กระทู้นี้ขอแชร์เกี่ยวกับเรื่องจริงที่ช่วยแนะนำเพื่อนที่เป็นอาจารย์คนนึงให้มีเงินเก็บเพิ่มได้เร็วขึ้นเท่าตัว สาเหตุที่แชร์ไม่ใช่เราจะมาโปรโมทขายของ หรือว่าเราทำงานที่พวกสถาบันการเงินนะ แต่พออ่านข่าวเรื่องครูไทยมีหนี้กันเยอะมากเลยมานั่งคิดว่าเราเคยช่วยเพื่อนที่เป็นอาจารย์ไปแล้วได้ผลมาก เลยอยากแบ่งปันวิธีนี้ให้คนอื่นนะคะบอกก่อนว่าเรื่องนี้มันมีบางมุมที่เหมือนละครช่อง 3 หน่อยๆ เพราะการที่คนๆ นึงจะมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นเร็วเป็นเท่าตัวในเวลาที่สั้นลงมันต้องมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
(เมื่อวานนี้เขียนเรื่องนี้เป็นกระทู้ไปแล้วแต่กลับมาดูอยากแก้ไขบางอย่างแต่ติดปัญหาเทคนิคแก้ไม่ได้ เลยขอตั้งเป็นกระทู้ใหม่มาแทนค่ะ)
เรามีเพื่อนสนิทอยู่คนนึงชื่อแอนนา (ชื่อสมมุติ) เป็นอาจารย์ต่างชาติสอนที่มหาวิทยาลัยในไทยได้ 8 ปี เมื่อปีกว่าที่ผ่านมาเราไปฟังสัมมนาเรื่องลงทุนและการเก็บเงินเกษียณมา เลยมาคุยกับแอนนาและลองเเล่นกับแอนนาดูว่าจากเงินเก็บ การออม และวิธีการใช้ชีวิตตอนนี้ เธอจะมีเงินเกษียณเท่าไหร่
เพื่อนๆ ลองเล่นดูได้นะคะที่
https://www.financialplanning.scbam.com/th/Calculation/Retirement
แค่ตอบคำถามง่ายๆ ใช้เวลาไม่ถึงนาที ปรากฏว่าแอนนาจะมีเงินติดลบ 2 ล้าน !!!!!!!!!
แอนนาตกใจมาก เพราะว่าเรื่องตัวเลขกับเธอเป็นของแสลง ปกติแค่หยิบเครื่องคิดเลขมาก็ไม่กล้ากดแล้ว นี่มาเจอว่าก่อนตายยังจะต้องเป็นหนี้อีก 2 ล้าน
อืม เราก็เลยตลกร้ายบอกว่า แอนนา เธอมีสองทางเลือกนะจ๊ะ ข้อแรกคือหาสามีรวย หรือข้อสองทำงานไปจนตายไม่ต้องเกษียณ
บอกตรงๆ ตอนนั้นก็ไม่รู้จะช่วยเพื่อนยังไงดีนะ แถมจินตนาการไปด้วยว่าเอ๊ะ เราสนิทกัน ถ้าแก่ไปแอนนาไม่มีข้าวกิน คงมาขอยืมเงินเราแน่ 55555
แล้วจะทำยังไงดีน้า สุดท้ายเลยบอกแอนนาว่า เธอคงต้องพยายามประหยัดและลองหาทางสอนพิเศษดูมั้ย จะได้มีเงินเก็บมากขึ้น แต่วินาทีนั้น แอนนามึนไปแล้ว นางไม่รับฟังอะไรอีก แถมวันต่อมาบอกด้วยว่าฝันร้ายเลย
หนึ่งเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก พระเอกขี่มาขาวก็มาปรากฏตัว อันนี้ไม่ได้พูดถึงชายหนุ่มพ่อรวยนะคะ แต่พูดถึงหนังสือชื่อ "เพื่อนรักพารวย" ที่ได้มาฟรีแต่เพิ่งได้ฤกษ์อ่าน
หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องของสุนัขพูดได้สอนเด็กอายุ 12 ปี เกี่ยวกับการเก็บเงินและลงทุน พออ่านจบปุ๊บเลยได้ไอเดียว่าจะช่วยแอนนายังไงละ ถึงแม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะมีฉบับภาษาอังกฤษวางขายโหลดได้ทางเน็ต แต่เราก็ไม่บอกแอนนา 5555 เพราะรู้ว่าถ้าให้นางอ่านเองนางคงไม่อ่านแน่ๆๆ เลยบอกนางว่า "แอนนาเคยคิดว่าเรื่องการเงินมันยากใช่ป่ะ เรามีหนังสือเล่มนึงเกี่ยวกับสุนัขพูดได้สอนเด็ก 12 ขวบเรื่องการเงิน ถ้าเด็ก 12 ขวบยังเข้าใจได้ ชั้นว่าเธอก็จะเข้าใจได้ไม่ยากเลย เอาอย่างงี้หนังสือมันเป็นภาษาไทย เดี๋ยวชั้นอ่านไปแปลไปให้เธอฟังละกันนะ อาทิตย์ละบทนะ คิดไปซะว่าเธอฟังนิทานก่อนนอนสนุกๆ ละกัน" แอนนาคิดว่าหนังสือสำหรับเด็กน่าจะง่ายพอสำหรับผู้ใหญ่อย่างเธอเลยตกลงที่จะฟัง
