเลสาบซัลเฟอร์สีเทอร์ควอยซ์เล่นแสงอาทิตย์ระยิบระยับของคาวาอีเจี้ยน ลวงตาชวนให้คิดว่าไร้พิษภัย แต่แท้จริงแล้วทั้งเขาและเธอมีพลังทำลายล้างซ่อนอยู่ เพียงแค่รอให้ใครสักคนมาปลุกให้ตื่นจากการหลับใหลเท่านั้นเอง
การผจญภัยครั้งนี้มีเวลาร่วม 5 วัน 4 คืน แบ่งหลักๆออกเป็นสองช่วงคือ "3 วันแรกขึ้นเขา 2 วันหลังลงทะเล" ซึ่งก่อนการเดินทางเรามีการตระเตรียมทัวร์ไกด์+คนขับรถส่วนตัวสำหรับ 2 คนอย่างดีเป็นที่เรียบร้อย เข็มนาฬิกาเริ่มเดินตั้งแต่ช่วงเวลาที่ไกด์มารับจากสนามบินสุราบายาเพื่อ ตะลุยภูเขาไฟ จวบจนนั่งเฟอรี่ข้ามฟากส่งถึงโรงแรมที่บาหลี
"Selamat Pagi Indonesia สวัสดีอินโดนีเซีย
“นี่คือตารางการทัวร์ 3 วันแรกก่อนจะไปชิลเองที่บาหลี”
เมื่อได้เวลาก็บินลัดฟ้า 2,687 กิโลเมตรจากกรุงเทพฯสู่สุราบายา โดยมีไกด์ประจำตัวมายืนชูป้ายต้อนรับ ก่อนจะส่งสัญญาณให้รู้กันว่าต้องรีบไปต่อ เนื่องจากไฟลท์ดีเลย์ไปชั่วโมงเศษ กว่าจะถึงสุราบายาก็เย็นแล้ว ไหนจะต้องขับรถไปพักแถวโรงแรมบนภูเขาใกล้กับทางที่จะไปโบรโม่กว่า 3 ชั่วโมงครึ่ง
“ร้านอาหารที่สนามบินถูกตกแต่งให้เหมือนร้านอาหารพื้นบ้านในเมือง”
“เมื่อกองทัพต้องเดินด้วยท้องเลยแวะเติมพลังก่อน”
“อาหารท้องถิ่นที่มีข้าว ไข่เจียว ไก่ทอดที่เคียงมากับซอสเผ็ด”
“แม้กระทั่งการตกแต่งที่สนามบิน บ่งบอกให้เห็นถึงความเข้มข้นของวัฒนธรรมที่ชัดเจน”
ในขณะที่คนขับรถปิดแอร์รับลมธรรมชาติและเปลี่ยนเกียร์ต่ำพยายามเกาะถนนปีนเขา ถ้าสังเกตุทัศนียภาพรอบตัวแล้ว ดาวเป็นล้านดวงที่ส่องแสงบนท้องฟ้า เมื่อเทียบกับวิวไหล่ทางที่จะตกมิตกแหล่นั้นช่างขัดกันอย่างสิ้นเชิง ชวนให้ลุ้นและเสียวตลอดระยะทางจนพูดได้เลยว่าจุดนี้ล่ะที่เริ่มจะถามตัวเอง ว่า “นี่ฉันมาทำอะไรที่นี่ ?”
ความประทับใจที่สองคือโรงแรมแรกที่พัก เนื่องด้วยการตัดสินใจวินาทีสุดท้ายว่าจะเปลี่ยนจากเที่ยว 4 วันเป็น 5 วัน ทำให้โรงแรมที่จองอยู่เดิมเต็ม จับพลัดจับผลูมาพักที่ Cemara Indrah Hotel แทน ความพีคที่ว่าคือ นี่คือโรงแรมสำหรับ backpackers, tourists แนวไม่คิดอะไรมาก รักธรรมชาติอย่างแท้จริง ใครไม่ลุยนี่เครียดเลยนะ
“จริงๆ แล้วในแถบที่พักนั้นมีโรงแรมให้เลือกหลากหลาย ราคาสูงต่ำตามเกรดกันไป มีตั้งแต่โฮสเทล กระท่อมไปถึงโรงแรมดีๆในราคา 500-7,000 บาท นอกจากนี้เวลาที่เราต้องตื่นตอนเช้าและระยะเวลาในการเดินทาง ก็ขึ้นอยู่กับโรงแรมที่เราเลือกพักด้วย”
