หน้าแรก
คอมมูนิตี้
แท็ก
คลับ
เลือกห้อง
ดูเพิ่มเติม
รวมมิตร
สินธร
รัชดา
ชายคา
ซิลิคอนวัลเลย์
มาบุญครอง
เฉลิมไทย
ดิโอลด์สยาม
กล้อง
พันทิป
ภูมิภาค
แก็ดเจ็ต
แกลเลอรี่
กรีนโซน
โต๊ะเครื่องแป้ง
บางขุนพรหม
ศุภชลาศัย
ก้นครัว
ไกลบ้าน
จตุจักร
เฉลิมกรุง
ชานเรือน
ถนนนักเขียน
บลูแพลนเน็ต
ราชดำเนิน
ศาลาประชาคม
ศาสนา
สยามสแควร์
สวนลุมพินี
สีลม
หว้ากอ
ห้องสมุด
หอศิลป์
การ์ตูน
บางรัก
พรหมชาติ
กรุงโซล
ไร้สังกัด
กิจกรรม
แลกพอยต์
อื่นๆ
ตั้งกระทู้
เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก
เว็บไซต์ในเครือ
Bloggang
Pantown
PantipMarket
Maggang
ติดตามพันทิป
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้
เกี่ยวกับเรา
กฎ กติกา และมารยาท
คำแนะนำการโพสต์แสดงความเห็น
นโยบายเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
สิทธิ์การใช้งานของสมาชิก
ติดต่อทีมงาน Pantip
ติดต่อลงโฆษณา
ร่วมงานกับ Pantip
Download App Pantip
Pantip Certified Developer
[CR] บันทึกการเดินทางของสาวใหญ่ ซีอาน(จีน)>ลาซา(ทิเบต)>กาฏมัณฑุ(เนปาล) -- ตอน 4
กระทู้รีวิว
รถไฟ
เที่ยวภูเขา
บันทึกนักเดินทาง
เที่ยวต่างประเทศ
Backpack
ออกจากบริเวณ EBC แล้วเราก็มุ่งหน้าสู่ชายแดนเนปาลตามแพลน รถวิ่งไปตามถนนที่เรียกว่าอยู่บนหลังคาโลกของจริง บนนั้นเราได้เห็นยอดเขาต่างๆ ที่รู้สึกแปลกกว่าทุกครั้งคือ ตำแหน่งที่เรายืนอยู่กับยอดตรงนั้น มันแทบจะเรียกว่าอยู่ระดับเดียวกันเลย
วิวระหว่างทางสวยงามเหมือนอยู่บนสวรรค์ แต่ลมแรงและเย็นบาดหูหลุดมาก น้ำแข็งที่เห็นทั่วๆไปตามทางก่อรูปได้เป็นรูปร่างสวยแปลกตา
และเราก็มาถึง Tong La pass อยู่ที่ระดับ 5120 เมตรจากระดับน้ำทะเล ที่ๆเราได้วิวพาโนราม่าของเทือกเขาหิมาลัยในระยะเอื้อมมือถึงได้
ตามถนน ข้างทาง ในรถ ในร้านอาหาร ทุกๆที่ จะได้ยินแต่เสียงพึมพำๆตลอด ปรากฏว่านั่นคือเสียงสวดมนต์ภาวนา ไกด์เชดอร์ของเราก็เช่นกัน แกนั่งสวดพึมพำตลอดหลายวันของการเดินทางไกล แกสวดเพื่อให้ทุกคนปลอดภัย แกบอกว่าการที่คนทิเบตสวดมนต์ก็เพื่อขอให้ทุกคนมีความสุข เมื่อคนอื่นมีความสุข สังคมก็น่าอยู่ โลกก็จะอยู่กันอย่างสันติสุข ถึงตอนนี้แล้วจขกท.รู้สึกซาบซึ้งจิตมาก..ไม่ได้เพื่อแค่ขอให้ตัวเองดีอยู่คนเดียว
