[CR] บันทึกการเดินทางของสาวใหญ่ ซีอาน(จีน)>ลาซา(ทิเบต)>กาฏมัณฑุ(เนปาล) -- ตอน 3

เริ่มออกจากลาซาแต่เช้า เพลินเพลินกับวิวข้างทางและหวาดเสียวไปพร้อมกัน เราเดินทางมาจอดที่จุดแวะพักหนึ่งมีเจ้าของหมาพันธุ์ Tibetan mastiff นำหมาออกมาให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป และมีลูกแพะด้วย! เอามากอดถ่ายรูปแล้วอุ่นมากๆเลยจริงๆ อยากเอาติดรถไปกอดด้วยสุดๆ


แล้วเราก็ถึงทะเลสาบ Yamdrok ที่สีสวยงามดูสงบอย่างกับภาพวาด คงไม่ต้องมีคำบรรยายมาก


มีฝรั่งลงว่ายน้ำในทะเลสาบด้วย ไม่รู้ทำไปเพื่อ?? เรานี่หนาวสุดใจ

อาหารเที่ยงระหว่างทาง ไกด์พาไปกิน อร่อยดีนะซดบะหมี่ร้อนๆ ผัดผัก และผัดเห็ดง่ายๆแต่รสชาตดี

จุดนี้จำไม่ได้ว่าเป็นอะไร รู้ว่าอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 5039 เมตรเกร๋ๆค่ะ เดินขึ้นเนินเตี้ยๆนั่นก็แทบตายเลย


ซื้อของที่ระลึก

Mana Reservoir อ่างเก็บน้ำที่อยู่สูงที่สุดในโลก และน่าจะสวยที่สุดด้วยนะ อย่างว่าแหละคงเพราะเก็บกักสายน้ำบริสุทธิ์จากธารน้ำแข็งจากแหล่งเขาที่สูงในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แถบนี้

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ผ่านเมืองเจียนเซ่ ที่เป็นด่านปราการป้องกันทหารอังกฤษเข้าสู้ลาซา การปะทะครั้งนั้นทำให้ทหารทิเบตเสียชีวิต 700 นายจากการสู้รบเพียง 4 นาทีกับทหารอังกฤษที่มีปืนไรเฟิลปืนใหญ่เป็นอาวุธ



ข้าวบาร์เล่คั่ว อาหารว่างคนทันสมัย เพื่อนก็ไปเนียนกินกะเขา

ซื้อของที่ระลึก (อีกแล้ว)

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ถึงโรงแรมในจิกัทเซ่ก็ค่ำแล้ว จิกัทเซ่เป็นเมืองที่เจริญเป็นอันดับสองของทิเบตรองจากลาซา โรงแรมนี่เราเข้าพักคืนนี้จัดว่าดีมวากกก กว้าง สะอาดสะอ้าน สิ่งอำนวยความสะดวกครบ เราได้อาบน้ำอุ่น ได้ซุกตัวลงในเตียงนุ่มสบายใจ แน่นอนว่าถ้าเราจะสระผมก็ควรทำซะในคืนนี้นี่แหละ


กินอาหารเช้าบุฟเฟท์ แล้วเช็กเอ้าเพื่อไปวัด Tashilunpo แต่เช้า

สำหรับเราแล้วคิดว่า Shambala มันอยู่ตรงนั้นจริงๆนั่นแหละ นอกเหนือจากทิวทัศน์และวัดก็คงเป็นคนทิเบตที่ทำให้เรารู้สึกอย่างงั้น แค่มองเข้าไปในดวงตาก็รู้สึกถึงความใสความบริสุทธิ์ ท่ามกลางคนที่แต่งตัวไม่คุ้นดูรุงรังๆผมเผ้าเป็นก้อน แต่เดินไปตรงไหนก็รู้สึกว่าปลอดภัย เราคิดว่าเขาแปลก เขาก็คิดว่าเราแปลกเหมือนกัน ถ้าเขาจะจ้องเราแบบไม่วางสายตาก็ปล่อยไปเหอะ คือจ้องแบบไม่มีจริต จ้องแบบจริงจังอ่ะ แต่ไม่มีอะไรหรอก เขามีความสงสัยใคร่รู้จริงๆ หมดเลิกสิ่งสงสัยแล้วเขาก็หันไปทางอื่นเอง ไม่ได้เอาไปซุบซิบนินทาต่อ






