ผมกำลังประสบปัญหากับเคสของลูกความกรณีหนึ่ง ซึ่งยอมรับตรงนี้เลยครับว่า เป็นเคสที่ค่อนข้างสะเทือนใจและขัดต่อความรู้สึกของคนทั่วไปมาก และยังอุบาทว์มากด้วย!
แต่ในเมื่อเขามีความทุกข์ร้อนทางกฎหมายมาปรึกษา ผมในฐานะทนายความก็ต้องพยายามหาทางออกให้ดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัดที่มีอยู่ให้แก่ลูกความตามหน้าที่
เรื่องมีอยู่ว่าลูกความของผมคู่หนึ่ง เป็นชายหญิงและเป็นพ่อลูกกันแท้ๆ ฝ่ายชายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว ภรรยาจริงๆ ตามกฎหมาย ได้เสียชีวิตไปตั้งแต่ตอนคลอดลูกสาวแล้ว เขาจึงเลี้ยงดูลูกสาวแท้ๆ มาด้วยตัวคนเดียว และด้วยความที่พ่อมีลูกเร็ว เนื่องมาจากทางบ้านพ่อค่อนข้างมีฐานะ บ้านเขาก็เลยคลุมถุงชนกับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่วัยใกล้เคียงกันแล้วบ้านก็รวยพอๆ กัน แล้วก็ให้จดทะเบียนกันเลย ช่องว่างระหว่างวัยของพ่อลูกคู่นี้จึงห่างกันเพียงแค่สิบกว่าปีไม่ถึงยี่สิบเท่านั้น ความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างพ่อกับลูก จึงพัฒนาไปในทิศทางที่ผิดแปลก
จนกระทั่งลูกสาวอายุ 23 ปี เรียนจบปริญญาตรีแล้ว ทั้งคู่ก็ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งฉันชู้สาวกัน! โดย
เป็นการสมยอมทั้งสองฝ่าย
และไม่มีการข่มขืนใจใดๆ ทั้งสิ้น
และ พ่อกับลูกสาวของตัวเองซึ่งเป็นบุตรในสมรส ก็ได้เริ่มต้นความสัมพันธ์และอยู่ในสถานะผัวเมียกัน ทั้งๆ ที่เป็นพ่อลูกกันแท้ๆ นับแต่นั้นเป็นต้นมา!
ทั้งคู่ใช้ชีวิตภายนอกเหมือนพ่อลูกกันปกติ แต่ภายในครอบครัว สถานะของพวกเขากลับกลายเป็นสามีภรรยาในทันที
กระทั่งปัญหาเกิดขึ้น เมื่อลูกสาวตั้งครรภ์กับพ่อแท้ๆ ของตัวเอง ซึ่งเป็นเด็กที่เกิดจากความรักจากคำอ้างของพวกเขา ไม่ได้เกิดจากการบังคับขืนใจใดๆ นะครับ
และพวกเขาตัดสินใจที่จะเก็บเด็กไว้ และปล่อยให้กำเนิดออกมา
ยังโชคดีที่เด็กทารกมีความสมบูรณ์แข็งแรงดี ไม่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม
และเนื่องจากบ้านน่ะเขามีฐานะรวยพอสมควรเลย มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะตรวจโรคพันธุกรรมของทารกในครรภ์อะไรจิปาถะนั่นแหละครับ
โดยเขาอ้างว่า เขาตรวจกันมาหมดแล้ว ปลอดภัย เขาเลยปล่อยให้ทารกกำเนิดมาได้ ซึ่งตรงนี้ก็กังวลว่ามันจะไปเป็นผลในอนาคตของเด็กถ้าโตขึ้น