อ่ะ… เรามาลองนึกภาพตามกันนะ เคยเห็นกระท่อมร้างในหนังฆาตกรรม หรือหนังแบบพระเอกจับนางเอกไปขังไว้กลางป่าไหม ? ถ้าคิดตามจะจินตภาพออกทันที เพราะเมื่อลงรถแล้ว ร่างกายเราจะสัมผัสอากาศที่แตะอุณหภูมิ 10 องศาแบบไม่คุ้นชิน เหล่าแมลงทับ แมลงปีกแข็ง ผีเสื้อกลางคืนนับสิบยี่สิบตัวบินเล่นไฟ ประหนึ่งรอต้อนรับ พีคกว่านั้นคือบางตัวสามารถเล็ดลอดผ่านช่องลับตามซอกหลืบกำแพง แล้วเข้าไปร่วมหอลงโลงกับเราได้ มิหนำซ้ำความแรงของน้ำ+น้ำอุ่นยังชวนให้หวนนึกถึงความแล้งในปีนี้ที่แผ่วเหลือเกิน แต่ The show ก็ must go on. เพราะหันมาดูเวลาอีกทีก็ปาไปสามทุ่มแล้ว ต้องตื่นตี 3 อีก!!! เลยไม่พิธีรีตอง คนอื่นอยู่ได้เราก็ต้องอยู่ได้ คิดซะว่าอีกไม่นานก็เช้าเลยขอเลือกนอนเอาแรงดีกว่า
ตี 3 แล้ว.. ตี 3 แล้ว.. ตื่นได้แล้ว…
“พี่พระอาทิตย์.. พี่รู้ไหมว่าหนูมารอพี่ขึ้นตั้งแต่ตี 4 พี่ดูไม่แก่ขึ้นเลย”
ลืมตาด้วยความสะลืมสะลือราวกับเพิ่งหลับตาลงได้ไม่กี่ชั่วโมง จู่ๆมือถือก็ทำหน้าที่ปลุกของมัน บวกกับอากาศแสนหนาวเหน็บทำให้ต้องใส่เสื้อผ้าหลายชั้น ดีนะที่เอาเสื้อกันหนาวมา ไม่งั้นคนขี้หนาวอย่างเราไม่น่าจะรอด ถ้าคุณคิดว่าเช้านี้เราจะอาบน้ำ บอกเลยคุณทายผิด ตามองตาคนรู้ใจแล้วรู้กันว่าขอซักแห้งหนึ่งวันคงไม่เป็นไรเนอะ ว่าแล้วพอถึงเวลานัด ไกด์ก็แสนตรงเวลา เอารถจี๊ปมารับแล้วเราก็พร้อมออกเดินทาง
“ที่จอดรถจี๊ปรอรับลูกทัวร์ กว่าจะออกมาได้แต่ละคันทำเอารอจนเหนื่อย พี่พูดเลยว่าคันสุดท้ายซวยสุด”
**จิปาถะ ที่ควรเตรียมไป Mt.Bromo คือเป้สะพายหลังที่บรรจุไปด้วย ทิชชู่ ทิชชู่เปียก หน้ากากอนามัย น้ำเปล่าขวดหนึ่ง พลาสเตอร์ปิดแผล แว่นกันแดด เงิน และที่สำคัญคือ…ใจล้วนๆ**
จุดชมวิวโบรโม่มี 4 จุด ซึ่งจุดแรกที่คนส่วนใหญ่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นก็คือ The Paranjakan view point จุดนี้เราจะสามารถเห็นภาพ panorama ของภูเขาที่เรียงรายอยู่ 7 ลูกด้วยกันแต่ 3 ลูกหลักที่คุณจะได้เห็นอย่างชัดเจนก็คือ Mt. Batok, Mt.Bromo, และ Mt.Semeru (หนึ่งในภูเขาไฟที่สูงที่สุดในจังหวัดจาวาและยังมีการปะทุรุนแรงอยู่)
“ภาพที่ถ่ายได้จากจุดชมวิว Paranjakan ก่อนที่ท้องฟ้าเริ่มจะสว่างขึ้น”
“ทำตัวกลมกลืน หาจุดถ่ายรูปจากมุมต่างๆ”
“สรุปแล้วคือหามุมที่ไม่มีคนอื่นเป็นฉากหลังไม่มี ฮ่าๆ”
“ระหว่างทางมีแวะดื่มชาร้อนในอากาศหนาว ได้อารมณ์สุดๆ”
“Mie Goreng มาม่าแห้งรสชาติอร่อยล้ำ ช่วยประทังชีวิตเช้านี้”
“ระหว่างทางก็จะมีอาหาร ของที่ระลึกขายตลอดทาง ข้าวโพดปิ้งก็เป็นอีกหนึ่งอาหารขวัญใจชาวอินโดฯ”
“รับกล้วยทับ ฟักทอง มันเผาสไตล์จาวาทานสักชิ้นไหมคะ ?”