Checkpoint จะมีทุกระยะตลอดเส้นทางการเดินทาง ไกด์จะลงไปแจ้งเจ้าหน้าที่ถึงรายละเอียดการเดินทาง มีกี่คน ไปไหน ทะเบียนรถอะไร ยื่นเอกสาร แล้วจนท.ก็จะแจ้งว่ารถของเราสามารถไปถึง Checkpoint อีกจุดหนึ่งได้กี่โมง ห้ามไปถึงเร็วกว่าเวลาที่กำหนดให้ ซึ่งก็เป็นเรื่องดีอย่างหนึ่งเพราะรถราจะได้ไม่วิ่งกันเร็วเกินไป ไกด์เล่าให้ฟังว่าก่อนหน้าที่เราไปไม่นาน มีรถบัสทัวร์จีนเข้ามาในทิเบตแล้วตกเหวสูง ตายยกคัน เป็นข่าวใหญ่มาก ซึ่งทำให้ทางการจีนออกกฏคุมเข้มงวดเรื่องสปีด (อย่างที่ทราบกันว่าปกติแล้วคนขับรถราในเมืองจีนนั้นยอดแย่ขนาดไหน)

จะเห็นว่าพอใกล้จะถึง checkpoint มักจะมีรถจอดเรียงรายข้างทาง เหมือนนั่งพัก แต่จริงๆแล้วเพราะรอเวลาที่ตัวเองจะผ่านไปได้นั่นเอง เราก็หาน้ำชาข้างทางซด นั่งตากแดดอุ่นๆ รอเวลาเหมือนกัน



เจอหมู่บ้านน้อยๆ ก็เดินไปสำรวจซะหน่อย ที่เห็นนี่คือขี้ของYak (จามรี) ที่ชาวบ้านเอามาตากแดดให้แห้ง แล้วเก็บไว้ใช้เป็นเชื้อเพลิงได้


ลูกวัวชาวบ้านนี่ก็เชื้อง เชื่อง มานัวเนียซะงั้น คิดว่าตัวเองเป็นพุดเดิ้ลหราาาา

แวะทานข้าวเที่ยง เนื้อส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อแย๊ก ชาวทิเบตมีความเมตตาต่อสัตว์ เมื่อเขาคิดจะต้องฆ่าสัตว์สักตัวเพื่อมาบริโภค การฆ่าจะต้องเกิดประโยชน์สูงสุด ฆ่าเพียงหนึ่งชีวิตแต่สามารถนำมาเลี้ยงได้อีกหลายชีวิตทั้งครอบครัว ไม่เหมือนกับความเชื่อทางบ้านเราเรื่องสัตว์ใหญ่สัตว์เล็ก ชาวทิเบตเห็นว่าไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กก็คือหนึ่งชีวิต มนุษย์ไม่สามารถไปตัดสินได้ว่าอะไรจะมีค่ามากกว่าอะไร


จะว่าไปสิ่งหนึ่งที่จีนทำไว้ดีมากคือถนนหนทาง ถนนเรียบลาดยางดีมากที่ทำให้นักท่องเที่ยวกะโหลกกะลาอย่างเราไปได้จนถึงสุดขอบฟ้า ทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ชั่งน้ำหนักพิจารณากันเอง

Gyatso-la pass, 5248 เมตรจากระดับน้ำทะเล เราเจอสองนักปั่นๆขึ้นมาถึงบนนี้! คนเหล็กชัดๆ


จาก Friendship Highway

มาถึงก็เย็นพอดี ไกด์พาเข้าพักที่เกสต์เฮ้าส์ใน Old Tingri รับชาอุ่นๆสักหน่อยเพราะมันหนาวจับใจ ภายในร้านในเกสเฮ้าจะมีเตาอยู่กลางบ้านเลย ซึ่งให้ความอบอุ่นดีมาก แต่ในห้องพักเราไม่มีอะไรเลยนะจ๊ะ มีปูนเย็นๆเฉียบๆเท่านั้น


เกสต์เฮ้าที่มีแถวนี้ก็มีสภาพเหมือนๆกัน คือเอาไว้ซุกหัวนอนอย่างเดียว ห้องน้ำไม่มี ไม่มีก็อกน้ำ ฝักบัวอะไร มีฉากกั้นเป็นส้วมหลุม มีไม้กระดานพาด ไม่มีประตูต้องให้เพื่อนเฝ้าต้นทางให้ (ซึ่งความจริงแล้วเวลาออกทริปไกลๆห้องน้ำก็จะเป็นแบบนี้ทั้งนั้น เดี๋ยวเราก็ชินไปเอง) ตกกลางคืนอากาศ -10 จขกท.ดันปวดหนักขึ้นมาตอนกลางคืน! คุณเอ๋ย มันทั้งหนาว ทั้งมืด ลมพัดแรงๆเย็นๆมาปะทะก้น พร้อมกับได้ยินเสียงกุกกักๆจากด้านล่าง ไม่รู้ตัวอะไรมาคุ้ยของเสียกินหรือเปล่า แต่ไม่กล้าใช้ไฟส่องลงไปดู แหม่..ก้อเข้ทั้งนั้น ต้องรีบๆเพ่งสมาธิให้เสร็จธุระเร็วๆ

