ปัจจัยอะไรทำให้นายบรรหาร ศิลปอาชา และ พรรคชาติไทย ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี
เป็นเพราะ “เงิน” หรือ
อาจใช่ แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วเพราะว่า “ผลงาน” และความสำเร็จที่ นายบรรหาร ศิลปอาชา และพรรคชาติไทย
ทุ่มเทและอุทิศให้กับชาวสุพรรณบุรีมากกว่า
ทั้งมิได้เป็น “ความสำเร็จ” อย่างธรรมดา
ตรงกันข้าม ความสำเร็จจากการทำงานให้ชาวสุพรรณบุรีอันเป็นบ้านเกิดยังเป็นเหมือนกระดานหกไม่เพียงแต่
แผ่บารมีไปยังจังหวัดอื่นๆ ในภาคกลาง
ยังทำให้ชื่อของ นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นที่ต้องตา ต้องใจ
ต้องตา ต้องใจ กระทั่งได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการและเป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยในที่สุด
ไต่เต้าจากนักการเมือง “บ้านนอก” จนได้เป็น “นายกรัฐมนตรี”
ส่วนหนึ่งของอำนาจ วาสนา และบารมี อาจมีพื้นฐานมาจากความมั่งคั่งในทาง “เศรษฐกิจ” แต่ก็ต้องยอมรับว่า
นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นคน “มีของ”
คำว่า “ของ” นั่นแหละคือเม็ดแห่ง “ผลงาน”
ไม่ว่านักการเมือง ไม่ว่าพรรคการเมือง ต่างเอ่ยอ้างถึงผลงานและความสำเร็จมาเป็นเครื่องต่อยอดในท่ามกลาง
การเคลื่อนไหว การต่อสู้
พรรคประชาธิปัตย์ก็อ้าง “ผลงาน”
พรรคภูมิใจไทยก็อ้าง “ผลงาน” พรรคชาติไทยพัฒนาก็อ้าง “ผลงาน” พรรคชาติพัฒนาก็อ้าง “ผลงาน”
พรรคพลังชลก็อ้าง “ผลงาน”
ถามว่าอะไรคือปัจจัยชี้ขาด “ความสำเร็จ” อย่างเป็นจริง
คำตอบไม่อ้อมค้อม ตรงไปตรงมา นั่นก็คือ ที่อ้างว่าเป็น “ผลงาน” ที่อ้างว่าเป็น “ความสำเร็จ”
ได้รับการยอมรับและเห็นชอบจาก “ประชาชน” หรือไม่
เหมือนกับที่ชาวสุพรรณบุรีให้กับ นายบรรหาร ศิลปอาชา
เหมือนกับที่ชาวชลบุรีให้กับคนในตระกูล “กำนันเป๊าะ” เหมือนกับที่ชาวสระแก้วให้กับคนในตระกูล “เทียนทอง”
หาก “ชาวบ้าน” ไม่รัก ไม่ให้ความนับถือ ก็ย่อมจะไม่เลือก ไม่ลงคะแนนให้
ที่กล่าวกันว่า “ประชาธิปไตย” คือ อำนาจเป็นของประชาชน หรือประชาชนเป็นใหญ่ ก็อยู่ตรงนี้ตรงที่ประชาชนจะแสดงอำนาจเมื่อเดินเข้าคูหากาบัตรว่าจะเลือกใคร เลือกพรรคการเมืองใด
ให้เป็นผู้แทนของพวกเขา
เสียงของ “ประชาชน” จึงมีบทบาทและทรง “ความหมาย”
ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับการเลือกตั้งภายหลังการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 อันเรียกกันว่า
เป็นรัฐธรรมนูญ “ฉบับประชาชน” เป็นต้นมา
ทำไมพรรคประชาธิปัตย์จึงพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง
ไม่เพียงแต่พ่ายแพ้ต่อพรรคชาติไทยของ นายบรรหาร ศิลปอาชา เมื่อปี 2539 ไม่เพียงแต่พ่ายแพ้ต่อ
พรรคความหวังใหม่ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อปี 2540
หากแต่ยังพ่ายแพ้ต่อพรรคไทยรักไทย เมื่อปี 2544
อาจสรุปได้ว่า นับแต่การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2539 เป็นต้นมา