วันที่โทรไปหาแอนนานัดเวลาแอนนาเพื่อมาเจอกัน เราถามแอนนาว่า "เงินออมที่มีจะเปลี่ยนไปฝากกองทุนดีกว่ามั้ย ถ้าเธอฝากออมทรัพย์ไว้มันแทบไม่ได้ดอกเบี้ยเลย ฝากพวกกองทุนรายวันเนี่ยแทบไม่เสี่ยงเลย แม่ชั้นก็ฝาก ชั้นแนะนำให้แม่บ้านพม่าฝากเหมือนกัน ถ้าเธอฝากกองทุนพวกนี้นะแทบจะได้ค่าตั๋วเครื่องบินไปประเทศเธอฟรีๆ เลยนะ ชั้นดูให้ละ ฝากอีกซักสองปี แล้วก็แต่ละเดือนขยันเติมเงินเข้าไปหน่อยเธอก็จะได้ตั๋วเครื่องบินไปกลับบ้านเธอฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ดีจะตายไป สนใจมั้ยหล่ะ"
แอนนาได้ยินคำว่ากองทุนเท่านั้นเธอก็ SAY NO ทันที เราก็งง แอนนาบอกว่าพ่อของเธอซื้อพวกกองทุนตามที่มาร์เก็ตติ้งของธนาคารแนะนำปรากฏว่าขาดทุนไปตั้งเยอะเธอเลยไม่อยากทำ พร้อมทำเสียงแข็งว่าไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งนั้น เราพยายามบอกว่าเรื่องการเก็บเงินออม การลงทุนมันไม่ยากและซับซ้อนนะ ถ้าเธอจะทำจริงๆ ก็ทำได้อยู่แล้ว เธอเองมีความฝันที่จะมีบ้านของตัวเอง วิธีการพวกนี้แหล่ะจะทำให้เธอมีเงินเก็บมีดอกเบี้ยมาใช้ไง ปรากฏว่าอยู่ดีๆ แอนนาก็กลายเป็นเพื่อนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เพราะเธอบกว่า "บางทีพรหมลิขิตอาจให้ชั้นมีชีวิตที่ลำบากก็ได้ชั้นจะไปเปลี่ยนชะตาชีวิตได้ยังไง เรื่องการตั้งเป้าหมาย การมีความคิดที่อยากประสบความสำเร็จของเธอมันดูเหมือนเป็นความสนใจด้านวัตถุนิยมซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ชั้นถูกสอน"
เราเลยแทบลมใส่ เถียงกลับทันที "นี่เธอเชื่อแบบพวกฮินดูเหรอว่าคนเราจะเปลี่ยนวรรณะไม่ได้ ถ้าเราตั้งใจจริง ตั้งเป้าหมายแล้ว มันก็จะมีหนทางที่จะได้นะ เธอไม่จำเป็นต้องอยู่ห้องเช่าไปจนแก่เหรอ เธอสามารถมีบ้านของเธอได้นะถ้าเธอลองเปิดใจดู" ปรากฏว่าวันนั้นเราก็เถียงกันจนวางสายไป งงไปเหมือนกันว่าทำไมเพื่อนสาวถึงได้ขี้กลัวขนาดนี้ แล้วเราก็ไม่ได้คุยกันไปเกือบอาทิตย์ แอบเคืองเพื่อนเหมือนกัน
สุดท้าย แอนนาโทรมาหาแล้วขอโทษ พร้อมบอกว่าจะลองดูซักตั้ง แต่ขอให้ค่อยๆ แนะนำละกันเพราะว่าเธอไม่รู้อะไรเลย และเวลาพูดเรื่องการเงินก็จะกลัวมาก เราอธิบายต่อว่ากองทุนมีหลายอย่าง เดาว่าพ่อเธอคงจะซื้อกองทุนหุ้นเลยขาดทุน แต่กองทุนที่ชั้นแนะนำมันเป็นพวกกองทุนรายวัน (ตราสารหนี้) พวกบริษัทใหญ่ๆ เวลาเค้ามีเงินเยอะเค้าก็จะฝากไว้ที่นี่เหมือนกันเทียบเป็นดอกเบี้ยแล้วเทียบได้ 3% กว่า (เริ่มฝากเมื่อปี 2014) ถ้าเธอฝากออมทรัพย์ก็ได้แค่ 0.5% เอง ต่างกันเยอะนะ เอาอย่างงี้ถ้าไม่สบายใจก็ลองฝากดูซักส่วนนึงก่อนซักสองเดือนแล้วมาดูกันละกัน