ใกล้ถึงเมือง Zhangmu แล้ว ขอลงมาพักชักภาพเป็นที่ระลึก ไกด์เชดอร์และคนขับรถคนเก่ง ขอบคุณเพื่อนตากล้องที่เสียสละถ่ายรูปนี้ให้
เมืองสุดท้ายที่ชายแดนเป็นคล้ายๆกับเมืองท่าที่เหล่ารถบรรทุกแวะจอดพักรอเข้าคิวข้ามประเทศ บ้านเมืองสร้างอยู่ตามถนนรอบหุบเขาสูงอีกที มันดูหวาดเสียวเหมือนกันนะเวลาที่เรามองลงไปว่าถนนมันอยู่กลางเหวสูงแค่ไหน ตอนจขกท.ไปปีนั้นยังไม่เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ คิดว่าบริเวณนี้น่าจะได้รับผลกระทบใหญ่หลวงแน่นอน เราพักกันที่นี่ 1 คืน เพื่อตอนเช้ารุ่งขึ้นจะได้เข้าไปเนปาล ใกล้ถึงเวลาจากไกด์เชดอขวัญใจของเราแล้ว
ตอนเช้ามาเข้าคิวที่หน้าด่าน รอ Immigration เปิด ไกด์เชดอร์ยังอยู่รอชี้แจงเรื่องเอกสารนู่นนี่ให้ แกข้ามออกมาเป็นเพื่อนพวกเราด้วยเพื่อรอส่งช่วงต่อให้กับไกด์ทางฝั่งเนปาลมารับ เมื่อเรียบร้อยดีแล้วก็ถึงเวลาบ๊ายบาย ตั้งใจว่าถ้าคราวหน้ากลับไปทิเบตอีก ก็จะให้แกพาไปเดินบำเพ็ญเพียรรอบเขาไกรลาสกัน
ข้ามมาเนปาลคือเมืองโคดาริ ก็เจอความสับสนวุ่นวายที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน เริ่มตั้งแต่ความวุ่นวายที่ Immigration ฝั่งเนปาลที่เราต้องมากรอกเอกสารทำเรื่อง Visa on arrival คือไม่รู้ว่าแถวไหนมันอยู่ไหน จะต้องยื่นกับเจ้าหน้าที่คนไหน คืองง 555
พอออกมาได้ ก้อนั่งรถโฟร์วีล ลัดเลาะตามไล่เขาสูงเหมือนเดิม แต่หวาดเสียวกว่าฝั่งจีนมากกก เพราะเป็นถนนดินทั้งนั้น กันดารและเด้งไปเด้งมา บางช่วงถนนขาด รถสวนได้ทางเดียว แบ่งกันไป ท่องพ่อแก้วแม่แก้วเป็นเวลาหลายชั่วโมงตลอดทาง ขอแนะนำเลยว่าใครจะเดินทางเข้าเนปาลทางด้านนี้ไม่ควรมาช่วงหน้าฝน เพราะเสี่ยงเขาและดินถล่มตลอดทาง คนขับรถบอกว่า ก่อนหน้าเราไปไม่นาน เกิดดินถล่มครั้งใหญ่บนถนนเส้นนี้ บ้านพังลงมาเป็นแถบ คร่าชีวิตชาวบ้านไปเพียบ นี่เขาเพิ่งเปิดเส้นทางขึ้นใหม่ได้ไม่นาน
