ครม.ถอนแพ็กเกจส่งเสริมออม-ลงทุน ให้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 8 แสนบาท คาดชงใหม่สัปดาห์หน้า พร้อม “คนละครึ่ง พลัส เฟส 2” แวดวงตลาดทุนสะท้อนมุมมอง “บล.อินโนเวสท์ เอกซ์” เผย TISA ส่งเสริมลงทุนเน้นลดหย่อนภาษีแค่ “LTF เวอร์ชั่นใหม่” ด้าน “บล.กสิกรไทย” หวั่นกระทบกลุ่มผู้เสียภาษีฐานสูง-ผู้มีรายได้ไม่ถึง 1 ล้านบาทต่อปี อาจใช้สิทธิไม่มาก “บล.กรุงศรี” ถอดบทเรียนเสนอ “ระบบบำนาญ” ต้องแยกกับ “ออมเพื่อลงทุน” ชี้นโยบาย TISA มัดรวมวัตถุประสงค์จะทำให้ล้มเหลวทั้ง 2 ระบบ
ถอนเพ็กเกจกระตุ้นออม-ลงทุน
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้เสนอมาตรการ Quick Big Win เพื่อเพิ่มโอกาสการออมและความมั่นคงทางการเงินของประชาชน ประกอบด้วย โครงการบัญชีการออมส่วนบุคคล หรือ (Thailand Individual Saving Account : TISA) เพื่อเพิ่มช่องทางการลงทุนทั้งในตลาดหลักทรัพย์ฯ พันธบัตรและอื่น ๆ ตามความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละคน พร้อมกับที่มีข้อเสนอกำหนดเพดานค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดารวมสูงสุด 800,000 บาท โดยคนที่มีเงินได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี สามารถลดหย่อนได้ 1.3 เท่า ส่วนผู้มีเงินได้เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี ลดหย่อนภาษีได้ 0.7 เท่า รวมทั้งยกเว้นภาษี ณ ที่จ่าย ดอกเบี้ย-เงินปันผล 200,000 บาทแรก
นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “พันธบัตร ออมพลัส” เพื่อสร้างความมั่นใจในการออมระยะยาว ด้วยพันธบัตรรัฐบาลที่มีความมั่นคงสูง และการยกเว้นอากรแสตมป์สำหรับการซื้อประกันรายย่อย โดยทั้งหมดนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.) เศรษฐกิจมาแล้ว อย่างไรก็ดี สุดท้ายมีการถอนวาระเรื่องดังกล่าวกลับไปทบทวนก่อน
“เดิมจะบรรจุเป็นวาระจร แต่สุดท้ายก็ถอนออกมาก่อน เพราะมีเสียงค้านเยอะ เนื่องจากคนอาจจะยังไม่เห็นภาพรวมทั้งหมด เห็นแต่ที่เป็นข่าว ดังนั้น คลังต้องไปทำรายละเอียดคำอธิบายมาให้เห็นภาพชัดเจน ซึ่งอาจเสนอเข้า ครม.สัปดาห์หน้า พร้อมกับมาตรการคนละครึ่ง พลัส เฟส 2” แหล่งข่าวกล่าว
ยิงนัดเดียวได้นกหลายตัว
โดยนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวหลังประชุม ครม.เศรษฐกิจว่า ครม.เศรษฐกิจมีมติเห็นชอบมาตรการ “เสาหลักที่ 5” ภายใต้นโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล ทั้งการจัดทำโครงการบัญชีการออมส่วนบุคคล หรือ (TISA) มุ่งเน้นการส่งเสริมการออมและการลงทุนระยะยาวให้กับประชาชนรายย่อย ซึ่งให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีแบบเดิม อย่างเช่น RMF, PVD (กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) เป็นต้น โดยให้วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 800,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ที่มีเงินได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี ลดหย่อนได้ 1.3 เท่า ส่วนผู้มีเงินได้เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี ลดหย่อนได้ 0.7 เท่า
“ประชาชน 11.7 ล้านคน ที่อยู่ในระบบภาษี จะได้ประโยชน์จากส่วนนี้ เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้มีการระดมทุนสู่ตลาดมากขึ้น ยิงนกครั้งเดียวได้นกหลายตัว”
ไม่เห็นด้วย “ลดหย่อนไม่เท่ากัน”