วันที่แอนนามาเจอเพื่อมาจิบกาแฟฟังนิทาน แอนนาก็มารายงานว่าเธอไปคุยกับที่บ้านมา ตอนแรกที่บ้านก็ว่าเธอว่าจะทำไปทำไม เสี่ยง แอนนาไม่มีความรู้พวกนี้เธอลงทุนไม่เป็นหรอก นี่ก็ไม่ได้อยู่ประเทศตัวเองด้วยนะ แต่สุดท้ายเธอก็บอกว่าเธออยากลองดูซักสองเดือนแล้วว่ากัน มันฟังดูดีนะให้เงินทำงานแล้วได้ตั๋วเครื่องบินกลับบ้านฟรี เราเลยแบ่งเงินก้อนแรกของแอนนาไปส่วนหนึ่งเพื่อเปิดบัญชีกองทุนของกรุงศรีเพื่อซื้อกองทุน KFSPLUS เพราะเธอมีบัญชีออมทรัพย์ของที่นี่อยู่แล้ว เปิดบัญชีเสร็จก็เริ่มเล่านิทานให้แอนนาฟัง ขอเล่าแบบย่อๆ ให้ฟังนะคะ
เรื่องนี้เกี่ยวกับครอบครัวของเด็กผู้หญิงอายุ 12 ปี ชื่อคีร่า ตอนนั้นที่บ้านเธอติดหนี้เยอะมากเพราะเศรษฐกิจไม่ดี (เหมือนเมืองไทยตอนนี้เลย) แถมยังต้องผ่อนบ้านอีก พ่อแม่เลยทะเลาะกันบ่อยๆ แต่เมื่อเธอได้น้องหมามาเลี้ยงโดยบังเอิญและตั้งชื่อว่ามันนี่ ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไป มันนี่คอยแนะนำเธอตั้งแต่ให้รู้จักซื้อของโดยต้องคิดให้ดีก่อนว่าตัวเองมีค่าขนมเท่าไหร่ จนถึงเรื่องสำคัญคือ "ทำไมถึงอยากรวย" เพราะทุกคนก็อยากรวยกันท้งนั้นแต่เอาเข้าจริงคนส่วนใหญ่มักจะไปไม่ถึงฝัน
มันนี่ให้คีร่าเขียนเหตุผลว่าทำไมถึงอยากรวยมา 10 ข้อ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือความฝันสูงสุดในชีวิต คีร่าเขียนมาหลายอย่างสุดท้ายเลือกสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การซื้อคอมพิวเตอร์ การไปเรียนซัมเมอร์ และการช่วยพ่อแม่ให้ปลดหนี้
กลับมาที่เพื่อนสาวแอนนา แอนนาเลือกความฝันที่สำคัญที่สุด 3 ข้อ คือ มีบ้านของตัวเอง มีเงินใช้หลังเกษียณ และมีเงินช่วยเหลือพ่อแม่ยากเจ็บไข้ เราก็เลยตั้งชื่อสมุดบัญชีกองทุนของแอนนาว่า "บ้านของแอนนา"
ผ่านไปสองเดือน แอนนาไปอัพเดทสมุดบัญชีกองทุนก็เห็นว่ามีเงินเพิ่มขึ้นจริงเลยโอนเงินฝากส่วนใหญ่ไปที่กองทุนแทน เราแนะนำต่อว่าถ้า "จะให้ดีเธอควรที่จะฝากเงินเป็นประจำทุกเดือนนะ ตัดอัตโนมัติไปเลย เพราะเธอจะได้ไม่ลืม เงินที่เหลือก็จะได้ใช้จ่ายได้ไม่ใช้เพลินไป เพราะเวลาเห็นเงินในบช. ออมทรัพย์เยอะก็จะรู้สึกว่ามีเงินเยอะและจะเริ่มใช้เพลิน ชั้นรู้ว่าเธอคิดว่าเธอเป็นคนไม่ใช้ฟุ่มเฟือย มีเงินเก็บเป็นหลักแสนแล้ว แต่อันที่จริงเธอมีหลายอย่างที่ทำให้เงินหมดไปโดยไม่รู้ตัว เช่นวันนี้ชั้นมาหอเธอครั้งแรก ชั้นงงไปตอนเห็นว่าเธอมีแชมพูในห้องน้ำตั้ง 5 ขวด ใช้ยังไม่หมดซักขวดเดียว หรือว่าพวกเครื่องสำอาง เสื้อผ้า