คุยกันไปมากับน้องคนขับ เลยทำให้รู้ว่าชาวเนปาลชอบจาพนมมาก ดังแรงและเป็นไอดอลของทุกคน พอเริ่มคุยถูกคอกันขุ่นน้องเลยบอกขอแวะกลางทางหน่อยนะ เพื่อนเปิดร้านอยู่ตรงนี้ เราก็เอ้อ เอ้า ได้ แวะก้อแวะ ร้านก็ใหม่ยังไม่ค่อยมีอะไรหรอก แต่ก็มีเครื่องดื่มแก้กระหาย เรายังไม่ได้ทำการแลกเงินอะไรเลย โกยเงินเท่าที่มีทั้งหมดสามคนเอามารวมกันแล้วเลยได้สิ่งนี้มา นับว่าคุ้ม (ตอนอยู่ในทิเบตไม่กล้าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์อะไรทั้งสิ้น กลัวได้ลงกล่องกลับบ้าน)
ตัดภาพมาที่กาฏมัณฑุเลยละกัน ในแพกเกจของเรารวมที่พัก 1 คืนในกาฎมัณฑุด้วย (เฉพาะที่พักเท่านั้นไม่รวมสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ เพราะเราคิดว่าไปไหนมาไหนเองไม่ลำบาก) ที่พักอยู่ในย่านทาเมลแหล่งนักท่องเที่ยว ห้องพักพออยู่ได้ มีน้ำอุ่น แอร์ ผ้าห่ม ที่นอน ก็สลบได้ทันที
เราออกมาเดินเล่น ตามที่ๆนักท่องเที่ยวควรจะไป ที่จริงเป็นการดีที่เราได้มาพักที่เนปาลก่อนกลับกรุงเทพ เป็นการเตรียมตัวเตรียมใจก่อนเจอสภาพความวุ่นวายในชีวิตแบบเมืองหลวง มันรู้สึกเหมือนตกสวรรค์อยู่นะ 555 เนปาลก็ดีงามในแบบของเขา วุ่นๆขวักไขว่ ฝุ่นเยอะๆ แท๊กซี่ต่อรองคุยกันได้ ไม่ใจร้าย มันให้ความสนุกสนานอีกแบบ
ไป Durbur Square รายละเอียดในสถาปัตยกรรมมีเยอะมาก ยิ่งถ้าใครได้ศึกษาได้รู้มาบ้างคงจะยิ่งสนุก
วันที่สองและสามในกาฏมันฑุ เนื่องจากหมดโปรแกรมแล้ว เราเลยย้ายไปพักที่ Tings Tea Lounge & Tings Lounge Hotel โรงแรมเล็กๆแต่เก๋ชิค คุณภาพคับ อาหารอร่อย พนักงานน่ารัก ใครไปกาฏมัณฑุขอแนะนำอย่างแรง
2 คืนที่พักที่นี่ เราเปลี่ยนห้องทั้งสองคืนเลย เพื่อเก็บให้ได้ครบทุกบรรยากาศ 555
ที่หน้าปากซอยที่พัก เป็นร้านอาหารชื่อดัง “Nepali Chulo” มีการแสดงและดนตรีพื้นเมืองใช้ชม เป็นที่นักท่องเที่ยวนิยมมากัน อารมณ์ประมาณสีลมวิลเลจอะไรอย่างนั้นอ่ะค่ะ
เด็กเสิร์ฟจำได้เลยว่าชื่อราชกุมาร แสนเฟรนด์ลี่มากไปบางที กว่าจะได้กิน Main Course นี่หลอกให้กินเหล้าจอกไปหลายกรึ๊บเลย เติมไม่หยุดนึกว่าบุฟเฟท์!