ผ้านวมที่นอนตรงนั้นเราเอามาพันตัวเป็นดักแด้หนาๆ พันทบถุงนอนไปอีกทีนะจ๊ะนั่น มันเอาไม่อยู่จริงๆ

ตื่นแต่เช้ามืด ต้องมาเคาะประตูเรียกเจ้าของเกสเฮ้าให้ตื่นมาเปิดร้าน และทำอาหารเช้าให้กิน น่าอิจฉาแมวน้อยขี้เซานอนในร้านนี้มันอุ่นจริงๆนะเนี่ย


ระหว่างทางไป EBC (Everst Base Camp ฝั่งทิเบต) เป็นทางดินเฉยๆ ที่ไม่ใช่ถนนเป็นเส้นแบ่งชัดเจน ทั้งสูงต่ำเป็นหลุมเป็นบ่อ ข้ามลำธารบ้าง ไม่มีไฟสักดวงซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาเช้ามืด คนขับรถกับไกด์ใช้เซ้นส์ล้วนๆ!! หลงบ้างอะไรบ้าง ลูกทัวร์ลุ้นกันเครียด แต่มีสิ่งบันเทิงอย่างหนึ่งที่เราเห็นผลุบๆโผล่ๆจากแสงไฟหน้ารถตลอดทางคือสัตว์ต่างๆ กระต่ายป่านี่กระโดดหลบกันให้สนุกเลย ปกติเส้นทางหลักที่ไป EBC จะเป็นอีกเส้นหนึ่ง แต่ช่วงที่พวกเราไปเขาปิดถนนเพื่อปรับปรุง เลยต้องมาใช้เส้นนี้แทนซึ่งไกด์และคนขับก็ไม่แม่นทางนัก ...แต่สุดท้ายเราก็มาถึง EBC จนได้ yes!!

Mt. Everst Base Camp (ฝั่งทิเบต) หรือชื่อทิเบตว่า Mt. Qomolangma Base Camp ตรงนี้จะเป็นจุดที่ใกล้ Everest ที่สุดที่เราจะเดินเท้าธรรมดาเข้าถึงได้ ถ้าใครอยาก trekking คงต้องขออนุญาตเป็นเรื่องเป็นราว แล้วเราก็ทำการเขียนชื่อลงบนธงมนตรา 5 สีที่สื่อถึงธาตุดิน น้ำ ไฟ ไม้ เหล็ก แล้วผูกไว้ที่นั่นเพื่อเป็นสิริมงคลชีวิต ขอให้กระแสลมที่ต้องแผ่นธงช่วยโบกสะบัดนำพามนตราแผ่กระจายไปถึงผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา ช่วยปกป้องกันภัยคุ้มครองผู้คนต่อไป



Rongphu Monastery
ห่างออกไปจาก EBC ไม่เท่าไหร่ ก็เป็นที่ตั้งของวัดร่งพู วัดเล็กๆที่มียอดเอเวอร์เรสเป็นฉากหลัง แน่นอนว่าอยู่ระดับนี้แล้วต้องเป็นวัดที่อยู่สูงที่สุดในโลก (4,980 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล) นอกจากกราบไหว้นมัสการพระพุทธรูปแล้ว เราได้โอกาสตามไกด์เข้าไปในครัวอุ่นๆ นั่งพักผิงเตาไฟชั่วครู่




Rongphu Monastery Guesthouse
เป็นเกสเฮ้าส์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามวัดเลย ค่อนข้างใหญ่ มีหลายห้อง ซึ่งตามแพลนจริงๆแล้วเราควรได้พักที่นี่เมื่อคืน แต่ไกด์บอกว่าตอนกลางคืนอุณหภูมิที่นี่จะต่ำมาก แขกหลายคนที่ไกด์เคยพามาจะต้องออกจากที่พักกลางดึกเพราะทนหนาวไม่ไหว (และคงคิดว่าดูท่าพวกแล้วน่าจะอ่อนเช่นกัน) ซึ่งเราก็เห็นด้วยกับไกด์นะ ขนาดอยู่ในเมืองหน่อยยัง -10 มาที่นี่คงรับมือไม่ได้แน่นอน ถึงห้องจะมีสภาพดีกว่าใน Olg Tingri ก็เถอะ

คณะเรามานั่งกินอาหาร สั่งชาอุ่นๆมาดื่มแก้หนาวในร้านอาหารของเกสเฮ้าส์ แต่จะบอกว่าตรงนี้ราคาอาหารแพงอยู่


ตอนที่ 4 มาแล้วค่ะ http://pantip.com/topic/34778952
ชื่อสินค้า:   นั่งรถไฟไปทิเบตต่อรถไปเนปาล
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่