กระเป๋าของเธอก็มีเยอะมาก เธอชอบลองของใหม่ และเวลาซื้อก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ซื้อของแพงอะไรไม่น่าจะเปลืองเงิน แต่พอรวมๆ ไปก็เยอะอยู่นะจ๊ะ เธอยังสามารถมีเงินได้มากกว่านี้นะถ้าเธอใช้วิธีฝากเงินประจำทุกเดือนด้วย" แอนนาเลยยอมเชื่อแล้วโอนเงินส่วนใหญ่ไปซื้อกองทุนรายวัน เหลือในบัญชีออมทรัพย์แค่ 20,000 บาท แล้วตัดเงินอัตโนมัติจากบัญชีออมทรัพย์ไปซื้อกองทุนรายวันทุกเดือนเท่าๆ กัน
กลับมาที่เรื่องน้องหมามันนี่ มันนี่สอนคีร่าว่าการที่เราจะไปถึงฝันได้เราต้องเชื่อก่อนว่าเราทำได้ และให้คีร่าเขียนเกี่ยวกับความสำเร็จที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน 3 ข้อ เพราะวิธีนี้จะทำให้เกิดความมั่นใจในตัวเองและความฝันอีกด้วย ส่วนเรื่องการหาเงินเพื่อให้ไปถึงฝัน เด็กก็หาเงินได้ไม่ต้องขอเงินพ่อแม่เสมอไป แล้วแนะนำให้เธอลองหาสิ่งที่ตัวเองชอบแล้วทำมันให้เป็นอาชีพ ถึงแม้ตอนแรกจะไม่กล้าเพราะไม่เคย แต่ถ้าค่อยๆ ทำไปก็จะได้เอง คีร่าคิดไปมาเลยตัดสินใจที่จะไปช่วยเพื่อนบ้านพาน้องหมาเดินออกกำลังกายตอนเย็น คีร่าค่อยๆ เริ่มจากสุนัขหนึ่งตัวจนสุดท้ายมีสุนัขหลายตัวและให้เพื่อนช่วยทำงานด้วย
ไม่น่าเชื่อ ช่วงที่เล่าเรื่องอาชีพเสริมก็มีเพื่อนบ้านของเราโทรมาปรึกษาหาครูต่างชาติสอนภาษาให้ลูกสาว เราเลยรีบแนะนำแอนนาให้ แอนนาไปสอนภาษาที่บ้านทุกอาทิตย์ ตอนนี้เธอเลยสามารถมีเงินเก็บได้เดือนละหมื่นกว่าบาท! เพื่อไม่ให้เพื่อนลืมตัวเผลอใช้เงิน เราเลยแนะนำให้เธอไม่ต้องคอยดูบัญชีกองทุนบ่อยนักเพราะกลัวว่าเธอดูบ่อยก็จะรู้สึกว่าชั้นรวยแล้วเผลอให้เงินไปซะอีก
ในตอนท้ายของหนังสือ คีร่าได้ผู้ใหญ่ใจดีเจ้าของน้องหมาลูกค้าของคีร่าสอนเรื่องการลงทุนในกองทุน เพราะว่าวิธีการลงทุนในตลาดหุ้นจะทำให้ได้ผลตอบแทนมาก แต่ไม่ใช่ว่าจะลงเงินไปทั้งหมดนะ มันมีทั้งโอกาสได้เงินและขาดทุนเหมือนกัน ถ้าเราเลือกกองทุนที่ดี ในระยะยาวหลายปีการลงทุนก็จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากธนาคารเยอะมาก
เราแนะนำให้แอนนาซื้อกองทุนหุ้นเหมือนกันค่ะ โดยเอาเงินที่เคยซื้อกองทุนรายวันแบ่งมาเดือนละ 5,000 บาท เพื่อซื้อกองทุน Healthcare
เพราะนางไม่อยากปวดหัวเรื่องการลงทุน แล้วแนะนำให้ซื้อเท่าๆ กันทุกเดือน แอนนารับความเสี่ยงน้อยมากมากเลยไม่อยากให้เอาเงินส่วนใหญ่ไปลงทุนในหุ้น วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงได้เยอะเลย
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก แอนนาเคยใช้เวลา 7 ปีในการเก็บเงิน xxx,xxx บาท ตอนนี้ลองส่องลูกแก้ววิเศษดูอนาคต ถ้าแอนนายังมีวินัยเก็บเงินแบบนี้ต่อไปเธอจะใช้เวลาแค่ 3 ปี ในการเพิ่มเงินเก็บที่มีอยู่เป็นเท่าตัว! เธอเองก็กล้าที่จะไปธนาคารเองมากขึ้น แถมมึนหัวน้อยลงเวลาที่ต้องฟังสาวสีลมแนะนำเรื่องการเงินด้วย