รุ่งขึ้นไปสถูป Swayambhunath สวยัมภูวนนาถ คือวัดที่มีลิงเยอะๆนั่นแหละ
หลังจากเดินชมรอบสถูปแล้วเราก็เดินมาเจอคาเฟ่หนึ่งที่อยู่ในหลืบแต่มีวิวที่ดีที่สุด “Cafe De Stub” ที่นั่งกินนั่งดื่มบนดาดฟ้า มองลงมาเห็นทั่วเมือง ปัจจุบันนี้ไม่แน่ใจว่าร้านค้าส่วนนี้ได้พังทลายลงมาหรือเปล่า T___T มานั่งนึกย้อนถึงตรงนี้ รู้สึกว่าเราโชคดีมากที่ได้เห็นสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ด้วยตาก่อนมันจะเสียหายไปจากแผ่นดินไหว 2015 ได้แต่ขอให้เนปาลฟื้นฟูสวยงามมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
วันสุดท้ายเรามาทิ้งทวนที่ Boudhanath มหาเจดีย์พุทธนาถ ไม่แคล้วหาคาเฟ่นั่งเพื่อนั่งชม นั่งซึมซับบรรยากาศ
หาของกินในร้านบ้านๆ กินอาหารพื้นเมืองซะหน่อย
เวลามักเดินเร็วขึ้นเสมอเมื่อตอนเรากำลังเพลิดเพลินมีความสุข ได้เวลาที่ต้องไปสนามบินตรีภูวันเพื่อรอขึ้น Airasia X กลับบ้านแว้ว จากกาฏมัณฑุสู่กรุงเทพ จะต้องมาต่อเครื่องที่ KL ก่อน พบว่าทั้งไฟล์ทจากกาฏมัณฑุเต็มไปด้วยหนุ่มชาวเนปาลเต็มลำ มีชาวเนปาลจำนวนมากที่มาค้าแรงงานหางานทำใน KL ตอนเดินจะขึ้นบันไดขึ้นเครื่องบิน จขกท.สังเกตเห็นแรงงานชาวเนปาลส่วนใหญ่มีผ้าคาตะสีขาวคล้องคอ สิ่งที่ประทับใจคือ ก่อนที่เขาเหล่านั้นจะก้าวพ้นแผ่นดินแม่ไป ต่างคนต่างก็ก้มลงใช้มือจูบแตะพื้นเหมือนร่ำลา แล้วค่อยก้าวขึ้นบันไดเหินฟ้าไปทำงานต่างบ้านต่างเมือง
ละทริปของเราก็จบลงเพียงเท่านี้ สิ่งที่เหลือไว้คือความทรงจำดีๆที่อยากเก็บไว้นานๆ ว่าแล้วเลยเลือกรูปไปประดับบ้าน มุมห้อง โต๊ะทำงานไว้ฝันถึงเวลาทำงานเหนื่อยๆ อิอิ
ชอบรูปนี้เป็นพิเศษ ถ่ายจาก iPhone5 ธรรมดาๆ แบบ Panorama ตอนที่อยู่ระหว่างทางบน Friendship Highway
แต่งกำแพงซะหน่อย เป็น Wall Gallery สายอาร์ตต้องทำงี้
ละฮิปเตอร์อย่างเราก็ต้องตามด้วยภาพสไตล์โพราลอยด์เกร๋ๆ
ขอบคุณ www.igoncanvas.com สำหรับบริการภาพสวยๆด้วยค่า
...และขอบคุณที่ติดตามอ่านจนบรรทัดสุดท้ายค่ะ จนกว่าเราจะพบกันใหม่ เมื่อเรามีแรงเขียนอีกน๊า
รวมลิ้งค์ให้นะคะเพื่อการติดตามง่ายขึ้น:
ตอนที่ 1
http://pantip.com/topic/34778434
ตอนที่ 2
http://pantip.com/topic/34778547
ตอนที่ 3
http://pantip.com/topic/34778732
ชื่อสินค้า:
นั่งรถไฟไปทิเบตต่อรถไปเนปาล
คะแนน:
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
▼
กำลังโหลดข้อมูล...