ประเด็นในข้อกฎหมายที่เป็นทางตันอยู่ตอนนี้คือ เมื่อเด็กคลอดออกมาแล้ว ฝ่ายหญิงย่อมมีสถานะเป็นแม่ที่ชอบด้วยกฎหมายทันที แต่ทางฝ่ายพ่อ (ซึ่งมีศักดิ์เป็นตาของเด็กด้วยนั้น) ต้องการให้ระบุชื่อตนเองเป็นบิดาในสูติบัตร เพื่อสิทธิ์สวัสดิการต่างๆ ที่เด็กพึงมี รวมไปถึงทรัพย์สมบัติทั้งในไทยและที่อเมริกา แต่ทางโรงพยาบาลปฏิเสธที่จะดำเนินการแจ้งให้
ต่อมาเมื่อจะไปดำเนินการจดทะเบียนรับรองบุตรที่ที่ว่าการอำเภอ ทางนายทะเบียนก็ปฏิเสธคำร้องเช่นกัน โดยให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรมร้ายแรง ตนดำเนินการให้ไม่ได้ เพราะสถานะของคุณพ่อกับลูกสาว คือ เป็นพ่อลูกกันและเป็นบุตรในสมรสของคุณพ่อด้วย คุณตาจะมาเป็นพ่อของหลานไม่ได้ อันนี้ผมเห็นด้วยเลย
ผมก็ให้คำแนะนำไปว่า ในทางกฎหมายแพ่ง ทั้งคู่ไม่สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้ เนื่องจากเป็นบุพการีและผู้สืบสันดานโดยตรง
แต่ปัญหาคือพ่อเด็กๆ ต้องการจะจดทะเบียนรับรองบุตรเพื่อแสดงสิทธิ์ความเป็นพ่อที่แท้ทรู
แต่ติดขัดที่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมรับรองให้ เนื่องจากสถานะที่ทับซ้อนกันระหว่างความเป็นพ่อและเป็นตาแท้ๆ นั่นแหละครับถึงได้มาปรึกษาผม โดยเป็นการศึกษาเฉยๆ นะ ยังไม่ได้เซ็นสัญญาว่าจ้างแต่งตั้งทนายความใดๆ
ตอนนี้ผมค่อนข้างมืดแปดด้าน เพราะลูกความยืนกรานว่า ไม่อยากขึ้นศาล เนื่องจากเกรงว่าเรื่องราวความสัมพันธ์ในครอบครัวจะเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์และในหน้าสื่อสารมวลชน และในขณะที่ผมเอามาเล่าผมก็พยายามเล่าแบบกว้างๆ เลยโดยที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้เลย ว่าลูกความเคสนี้เป็นใคร ดังนั้นจึงไม่มีความผิดใดๆ นะครับ ต้องบอกก่อน
นอกเสียจากว่าอ่านแล้วคุณเดาออก หรือคุณรู้ว่าเขาเป็นใคร แบบนี้ผมถึงจะมีความผิด
แต่เคสนี้ผมเล่าแบบที่ไม่เจาะจงตัวบุคคล
ไม่ได้แขวนรูป หรือ ขึ้นชื่อนามสกุล และไม่ได้มีการบ่งบอกพื้นที่จังหวัดด้วยซ้ำ ซึ่งมันอาจจะเป็นใครก็ได้ในโลกใบนี้
และที่ปัญหามันเกิดขึ้นเนี่ย เพราะคุณตาต้องการจะเป็นพ่อที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วยตนเองเท่านั้น
จนปัจจุบัน เด็กทารกอายุหกเดือนแล้ว แต่ยังไม่มีชื่อบิดาในเอกสารราชการเลย
จึงอยากขอคำแนะนำจากผู้รู้ หรือเพื่อนร่วมวิชาชีพว่า ควรจะแนะนำไปยังไง หรือแนวทางปฏิบัติใดบ้าง ที่จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์นี้ได้
เพราะกรณีศึกษาจากข่าวต่างๆ มักจะมีแต่เคสการกระทำชำเราที่จบลงด้วยการยุติการตั้งครรภ์ทั้งสิ้น
แต่ไม่เคยเจอเคสที่เลี้ยงดูกันมาจนถึงขั้นจะจดทะเบียนรับรองบุตรแบบนี้ครับ