พรรคประชาธิปัตย์ก็ผูกขาดความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง
แพ้ต่อพรรคการเมือง “ละอ่อน” อย่างพรรคไทยรักไทย
ไม่ว่าจะ นายชวน หลีกภัย เป็นหัวหน้าพรรค ไม่ว่าจะ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค
ไม่ว่าจะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค
แพ้เพราะ “เงิน” อย่างนั้นหรือ
อาจใช่ แต่สถานการณ์หลังรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เริ่มน่าสงสัยว่า ความพ่ายแพ้
ในการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2550 และความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554
อาจมิใช่เพราะปัจจัยในเรื่อง “เงิน” เท่านั้น
หากที่สำคัญเป็นอย่างมากน่าจะแพ้เพราะ “ผลงาน” มากกว่า
นั่นก็คือ ประชาชนวางใจ “ผลงาน” พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชาชน มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์
เมื่อเอ่ยอ้างในเรื่องผลงานและความสำเร็จในทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ขึ้นมาเบื้องหน้าประชาชน
สัจจะสำคัญอย่างยิ่งยวดประการ 1 ก็คือ เมื่อท่านพูด ประชาชนเขาจะฟัง ขณะเดียวกัน เมื่อใดที่ท่านลงมือทำ
เมื่อนั้นประชาชนเขาจะเชื่อและให้ความรัก ความไว้วางใจ
“ผลงาน” จึงเป็นคำประกาศความสำเร็จมากกว่า “คำพูด”
http://www.matichon.co.th/news/147547
บทเรียน การเมือง ทำไม ประชา จึง ‘นิยม’ คำตอบอยู่ที่ ‘งาน’ ....มติชนออนไลน์ .../sao..เหลือ..noi
เป็นเพราะ “เงิน” หรือ
อาจใช่ แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วเพราะว่า “ผลงาน” และความสำเร็จที่ นายบรรหาร ศิลปอาชา และพรรคชาติไทย
ทุ่มเทและอุทิศให้กับชาวสุพรรณบุรีมากกว่า
ทั้งมิได้เป็น “ความสำเร็จ” อย่างธรรมดา
ตรงกันข้าม ความสำเร็จจากการทำงานให้ชาวสุพรรณบุรีอันเป็นบ้านเกิดยังเป็นเหมือนกระดานหกไม่เพียงแต่
แผ่บารมีไปยังจังหวัดอื่นๆ ในภาคกลาง
ยังทำให้ชื่อของ นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นที่ต้องตา ต้องใจ
ต้องตา ต้องใจ กระทั่งได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการและเป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยในที่สุด
ไต่เต้าจากนักการเมือง “บ้านนอก” จนได้เป็น “นายกรัฐมนตรี”
ส่วนหนึ่งของอำนาจ วาสนา และบารมี อาจมีพื้นฐานมาจากความมั่งคั่งในทาง “เศรษฐกิจ” แต่ก็ต้องยอมรับว่า
นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นคน “มีของ”
คำว่า “ของ” นั่นแหละคือเม็ดแห่ง “ผลงาน”
ไม่ว่านักการเมือง ไม่ว่าพรรคการเมือง ต่างเอ่ยอ้างถึงผลงานและความสำเร็จมาเป็นเครื่องต่อยอดในท่ามกลาง
การเคลื่อนไหว การต่อสู้
พรรคประชาธิปัตย์ก็อ้าง “ผลงาน”
พรรคภูมิใจไทยก็อ้าง “ผลงาน” พรรคชาติไทยพัฒนาก็อ้าง “ผลงาน” พรรคชาติพัฒนาก็อ้าง “ผลงาน”