▼
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
รถไฟ
เที่ยวภูเขา
บันทึกนักเดินทาง
เที่ยวต่างประเทศ
Backpack
บนสุด
ล่างสุด
อ่านเฉพาะข้อความเจ้าของกระทู้
หน้า:
หน้า
จาก
แบ่งปัน :
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ยอมรับ
[CR] บันทึกการเดินทางของสาวใหญ่ ซีอาน(จีน)>ลาซา(ทิเบต)>กาฏมัณฑุ(เนปาล) -- ตอน 4
วิวระหว่างทางสวยงามเหมือนอยู่บนสวรรค์ แต่ลมแรงและเย็นบาดหูหลุดมาก น้ำแข็งที่เห็นทั่วๆไปตามทางก่อรูปได้เป็นรูปร่างสวยแปลกตา
และเราก็มาถึง Tong La pass อยู่ที่ระดับ 5120 เมตรจากระดับน้ำทะเล ที่ๆเราได้วิวพาโนราม่าของเทือกเขาหิมาลัยในระยะเอื้อมมือถึงได้
ตามถนน ข้างทาง ในรถ ในร้านอาหาร ทุกๆที่ จะได้ยินแต่เสียงพึมพำๆตลอด ปรากฏว่านั่นคือเสียงสวดมนต์ภาวนา ไกด์เชดอร์ของเราก็เช่นกัน แกนั่งสวดพึมพำตลอดหลายวันของการเดินทางไกล แกสวดเพื่อให้ทุกคนปลอดภัย แกบอกว่าการที่คนทิเบตสวดมนต์ก็เพื่อขอให้ทุกคนมีความสุข เมื่อคนอื่นมีความสุข สังคมก็น่าอยู่ โลกก็จะอยู่กันอย่างสันติสุข ถึงตอนนี้แล้วจขกท.รู้สึกซาบซึ้งจิตมาก..ไม่ได้เพื่อแค่ขอให้ตัวเองดีอยู่คนเดียว
ใกล้ถึงเมือง Zhangmu แล้ว ขอลงมาพักชักภาพเป็นที่ระลึก ไกด์เชดอร์และคนขับรถคนเก่ง ขอบคุณเพื่อนตากล้องที่เสียสละถ่ายรูปนี้ให้
เมืองสุดท้ายที่ชายแดนเป็นคล้ายๆกับเมืองท่าที่เหล่ารถบรรทุกแวะจอดพักรอเข้าคิวข้ามประเทศ บ้านเมืองสร้างอยู่ตามถนนรอบหุบเขาสูงอีกที มันดูหวาดเสียวเหมือนกันนะเวลาที่เรามองลงไปว่าถนนมันอยู่กลางเหวสูงแค่ไหน ตอนจขกท.ไปปีนั้นยังไม่เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ คิดว่าบริเวณนี้น่าจะได้รับผลกระทบใหญ่หลวงแน่นอน เราพักกันที่นี่ 1 คืน เพื่อตอนเช้ารุ่งขึ้นจะได้เข้าไปเนปาล ใกล้ถึงเวลาจากไกด์เชดอขวัญใจของเราแล้ว
ตอนเช้ามาเข้าคิวที่หน้าด่าน รอ Immigration เปิด ไกด์เชดอร์ยังอยู่รอชี้แจงเรื่องเอกสารนู่นนี่ให้ แกข้ามออกมาเป็นเพื่อนพวกเราด้วยเพื่อรอส่งช่วงต่อให้กับไกด์ทางฝั่งเนปาลมารับ เมื่อเรียบร้อยดีแล้วก็ถึงเวลาบ๊ายบาย ตั้งใจว่าถ้าคราวหน้ากลับไปทิเบตอีก ก็จะให้แกพาไปเดินบำเพ็ญเพียรรอบเขาไกรลาสกัน
ข้ามมาเนปาลคือเมืองโคดาริ ก็เจอความสับสนวุ่นวายที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน เริ่มตั้งแต่ความวุ่นวายที่ Immigration ฝั่งเนปาลที่เราต้องมากรอกเอกสารทำเรื่อง Visa on arrival คือไม่รู้ว่าแถวไหนมันอยู่ไหน จะต้องยื่นกับเจ้าหน้าที่คนไหน คืองง 555