มีลูกความมาขอความช่วยเหลือ คือ ลูกสาวกับพ่อรักกันฉันชู้สาวจนมีสัมพันธ์แล้วท้อง คลอดลูกออกมาคุณตาต้องการเป็นพ่อทางนิตินัย
แต่ในเมื่อเขามีความทุกข์ร้อนทางกฎหมายมาปรึกษา ผมในฐานะทนายความก็ต้องพยายามหาทางออกให้ดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัดที่มีอยู่ให้แก่ลูกความตามหน้าที่
เรื่องมีอยู่ว่าลูกความของผมคู่หนึ่ง เป็นชายหญิงและเป็นพ่อลูกกันแท้ๆ ฝ่ายชายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว ภรรยาจริงๆ ตามกฎหมาย ได้เสียชีวิตไปตั้งแต่ตอนคลอดลูกสาวแล้ว เขาจึงเลี้ยงดูลูกสาวแท้ๆ มาด้วยตัวคนเดียว และด้วยความที่พ่อมีลูกเร็ว เนื่องมาจากทางบ้านพ่อค่อนข้างมีฐานะ บ้านเขาก็เลยคลุมถุงชนกับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่วัยใกล้เคียงกันแล้วบ้านก็รวยพอๆ กัน แล้วก็ให้จดทะเบียนกันเลย ช่องว่างระหว่างวัยของพ่อลูกคู่นี้จึงห่างกันเพียงแค่สิบกว่าปีไม่ถึงยี่สิบเท่านั้น ความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างพ่อกับลูก จึงพัฒนาไปในทิศทางที่ผิดแปลก
จนกระทั่งลูกสาวอายุ 23 ปี เรียนจบปริญญาตรีแล้ว ทั้งคู่ก็ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งฉันชู้สาวกัน! โดย
เป็นการสมยอมทั้งสองฝ่าย
และไม่มีการข่มขืนใจใดๆ ทั้งสิ้น
และ พ่อกับลูกสาวของตัวเองซึ่งเป็นบุตรในสมรส ก็ได้เริ่มต้นความสัมพันธ์และอยู่ในสถานะผัวเมียกัน ทั้งๆ ที่เป็นพ่อลูกกันแท้ๆ นับแต่นั้นเป็นต้นมา!
ทั้งคู่ใช้ชีวิตภายนอกเหมือนพ่อลูกกันปกติ แต่ภายในครอบครัว สถานะของพวกเขากลับกลายเป็นสามีภรรยาในทันที
กระทั่งปัญหาเกิดขึ้น เมื่อลูกสาวตั้งครรภ์กับพ่อแท้ๆ ของตัวเอง ซึ่งเป็นเด็กที่เกิดจากความรักจากคำอ้างของพวกเขา ไม่ได้เกิดจากการบังคับขืนใจใดๆ นะครับ
และพวกเขาตัดสินใจที่จะเก็บเด็กไว้ และปล่อยให้กำเนิดออกมา
ยังโชคดีที่เด็กทารกมีความสมบูรณ์แข็งแรงดี ไม่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม
และเนื่องจากบ้านน่ะเขามีฐานะรวยพอสมควรเลย มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะตรวจโรคพันธุกรรมของทารกในครรภ์อะไรจิปาถะนั่นแหละครับ
โดยเขาอ้างว่า เขาตรวจกันมาหมดแล้ว ปลอดภัย เขาเลยปล่อยให้ทารกกำเนิดมาได้ ซึ่งตรงนี้ก็กังวลว่ามันจะไปเป็นผลในอนาคตของเด็กถ้าโตขึ้น