หวังว่าประสบการณ์จริงเรื่องนี้ที่แชร์ให้ฟังจะช่วยให้เพื่อนๆ มีไอเดียเกี่ยวกับการออมเงินและการลงทุนกันไม่มากก็น้อยนะคะ ขอให้มีความสุขกับการออมและการลงทุนค้า
#สาวสีลม
วิธีช่วยครู/อาจารย์/มนุษย์เงินเดือนให้มีเงินเก็บเร็วขึ้น
(เมื่อวานนี้เขียนเรื่องนี้เป็นกระทู้ไปแล้วแต่กลับมาดูอยากแก้ไขบางอย่างแต่ติดปัญหาเทคนิคแก้ไม่ได้ เลยขอตั้งเป็นกระทู้ใหม่มาแทนค่ะ)
เรามีเพื่อนสนิทอยู่คนนึงชื่อแอนนา (ชื่อสมมุติ) เป็นอาจารย์ต่างชาติสอนที่มหาวิทยาลัยในไทยได้ 8 ปี เมื่อปีกว่าที่ผ่านมาเราไปฟังสัมมนาเรื่องลงทุนและการเก็บเงินเกษียณมา เลยมาคุยกับแอนนาและลองเเล่นกับแอนนาดูว่าจากเงินเก็บ การออม และวิธีการใช้ชีวิตตอนนี้ เธอจะมีเงินเกษียณเท่าไหร่
เพื่อนๆ ลองเล่นดูได้นะคะที่ https://www.financialplanning.scbam.com/th/Calculation/Retirement
แค่ตอบคำถามง่ายๆ ใช้เวลาไม่ถึงนาที ปรากฏว่าแอนนาจะมีเงินติดลบ 2 ล้าน !!!!!!!!!
แอนนาตกใจมาก เพราะว่าเรื่องตัวเลขกับเธอเป็นของแสลง ปกติแค่หยิบเครื่องคิดเลขมาก็ไม่กล้ากดแล้ว นี่มาเจอว่าก่อนตายยังจะต้องเป็นหนี้อีก 2 ล้าน
อืม เราก็เลยตลกร้ายบอกว่า แอนนา เธอมีสองทางเลือกนะจ๊ะ ข้อแรกคือหาสามีรวย หรือข้อสองทำงานไปจนตายไม่ต้องเกษียณ
บอกตรงๆ ตอนนั้นก็ไม่รู้จะช่วยเพื่อนยังไงดีนะ แถมจินตนาการไปด้วยว่าเอ๊ะ เราสนิทกัน ถ้าแก่ไปแอนนาไม่มีข้าวกิน คงมาขอยืมเงินเราแน่ 55555
แล้วจะทำยังไงดีน้า สุดท้ายเลยบอกแอนนาว่า เธอคงต้องพยายามประหยัดและลองหาทางสอนพิเศษดูมั้ย จะได้มีเงินเก็บมากขึ้น แต่วินาทีนั้น แอนนามึนไปแล้ว นางไม่รับฟังอะไรอีก แถมวันต่อมาบอกด้วยว่าฝันร้ายเลย
หนึ่งเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก พระเอกขี่มาขาวก็มาปรากฏตัว อันนี้ไม่ได้พูดถึงชายหนุ่มพ่อรวยนะคะ แต่พูดถึงหนังสือชื่อ "เพื่อนรักพารวย" ที่ได้มาฟรีแต่เพิ่งได้ฤกษ์อ่าน
หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องของสุนัขพูดได้สอนเด็กอายุ 12 ปี เกี่ยวกับการเก็บเงินและลงทุน พออ่านจบปุ๊บเลยได้ไอเดียว่าจะช่วยแอนนายังไงละ ถึงแม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะมีฉบับภาษาอังกฤษวางขายโหลดได้ทางเน็ต แต่เราก็ไม่บอกแอนนา 5555 เพราะรู้ว่าถ้าให้นางอ่านเองนางคงไม่อ่านแน่ๆๆ เลยบอกนางว่า "แอนนาเคยคิดว่าเรื่องการเงินมันยากใช่ป่ะ เรามีหนังสือเล่มนึงเกี่ยวกับสุนัขพูดได้สอนเด็ก 12 ขวบเรื่องการเงิน ถ้าเด็ก 12 ขวบยังเข้าใจได้ ชั้นว่าเธอก็จะเข้าใจได้ไม่ยากเลย เอาอย่างงี้หนังสือมันเป็นภาษาไทย เดี๋ยวชั้นอ่านไปแปลไปให้เธอฟังละกันนะ อาทิตย์ละบทนะ คิดไปซะว่าเธอฟังนิทานก่อนนอนสนุกๆ ละกัน" แอนนาคิดว่าหนังสือสำหรับเด็กน่าจะง่ายพอสำหรับผู้ใหญ่อย่างเธอเลยตกลงที่จะฟัง