พอออกมาได้ ก้อนั่งรถโฟร์วีล ลัดเลาะตามไล่เขาสูงเหมือนเดิม แต่หวาดเสียวกว่าฝั่งจีนมากกก เพราะเป็นถนนดินทั้งนั้น กันดารและเด้งไปเด้งมา บางช่วงถนนขาด รถสวนได้ทางเดียว แบ่งกันไป ท่องพ่อแก้วแม่แก้วเป็นเวลาหลายชั่วโมงตลอดทาง ขอแนะนำเลยว่าใครจะเดินทางเข้าเนปาลทางด้านนี้ไม่ควรมาช่วงหน้าฝน เพราะเสี่ยงเขาและดินถล่มตลอดทาง คนขับรถบอกว่า ก่อนหน้าเราไปไม่นาน เกิดดินถล่มครั้งใหญ่บนถนนเส้นนี้ บ้านพังลงมาเป็นแถบ คร่าชีวิตชาวบ้านไปเพียบ นี่เขาเพิ่งเปิดเส้นทางขึ้นใหม่ได้ไม่นาน
คุยกันไปมากับน้องคนขับ เลยทำให้รู้ว่าชาวเนปาลชอบจาพนมมาก ดังแรงและเป็นไอดอลของทุกคน พอเริ่มคุยถูกคอกันขุ่นน้องเลยบอกขอแวะกลางทางหน่อยนะ เพื่อนเปิดร้านอยู่ตรงนี้ เราก็เอ้อ เอ้า ได้ แวะก้อแวะ ร้านก็ใหม่ยังไม่ค่อยมีอะไรหรอก แต่ก็มีเครื่องดื่มแก้กระหาย เรายังไม่ได้ทำการแลกเงินอะไรเลย โกยเงินเท่าที่มีทั้งหมดสามคนเอามารวมกันแล้วเลยได้สิ่งนี้มา นับว่าคุ้ม (ตอนอยู่ในทิเบตไม่กล้าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์อะไรทั้งสิ้น กลัวได้ลงกล่องกลับบ้าน)
ตัดภาพมาที่กาฏมัณฑุเลยละกัน ในแพกเกจของเรารวมที่พัก 1 คืนในกาฎมัณฑุด้วย (เฉพาะที่พักเท่านั้นไม่รวมสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ เพราะเราคิดว่าไปไหนมาไหนเองไม่ลำบาก) ที่พักอยู่ในย่านทาเมลแหล่งนักท่องเที่ยว ห้องพักพออยู่ได้ มีน้ำอุ่น แอร์ ผ้าห่ม ที่นอน ก็สลบได้ทันที
เราออกมาเดินเล่น ตามที่ๆนักท่องเที่ยวควรจะไป ที่จริงเป็นการดีที่เราได้มาพักที่เนปาลก่อนกลับกรุงเทพ เป็นการเตรียมตัวเตรียมใจก่อนเจอสภาพความวุ่นวายในชีวิตแบบเมืองหลวง มันรู้สึกเหมือนตกสวรรค์อยู่นะ 555 เนปาลก็ดีงามในแบบของเขา วุ่นๆขวักไขว่ ฝุ่นเยอะๆ แท๊กซี่ต่อรองคุยกันได้ ไม่ใจร้าย มันให้ความสนุกสนานอีกแบบ
ไป Durbur Square รายละเอียดในสถาปัตยกรรมมีเยอะมาก ยิ่งถ้าใครได้ศึกษาได้รู้มาบ้างคงจะยิ่งสนุก
วันที่สองและสามในกาฏมันฑุ เนื่องจากหมดโปรแกรมแล้ว เราเลยย้ายไปพักที่ Tings Tea Lounge & Tings Lounge Hotel โรงแรมเล็กๆแต่เก๋ชิค คุณภาพคับ อาหารอร่อย พนักงานน่ารัก ใครไปกาฏมัณฑุขอแนะนำอย่างแรง
2 คืนที่พักที่นี่ เราเปลี่ยนห้องทั้งสองคืนเลย เพื่อเก็บให้ได้ครบทุกบรรยากาศ 555
ที่หน้าปากซอยที่พัก เป็นร้านอาหารชื่อดัง “Nepali Chulo” มีการแสดงและดนตรีพื้นเมืองใช้ชม เป็นที่นักท่องเที่ยวนิยมมากัน อารมณ์ประมาณสีลมวิลเลจอะไรอย่างนั้นอ่ะค่ะ
เด็กเสิร์ฟจำได้เลยว่าชื่อราชกุมาร แสนเฟรนด์ลี่มากไปบางที กว่าจะได้กิน Main Course นี่หลอกให้กินเหล้าจอกไปหลายกรึ๊บเลย เติมไม่หยุดนึกว่าบุฟเฟท์!