ประเด็นในข้อกฎหมายที่เป็นทางตันอยู่ตอนนี้คือ เมื่อเด็กคลอดออกมาแล้ว ฝ่ายหญิงย่อมมีสถานะเป็นแม่ที่ชอบด้วยกฎหมายทันที แต่ทางฝ่ายพ่อ (ซึ่งมีศักดิ์เป็นตาของเด็กด้วยนั้น) ต้องการให้ระบุชื่อตนเองเป็นบิดาในสูติบัตร เพื่อสิทธิ์สวัสดิการต่างๆ ที่เด็กพึงมี รวมไปถึงทรัพย์สมบัติทั้งในไทยและที่อเมริกา แต่ทางโรงพยาบาลปฏิเสธที่จะดำเนินการแจ้งให้
ต่อมาเมื่อจะไปดำเนินการจดทะเบียนรับรองบุตรที่ที่ว่าการอำเภอ ทางนายทะเบียนก็ปฏิเสธคำร้องเช่นกัน โดยให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรมร้ายแรง ตนดำเนินการให้ไม่ได้ เพราะสถานะของคุณพ่อกับลูกสาว คือ เป็นพ่อลูกกันและเป็นบุตรในสมรสของคุณพ่อด้วย คุณตาจะมาเป็นพ่อของหลานไม่ได้ อันนี้ผมเห็นด้วยเลย
ผมก็ให้คำแนะนำไปว่า ในทางกฎหมายแพ่ง ทั้งคู่ไม่สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้ เนื่องจากเป็นบุพการีและผู้สืบสันดานโดยตรง
แต่ปัญหาคือพ่อเด็กๆ ต้องการจะจดทะเบียนรับรองบุตรเพื่อแสดงสิทธิ์ความเป็นพ่อที่แท้ทรู
แต่ติดขัดที่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมรับรองให้ เนื่องจากสถานะที่ทับซ้อนกันระหว่างความเป็นพ่อและเป็นตาแท้ๆ นั่นแหละครับถึงได้มาปรึกษาผม โดยเป็นการศึกษาเฉยๆ นะ ยังไม่ได้เซ็นสัญญาว่าจ้างแต่งตั้งทนายความใดๆ
ตอนนี้ผมค่อนข้างมืดแปดด้าน เพราะลูกความยืนกรานว่า ไม่อยากขึ้นศาล เนื่องจากเกรงว่าเรื่องราวความสัมพันธ์ในครอบครัวจะเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์และในหน้าสื่อสารมวลชน และในขณะที่ผมเอามาเล่าผมก็พยายามเล่าแบบกว้างๆ เลยโดยที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้เลย ว่าลูกความเคสนี้เป็นใคร ดังนั้นจึงไม่มีความผิดใดๆ นะครับ ต้องบอกก่อน
นอกเสียจากว่าอ่านแล้วคุณเดาออก หรือคุณรู้ว่าเขาเป็นใคร แบบนี้ผมถึงจะมีความผิด
แต่เคสนี้ผมเล่าแบบที่ไม่เจาะจงตัวบุคคล
ไม่ได้แขวนรูป หรือ ขึ้นชื่อนามสกุล และไม่ได้มีการบ่งบอกพื้นที่จังหวัดด้วยซ้ำ ซึ่งมันอาจจะเป็นใครก็ได้ในโลกใบนี้
และที่ปัญหามันเกิดขึ้นเนี่ย เพราะคุณตาต้องการจะเป็นพ่อที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วยตนเองเท่านั้น
จนปัจจุบัน เด็กทารกอายุหกเดือนแล้ว แต่ยังไม่มีชื่อบิดาในเอกสารราชการเลย
จึงอยากขอคำแนะนำจากผู้รู้ หรือเพื่อนร่วมวิชาชีพว่า ควรจะแนะนำไปยังไง หรือแนวทางปฏิบัติใดบ้าง ที่จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์นี้ได้
เพราะกรณีศึกษาจากข่าวต่างๆ มักจะมีแต่เคสการกระทำชำเราที่จบลงด้วยการยุติการตั้งครรภ์ทั้งสิ้น
แต่ไม่เคยเจอเคสที่เลี้ยงดูกันมาจนถึงขั้นจะจดทะเบียนรับรองบุตรแบบนี้ครับ