วันที่โทรไปหาแอนนานัดเวลาแอนนาเพื่อมาเจอกัน เราถามแอนนาว่า "เงินออมที่มีจะเปลี่ยนไปฝากกองทุนดีกว่ามั้ย ถ้าเธอฝากออมทรัพย์ไว้มันแทบไม่ได้ดอกเบี้ยเลย ฝากพวกกองทุนรายวันเนี่ยแทบไม่เสี่ยงเลย แม่ชั้นก็ฝาก ชั้นแนะนำให้แม่บ้านพม่าฝากเหมือนกัน ถ้าเธอฝากกองทุนพวกนี้นะแทบจะได้ค่าตั๋วเครื่องบินไปประเทศเธอฟรีๆ เลยนะ ชั้นดูให้ละ ฝากอีกซักสองปี แล้วก็แต่ละเดือนขยันเติมเงินเข้าไปหน่อยเธอก็จะได้ตั๋วเครื่องบินไปกลับบ้านเธอฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ดีจะตายไป สนใจมั้ยหล่ะ"
แอนนาได้ยินคำว่ากองทุนเท่านั้นเธอก็ SAY NO ทันที เราก็งง แอนนาบอกว่าพ่อของเธอซื้อพวกกองทุนตามที่มาร์เก็ตติ้งของธนาคารแนะนำปรากฏว่าขาดทุนไปตั้งเยอะเธอเลยไม่อยากทำ พร้อมทำเสียงแข็งว่าไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งนั้น เราพยายามบอกว่าเรื่องการเก็บเงินออม การลงทุนมันไม่ยากและซับซ้อนนะ ถ้าเธอจะทำจริงๆ ก็ทำได้อยู่แล้ว เธอเองมีความฝันที่จะมีบ้านของตัวเอง วิธีการพวกนี้แหล่ะจะทำให้เธอมีเงินเก็บมีดอกเบี้ยมาใช้ไง ปรากฏว่าอยู่ดีๆ แอนนาก็กลายเป็นเพื่อนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เพราะเธอบกว่า "บางทีพรหมลิขิตอาจให้ชั้นมีชีวิตที่ลำบากก็ได้ชั้นจะไปเปลี่ยนชะตาชีวิตได้ยังไง เรื่องการตั้งเป้าหมาย การมีความคิดที่อยากประสบความสำเร็จของเธอมันดูเหมือนเป็นความสนใจด้านวัตถุนิยมซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ชั้นถูกสอน"
เราเลยแทบลมใส่ เถียงกลับทันที "นี่เธอเชื่อแบบพวกฮินดูเหรอว่าคนเราจะเปลี่ยนวรรณะไม่ได้ ถ้าเราตั้งใจจริง ตั้งเป้าหมายแล้ว มันก็จะมีหนทางที่จะได้นะ เธอไม่จำเป็นต้องอยู่ห้องเช่าไปจนแก่เหรอ เธอสามารถมีบ้านของเธอได้นะถ้าเธอลองเปิดใจดู" ปรากฏว่าวันนั้นเราก็เถียงกันจนวางสายไป งงไปเหมือนกันว่าทำไมเพื่อนสาวถึงได้ขี้กลัวขนาดนี้ แล้วเราก็ไม่ได้คุยกันไปเกือบอาทิตย์ แอบเคืองเพื่อนเหมือนกัน
สุดท้าย แอนนาโทรมาหาแล้วขอโทษ พร้อมบอกว่าจะลองดูซักตั้ง แต่ขอให้ค่อยๆ แนะนำละกันเพราะว่าเธอไม่รู้อะไรเลย และเวลาพูดเรื่องการเงินก็จะกลัวมาก เราอธิบายต่อว่ากองทุนมีหลายอย่าง เดาว่าพ่อเธอคงจะซื้อกองทุนหุ้นเลยขาดทุน แต่กองทุนที่ชั้นแนะนำมันเป็นพวกกองทุนรายวัน (ตราสารหนี้) พวกบริษัทใหญ่ๆ เวลาเค้ามีเงินเยอะเค้าก็จะฝากไว้ที่นี่เหมือนกันเทียบเป็นดอกเบี้ยแล้วเทียบได้ 3% กว่า (เริ่มฝากเมื่อปี 2014) ถ้าเธอฝากออมทรัพย์ก็ได้แค่ 0.5% เอง ต่างกันเยอะนะ เอาอย่างงี้ถ้าไม่สบายใจก็ลองฝากดูซักส่วนนึงก่อนซักสองเดือนแล้วมาดูกันละกัน