รุ่งขึ้นไปสถูป Swayambhunath สวยัมภูวนนาถ คือวัดที่มีลิงเยอะๆนั่นแหละ
หลังจากเดินชมรอบสถูปแล้วเราก็เดินมาเจอคาเฟ่หนึ่งที่อยู่ในหลืบแต่มีวิวที่ดีที่สุด “Cafe De Stub” ที่นั่งกินนั่งดื่มบนดาดฟ้า มองลงมาเห็นทั่วเมือง ปัจจุบันนี้ไม่แน่ใจว่าร้านค้าส่วนนี้ได้พังทลายลงมาหรือเปล่า T___T มานั่งนึกย้อนถึงตรงนี้ รู้สึกว่าเราโชคดีมากที่ได้เห็นสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ด้วยตาก่อนมันจะเสียหายไปจากแผ่นดินไหว 2015 ได้แต่ขอให้เนปาลฟื้นฟูสวยงามมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
วันสุดท้ายเรามาทิ้งทวนที่ Boudhanath มหาเจดีย์พุทธนาถ ไม่แคล้วหาคาเฟ่นั่งเพื่อนั่งชม นั่งซึมซับบรรยากาศ
หาของกินในร้านบ้านๆ กินอาหารพื้นเมืองซะหน่อย
เวลามักเดินเร็วขึ้นเสมอเมื่อตอนเรากำลังเพลิดเพลินมีความสุข ได้เวลาที่ต้องไปสนามบินตรีภูวันเพื่อรอขึ้น Airasia X กลับบ้านแว้ว จากกาฏมัณฑุสู่กรุงเทพ จะต้องมาต่อเครื่องที่ KL ก่อน พบว่าทั้งไฟล์ทจากกาฏมัณฑุเต็มไปด้วยหนุ่มชาวเนปาลเต็มลำ มีชาวเนปาลจำนวนมากที่มาค้าแรงงานหางานทำใน KL ตอนเดินจะขึ้นบันไดขึ้นเครื่องบิน จขกท.สังเกตเห็นแรงงานชาวเนปาลส่วนใหญ่มีผ้าคาตะสีขาวคล้องคอ สิ่งที่ประทับใจคือ ก่อนที่เขาเหล่านั้นจะก้าวพ้นแผ่นดินแม่ไป ต่างคนต่างก็ก้มลงใช้มือจูบแตะพื้นเหมือนร่ำลา แล้วค่อยก้าวขึ้นบันไดเหินฟ้าไปทำงานต่างบ้านต่างเมือง
ละทริปของเราก็จบลงเพียงเท่านี้ สิ่งที่เหลือไว้คือความทรงจำดีๆที่อยากเก็บไว้นานๆ ว่าแล้วเลยเลือกรูปไปประดับบ้าน มุมห้อง โต๊ะทำงานไว้ฝันถึงเวลาทำงานเหนื่อยๆ อิอิ
ชอบรูปนี้เป็นพิเศษ ถ่ายจาก iPhone5 ธรรมดาๆ แบบ Panorama ตอนที่อยู่ระหว่างทางบน Friendship Highway
แต่งกำแพงซะหน่อย เป็น Wall Gallery สายอาร์ตต้องทำงี้
ละฮิปเตอร์อย่างเราก็ต้องตามด้วยภาพสไตล์โพราลอยด์เกร๋ๆ
ขอบคุณ www.igoncanvas.com สำหรับบริการภาพสวยๆด้วยค่า
...และขอบคุณที่ติดตามอ่านจนบรรทัดสุดท้ายค่ะ จนกว่าเราจะพบกันใหม่ เมื่อเรามีแรงเขียนอีกน๊า
รวมลิ้งค์ให้นะคะเพื่อการติดตามง่ายขึ้น:
ตอนที่ 1 http://pantip.com/topic/34778434
ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/34778547
ตอนที่ 3 http://pantip.com/topic/34778732