พรรคพลังชลก็อ้าง “ผลงาน”
ถามว่าอะไรคือปัจจัยชี้ขาด “ความสำเร็จ” อย่างเป็นจริง
คำตอบไม่อ้อมค้อม ตรงไปตรงมา นั่นก็คือ ที่อ้างว่าเป็น “ผลงาน” ที่อ้างว่าเป็น “ความสำเร็จ”
ได้รับการยอมรับและเห็นชอบจาก “ประชาชน” หรือไม่
เหมือนกับที่ชาวสุพรรณบุรีให้กับ นายบรรหาร ศิลปอาชา
เหมือนกับที่ชาวชลบุรีให้กับคนในตระกูล “กำนันเป๊าะ” เหมือนกับที่ชาวสระแก้วให้กับคนในตระกูล “เทียนทอง”
หาก “ชาวบ้าน” ไม่รัก ไม่ให้ความนับถือ ก็ย่อมจะไม่เลือก ไม่ลงคะแนนให้
ที่กล่าวกันว่า “ประชาธิปไตย” คือ อำนาจเป็นของประชาชน หรือประชาชนเป็นใหญ่ ก็อยู่ตรงนี้ตรงที่ประชาชนจะแสดงอำนาจเมื่อเดินเข้าคูหากาบัตรว่าจะเลือกใคร เลือกพรรคการเมืองใด
ให้เป็นผู้แทนของพวกเขา
เสียงของ “ประชาชน” จึงมีบทบาทและทรง “ความหมาย”
ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับการเลือกตั้งภายหลังการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 อันเรียกกันว่า
เป็นรัฐธรรมนูญ “ฉบับประชาชน” เป็นต้นมา
ทำไมพรรคประชาธิปัตย์จึงพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง
ไม่เพียงแต่พ่ายแพ้ต่อพรรคชาติไทยของ นายบรรหาร ศิลปอาชา เมื่อปี 2539 ไม่เพียงแต่พ่ายแพ้ต่อ
พรรคความหวังใหม่ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อปี 2540
หากแต่ยังพ่ายแพ้ต่อพรรคไทยรักไทย เมื่อปี 2544
อาจสรุปได้ว่า นับแต่การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2539 เป็นต้นมา
พรรคประชาธิปัตย์ก็ผูกขาดความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง
แพ้ต่อพรรคการเมือง “ละอ่อน” อย่างพรรคไทยรักไทย
ไม่ว่าจะ นายชวน หลีกภัย เป็นหัวหน้าพรรค ไม่ว่าจะ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค
ไม่ว่าจะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค
แพ้เพราะ “เงิน” อย่างนั้นหรือ
อาจใช่ แต่สถานการณ์หลังรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เริ่มน่าสงสัยว่า ความพ่ายแพ้
ในการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2550 และความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554
อาจมิใช่เพราะปัจจัยในเรื่อง “เงิน” เท่านั้น
หากที่สำคัญเป็นอย่างมากน่าจะแพ้เพราะ “ผลงาน” มากกว่า
นั่นก็คือ ประชาชนวางใจ “ผลงาน” พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชาชน มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์
เมื่อเอ่ยอ้างในเรื่องผลงานและความสำเร็จในทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ขึ้นมาเบื้องหน้าประชาชน
สัจจะสำคัญอย่างยิ่งยวดประการ 1 ก็คือ เมื่อท่านพูด ประชาชนเขาจะฟัง ขณะเดียวกัน เมื่อใดที่ท่านลงมือทำ
เมื่อนั้นประชาชนเขาจะเชื่อและให้ความรัก ความไว้วางใจ
“ผลงาน” จึงเป็นคำประกาศความสำเร็จมากกว่า “คำพูด”
http://www.matichon.co.th/news/147547