วันที่แอนนามาเจอเพื่อมาจิบกาแฟฟังนิทาน แอนนาก็มารายงานว่าเธอไปคุยกับที่บ้านมา ตอนแรกที่บ้านก็ว่าเธอว่าจะทำไปทำไม เสี่ยง แอนนาไม่มีความรู้พวกนี้เธอลงทุนไม่เป็นหรอก นี่ก็ไม่ได้อยู่ประเทศตัวเองด้วยนะ แต่สุดท้ายเธอก็บอกว่าเธออยากลองดูซักสองเดือนแล้วว่ากัน มันฟังดูดีนะให้เงินทำงานแล้วได้ตั๋วเครื่องบินกลับบ้านฟรี เราเลยแบ่งเงินก้อนแรกของแอนนาไปส่วนหนึ่งเพื่อเปิดบัญชีกองทุนของกรุงศรีเพื่อซื้อกองทุน KFSPLUS เพราะเธอมีบัญชีออมทรัพย์ของที่นี่อยู่แล้ว เปิดบัญชีเสร็จก็เริ่มเล่านิทานให้แอนนาฟัง ขอเล่าแบบย่อๆ ให้ฟังนะคะ
เรื่องนี้เกี่ยวกับครอบครัวของเด็กผู้หญิงอายุ 12 ปี ชื่อคีร่า ตอนนั้นที่บ้านเธอติดหนี้เยอะมากเพราะเศรษฐกิจไม่ดี (เหมือนเมืองไทยตอนนี้เลย) แถมยังต้องผ่อนบ้านอีก พ่อแม่เลยทะเลาะกันบ่อยๆ แต่เมื่อเธอได้น้องหมามาเลี้ยงโดยบังเอิญและตั้งชื่อว่ามันนี่ ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไป มันนี่คอยแนะนำเธอตั้งแต่ให้รู้จักซื้อของโดยต้องคิดให้ดีก่อนว่าตัวเองมีค่าขนมเท่าไหร่ จนถึงเรื่องสำคัญคือ "ทำไมถึงอยากรวย" เพราะทุกคนก็อยากรวยกันท้งนั้นแต่เอาเข้าจริงคนส่วนใหญ่มักจะไปไม่ถึงฝัน
มันนี่ให้คีร่าเขียนเหตุผลว่าทำไมถึงอยากรวยมา 10 ข้อ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือความฝันสูงสุดในชีวิต คีร่าเขียนมาหลายอย่างสุดท้ายเลือกสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การซื้อคอมพิวเตอร์ การไปเรียนซัมเมอร์ และการช่วยพ่อแม่ให้ปลดหนี้
กลับมาที่เพื่อนสาวแอนนา แอนนาเลือกความฝันที่สำคัญที่สุด 3 ข้อ คือ มีบ้านของตัวเอง มีเงินใช้หลังเกษียณ และมีเงินช่วยเหลือพ่อแม่ยากเจ็บไข้ เราก็เลยตั้งชื่อสมุดบัญชีกองทุนของแอนนาว่า "บ้านของแอนนา"
ผ่านไปสองเดือน แอนนาไปอัพเดทสมุดบัญชีกองทุนก็เห็นว่ามีเงินเพิ่มขึ้นจริงเลยโอนเงินฝากส่วนใหญ่ไปที่กองทุนแทน เราแนะนำต่อว่าถ้า "จะให้ดีเธอควรที่จะฝากเงินเป็นประจำทุกเดือนนะ ตัดอัตโนมัติไปเลย เพราะเธอจะได้ไม่ลืม เงินที่เหลือก็จะได้ใช้จ่ายได้ไม่ใช้เพลินไป เพราะเวลาเห็นเงินในบช. ออมทรัพย์เยอะก็จะรู้สึกว่ามีเงินเยอะและจะเริ่มใช้เพลิน ชั้นรู้ว่าเธอคิดว่าเธอเป็นคนไม่ใช้ฟุ่มเฟือย มีเงินเก็บเป็นหลักแสนแล้ว แต่อันที่จริงเธอมีหลายอย่างที่ทำให้เงินหมดไปโดยไม่รู้ตัว เช่นวันนี้ชั้นมาหอเธอครั้งแรก ชั้นงงไปตอนเห็นว่าเธอมีแชมพูในห้องน้ำตั้ง 5 ขวด ใช้ยังไม่หมดซักขวดเดียว หรือว่าพวกเครื่องสำอาง เสื้อผ้า กระเป๋าของเธอก็มีเยอะมาก เธอชอบลองของใหม่ และเวลาซื้อก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ซื้อของแพงอะไรไม่น่าจะเปลืองเงิน แต่พอรวมๆ ไปก็เยอะอยู่นะจ๊ะ เธอยังสามารถมีเงินได้มากกว่านี้นะถ้าเธอใช้วิธีฝากเงินประจำทุกเดือนด้วย" แอนนาเลยยอมเชื่อแล้วโอนเงินส่วนใหญ่ไปซื้อกองทุนรายวัน เหลือในบัญชีออมทรัพย์แค่ 20,000 บาท แล้วตัดเงินอัตโนมัติจากบัญชีออมทรัพย์ไปซื้อกองทุนรายวันทุกเดือนเท่าๆ กัน