ไปกันต่อที่จุดชมวิวที่สองมีชื่อว่า “Kingkong Hill” ตามมาด้วยจุดที่สามคือ “Love Hill” (จุดๆนี้มีคู่รักมาถ่าย pre-wedding กันเยอะ ซึ่งวันนั้นเองเราก็เจอคู่รักคู่หนึ่ง ฝ่าความหนาวลากเกาะอก กระโปรงยาวมาถ่ายกับว่าที่เจ้าบ่าว ทุ่มทุนสร้างยิ่งนัก) ส่วนจุดชมวิวสุดท้ายระหว่างลงเขามาก็คือจุด “Simpang Dingklik” ที่แค่ลงรถ เดินขึ้นเนินนิดหน่อยก็ถึงแล้ว
“หนึ่งในจุดชมวิวลับลวงพราง ที่ทัวร์ไกด์พาไปยล”
ความคิดส่วนตัวกับการดูพระอาทิตย์ขึ้น เรารู้สึกว่าไม่จำเป็นเท่าไหร่ เพราะจากทุกที่ๆเคยไป ไม่ว่ามันจะขึ้นที่ไหนมันก็ดูเหมือนกันไปหมดแถมนักท่องเที่ยวอยู่กันอย่าง แออัด เบียดเสียด เลยไม่อินกับไอเดียที่ต้องมาจองที่แล้วยืนรอพระอาทิตย์ค่อยๆขึ้นเกือบ 2 ชั่วโมงภายใต้อากาศที่ค่อนข้างหนาวสำหรับคนที่มาจากประเทศแถบร้อน แต่ถ้าใครที่ชอบเสพความเป็นธรรมชาติดิบๆก็แนะนำให้มาลองดู เพราะท้ายที่สุดแล้วทุกคนจะได้เห็นวิว panorama เหมือนกัน เก็บภาพได้คล้ายกันตามความโปรฯของการถ่ายภาพของแต่ละคนในตอนที่ฟ้าสางแล้ว แถมได้เดินไปเดินมา เปลี่ยนมุมถ่ายรูปได้ตามใจ โดยพอมาคิดอีกทีก็อ่าว.. แล้วเราจะมาจองที่ทำไมกันตั้งแต่ตี 4 ?
ผ่านจุดนี้ไปขอบอกเลยว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ใครที่คิดว่าวิวเมื่อครู่ชวนหยุดลมหายใจ คงไม่เท่ากับอีกสองสามจุดชมวิวที่ไกด์พาไปอย่างลับๆที่บอกเลยว่าสิ่งที่เห็น อยู่ตรงหน้าชวนให้หัวใจหยุดเต้นมากกว่า ที่สำคัญไม่ต้องไปแย่งที่ถ่ายรูปกับใคร (เพราะฉะนั้นใครที่มีไกด์ควรจะถามรายละเอียดว่ามีจุดชมวิวกี่ที่ ? หยุดรถได้ไหม ? เพื่อที่จะไม่พลาดเพราะคงไม่มีมากันบ่อยๆ)
“วิวที่ชวนให้หัวใจหยุดเต้น ใครคิดเหมือนกันว่าเหมือนภาพวาดบ้าง ?”
“จุดชมวิว Simpang Dingklik”
“ถึงแม้ว่าพระอาทิตย์จะเหมือนกับที่เคยเห็นที่เชียงใหม่หรือภูเก็ต แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกแตกต่างคือทิวทัศน์ใหม่ 360 องศาและบรรยากาศของคนหลากหลายเชื้อชาติที่บากบั่นมาดูพระอาทิตย์ดวงเดิมกับคนพิเศษข้างกาย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว แก๊งค์เพื่อนหรือคนรัก”
จุดสุดท้ายเราจะไปสัมผัสลมหายใจโบรโม่กันแบบรดคอ เอื้อมมือก็ถึงปล่องภูเขาไฟโบรโม่กันไปเลยกับสถานที่ๆเรียกกันว่า “Caldera of Mt. Bromo” ข้อดีของทริปโบรโม่ก็คือมีรถและม้าอำนวยความสะดวกเกือบตลอดทาง จะเหลือก็เพียงต้องเดินขึ้นบันไดพาตัวเองขึ้นไปใจกลางปล่องภูเขาไฟให้ได้ นั่นเอง ซึ่งเมื่อปี 2010 เกิดเหตุโบรโม่ได้ปะทุจนทำให้ บันไดจำนวน 249 ขั้นเหลือเพียง 235 ขั้น มาถึงตรงนี้บอกเลยว่าเหนื่อยใช่เล่น เพราะความชันเฉลี่ยที่ 40-45 องศา ใครที่มีเวลาเตรียมตัวก่อนมา แนะนำให้ฟิตร่างกายให้เต็มที่เพราะว่าอาจจะมีหอบเล็กๆ
“ถึงจะเหนื่อย คลุกฝุ่นแต่รับรองไม่ผิดหวัง ครั้งหนึ่งในชีวิตลองมากันดู”
“Landscape ระหว่างทางที่จะไปพิชิตปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่”
“นอกจากจะมีร้านค้า เพิงร้านอาหาร ก็ยังเป็นที่จอดรถและมีม้าบริการสำหรับใครที่ขี้เกียจเดิน”
“นี่ก็คือสองโฉมหน้าคนขี้เกียจนั่นเอง ฮ่าๆ”
“หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา…”
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น