กลับมาที่เรื่องน้องหมามันนี่ มันนี่สอนคีร่าว่าการที่เราจะไปถึงฝันได้เราต้องเชื่อก่อนว่าเราทำได้ และให้คีร่าเขียนเกี่ยวกับความสำเร็จที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน 3 ข้อ เพราะวิธีนี้จะทำให้เกิดความมั่นใจในตัวเองและความฝันอีกด้วย ส่วนเรื่องการหาเงินเพื่อให้ไปถึงฝัน เด็กก็หาเงินได้ไม่ต้องขอเงินพ่อแม่เสมอไป แล้วแนะนำให้เธอลองหาสิ่งที่ตัวเองชอบแล้วทำมันให้เป็นอาชีพ ถึงแม้ตอนแรกจะไม่กล้าเพราะไม่เคย แต่ถ้าค่อยๆ ทำไปก็จะได้เอง คีร่าคิดไปมาเลยตัดสินใจที่จะไปช่วยเพื่อนบ้านพาน้องหมาเดินออกกำลังกายตอนเย็น คีร่าค่อยๆ เริ่มจากสุนัขหนึ่งตัวจนสุดท้ายมีสุนัขหลายตัวและให้เพื่อนช่วยทำงานด้วย
ไม่น่าเชื่อ ช่วงที่เล่าเรื่องอาชีพเสริมก็มีเพื่อนบ้านของเราโทรมาปรึกษาหาครูต่างชาติสอนภาษาให้ลูกสาว เราเลยรีบแนะนำแอนนาให้ แอนนาไปสอนภาษาที่บ้านทุกอาทิตย์ ตอนนี้เธอเลยสามารถมีเงินเก็บได้เดือนละหมื่นกว่าบาท! เพื่อไม่ให้เพื่อนลืมตัวเผลอใช้เงิน เราเลยแนะนำให้เธอไม่ต้องคอยดูบัญชีกองทุนบ่อยนักเพราะกลัวว่าเธอดูบ่อยก็จะรู้สึกว่าชั้นรวยแล้วเผลอให้เงินไปซะอีก
ในตอนท้ายของหนังสือ คีร่าได้ผู้ใหญ่ใจดีเจ้าของน้องหมาลูกค้าของคีร่าสอนเรื่องการลงทุนในกองทุน เพราะว่าวิธีการลงทุนในตลาดหุ้นจะทำให้ได้ผลตอบแทนมาก แต่ไม่ใช่ว่าจะลงเงินไปทั้งหมดนะ มันมีทั้งโอกาสได้เงินและขาดทุนเหมือนกัน ถ้าเราเลือกกองทุนที่ดี ในระยะยาวหลายปีการลงทุนก็จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากธนาคารเยอะมาก
เราแนะนำให้แอนนาซื้อกองทุนหุ้นเหมือนกันค่ะ โดยเอาเงินที่เคยซื้อกองทุนรายวันแบ่งมาเดือนละ 5,000 บาท เพื่อซื้อกองทุน Healthcare
เพราะนางไม่อยากปวดหัวเรื่องการลงทุน แล้วแนะนำให้ซื้อเท่าๆ กันทุกเดือน แอนนารับความเสี่ยงน้อยมากมากเลยไม่อยากให้เอาเงินส่วนใหญ่ไปลงทุนในหุ้น วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงได้เยอะเลย
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก แอนนาเคยใช้เวลา 7 ปีในการเก็บเงิน xxx,xxx บาท ตอนนี้ลองส่องลูกแก้ววิเศษดูอนาคต ถ้าแอนนายังมีวินัยเก็บเงินแบบนี้ต่อไปเธอจะใช้เวลาแค่ 3 ปี ในการเพิ่มเงินเก็บที่มีอยู่เป็นเท่าตัว! เธอเองก็กล้าที่จะไปธนาคารเองมากขึ้น แถมมึนหัวน้อยลงเวลาที่ต้องฟังสาวสีลมแนะนำเรื่องการเงินด้วย
หวังว่าประสบการณ์จริงเรื่องนี้ที่แชร์ให้ฟังจะช่วยให้เพื่อนๆ มีไอเดียเกี่ยวกับการออมเงินและการลงทุนกันไม่มากก็น้อยนะคะ ขอให้มีความสุขกับการออมและการลงทุนค้า
#สาวสีลม