แหล่งข่าวจากแวดวงตลาดทุนกล่าวว่า ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังหารือกับตลาดทุน ในเรื่องโครงการ TISA ที่กำหนดวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 800,000 บาท แต่ไม่ได้หารือถึงเรื่องโครงสร้างรายได้ของผู้ที่จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ที่ล่าสุดออกมาว่า ให้ผู้มีรายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี นำเงินลงทุนไปลดหย่อนภาษีได้ 1.3 เท่า ส่วนผู้มีรายได้เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี ลดหย่อนได้ 0.7 เท่า ซึ่งจุดนี้จะกระทบกับเม็ดเงินในตลาดทุน ทำให้เริ่มมีเสียงไม่เห็นด้วย
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย กล่าวว่า “มาตรการที่ออกมายังมีความไม่ชัดเจน อย่างไรก็ดี การกำหนดเกณฑ์เพดานลดหย่อน 8แสนบาท โดยผู้มีเงินได้เกิน 1.5 ล้านบาท ลดหย่อนภาษีได้เพียง 0.7 เท่า ประเด็นที่ต้องติดตามคือ กลุ่มผู้เสียภาษีฐานสูง ซึ่งเป็นฐานหลักของการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี จะมีแรงจูงใจมากเพียงใด ขณะที่การหวังพึ่งกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ก็ต้องตั้งคำถามว่า ผู้ที่มีรายได้ต่อปีไม่ถึง 1 ล้านบาท จะสามารถนำเงินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งปีมาลงทุนได้จริงหรือไม่ ซึ่งอาจมีบางส่วน แต่ไม่น่าจะเป็นจำนวนมาก”
นายสรพลกล่าวด้วยว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลเชิงบวก กลาง หรือเชิงลบต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากยังต้องรอรายละเอียดที่ชัดเจนจากการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามต่อ คือเพดานลงทุน 800,000 บาท จะนับรวมกับสิทธิเดิมหรือไม่ และการเปิดให้ซื้อหุ้นเพื่อลดหย่อนภาษีจะทำให้เงินไหลออกจากกองทุน หรือก่อให้เกิดเงินใหม่เข้าสู่ระบบมากน้อยเพียงใด
ขณะที่ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการที่ดี แม้คนมีรายได้เกิน 1.5 ล้านบาท จะหักลดหย่อนได้น้อยลง แต่ระยะยาวดี โดยเฉพาะการยกเว้นภาษีเงินปันผล ดอกเบี้ยปีละ 200,000 บาท ซึ่งจะทำให้คนออมในระยะยาวมากขึ้น
คล้าย LTF เน้นลดหย่อนภาษี
ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุว่า TISA เป็นบัญชีออม-ลงทุนที่ให้สิทธิยกเว้นภาษีเงินปันผลและกำไรจากการลงทุน ที่มีต้นแบบจาก ISA ในอังกฤษ และ NISA ในญี่ปุ่น ซึ่งทั้งสองประเทศประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนโครงสร้างสินทรัพย์ครัวเรือน โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่สัดส่วนการลงทุนต่อเงินฝากเพิ่มจาก 17% (2015) เป็น 23.6% (ปี 2567) และมีผู้ใช้ NISA เพิ่มจาก 8.3 ล้านบัญชี (ปี 2557) เป็น 25.6 ล้านบัญชี (ปี 2567)
อย่างไรก็ตาม แนวนโยบาย TISA ของกระทรวงการคลังจะใช้กลไกลดหย่อนภาษีแทนการยกเว้นภาษี ซึ่งต่างจากของอังกฤษและญี่ปุ่น ที่ให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนเงินปันผล และ Capital Gain Tax ทำให้ TISA มีลักษณะเป็นเพียง “LTF เวอร์ชั่นใหม่” ที่เน้นให้ผลประโยชน์ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูง ไม่ใช่การปฏิรูปโครงสร้างที่แท้จริง
นอกจากนี้ การกำหนดเพดานลดหย่อนภาษีรวมไม่เกิน 800,000 บาทต่อปี จะทำให้แรงจูงใจในการลงทุนในตลาดทุนลดลง เนื่องจากผู้เสียเงินได้บุคคลธรรมดาของไทยมีเพียง 15.9% ของประชากร (ต่ำกว่า UK 50.6%, ญี่ปุ่น 18.4%) ยิ่งไปกว่านั้น ในกรณีของญี่ปุ่น (NISA) ทางการได้มีการปฎิรูปนโยบายการเงิน การคลัง รวมถึงพัฒนาธรรมาภิบาลไปพร้อมกัน (นโยบายธนูสามดอก) ขณะที่ในกรณีของไทยเป็นเพียงแต่การสนับสนุนตลาดทุนผ่านมาตรการภาษี
“ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ TISA อาจไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร อย่างไรก็ดี เนื่องจากการวิเคราะห์ครั้งนี้ อ้างอิงข้อมูลที่เผยแพร่ล่าสุด แต่ยังไม่ได้ประกาศเป็นทางการ ซึ่งรายละเอียดในความเป็นจริงอาจแตกต่างจากที่สื่อสารมาก่อนหน้านี้ได้ โดยหากทางการปฏิรูปนโยบายการเงินการคลัง และธรรมาภิบาลอย่างเป็นระบบ ผลบวกของมาตรการ TISA อาจสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ได้”
บำนาญไม่ใช่ “ออมเพื่อลงทุน”
นายกรภัทร วรเชษฐ์ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี ระบุว่า กรณีที่ประเทศไทยกำลังจะอนุมัติ TISA เพื่อสร้างวินัยการออมและเพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการลงทุนมากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ รัฐควรออกแบบ TISA ให้แยกจาก PVD/RMF อย่างเด็ดขาด และเน้นสินทรัพย์การออมการลงทุนในประเทศเป็นหลัก เพราะสองกลไกนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อ “วัตถุประสงค์ต่างกันโดยสิ้นเชิง”
“ถ้ารวมกันผิดที่ผิดทาง จะส่งผลให้ระบบบำนาญอาจอ่อนแรงลง ตลาดทุนไทยอาจไม่ได้เงินใหม่ และภาคครัวเรือนอาจไม่เพิ่มอัตราการออมจริง”
ทั้งนี้ PVD/RMF เท่ากับ “ระบบบำนาญ” วัตถุประสงค์ชัดเจนเพื่อปกป้องความมั่นคงทางการเงินเมื่ออายุ 55 ปีขึ้นไป ซึ่งต้องถือยาว ต้องมีวินัย ออกแบบให้เงินโตแบบสม่ำเสมอ เน้นสินทรัพย์ที่เหมาะกับวงจรชีวิต รัฐยอมให้สิทธิทางภาษีสูง เพื่อให้ประชาชนออมหรือบังคับออม ซึ่งเป็นโครงสร้างของระบบสวัสดิการที่แก้ปัญหาสังคมสูงวัย ไม่ใช่เครื่องมือเก็งกำไร เน้น Asset Allocation และเปิดให้กระจายการลงทุนอย่างเหมาะสม และไม่ควรมีแรงจูงใจให้ถอนก่อนเกษียณ
ส่วน TISA เท่ากับ “ระบบออมเพื่อลงทุน” วัตถุประสงค์ต่างจากบำนาญโดยสิ้นเชิง เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการลงทุนให้คนทุกกลุ่ม โดยไม่ผูกกับอายุเกษียณ เป็นบัญชีลงทุนทั่วไป (เหมือน NISA ในประเทศญี่ปุ่น, ISA ในอังกฤษ) โดยเงินสามารถใช้เพื่อเป้าหมายหลากหลาย อาทิ ซื้อบ้าน เริ่มลงทุน สร้างความมั่งคั่ง ลงทุนหุ้นไทย ไม่ควรถูกบีบให้ถือถึง 55 ปี และไม่ใช่เงินเพื่อการเกษียณ แต่เป็นเงินลงทุนขั้นพื้นฐานของประชาชน ทั้งนี้ TISA จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเข้าถึงง่าย ยืดหยุ่น และไม่สร้างภาระกติกาเกินจำเป็น
4 เหตุผลสู่ความสำเร็จ
นายกรภัทรชี้ว่า สาเหตุที่ต้องแยกระบบให้ชัด เนื่องจากเหตุผลเชิงนโยบาย 4 ข้อใหญ่ และทุกประเทศที่สำเร็จทำเหมือนกัน ดังนี้
1.วัตถุประสงค์ต่างกัน กติกาต้องต่างกัน โดยการ “ออมเพื่อเกษียณ” ต้องบังคับยาว ป้องกันความเสี่ยงชีวิต ส่วนการ “ออมเพื่อลงทุน” ต้องเปิดกว้าง คล่องตัว ไม่สร้างกำแพง ถ้ารวมกันจะทำให้ TISA เสียความยืดหยุ่น RMF เสียความเข้มแข็ง
2.ประชาชนจะหยุดลงทุน ถ้ารู้สึกว่าถูกกักเงินจนแก่ คนไทยกลัวระบบแบบ RMF เพราะโดนบังคับถือถึง 55 ปี ถ้า TISA ถูกผูกกับ RMF/PVD (ถือยาว 55 ปี) จะไม่มีใครเปิดบัญชี TISA และโครงการล้มเหลวตั้งแต่วันแรก นี่คือบทเรียนจาก SSF ที่ล้มเหลวเพราะบังคับถือ 10 ปีแบบตายตัว ตรงข้ามกับ NISA ที่คนญี่ปุ่นทั้งประเทศแห่เปิดเพราะยืดหยุ่นและใช้ง่าย
3.การลดหย่อนภาษีต้องรองรับเป้าหมาย 2 แบบ ประเทศที่ระบบดีจะมี 2 กล่องแยกกันชัด ได้แก่ กล่องเกษียณ และกล่องลงทุนทั่วไป ถ้าไทยรวมสิทธิลดหย่อนเข้ากล่องเดียว ประชาชนต้องเลือกระหว่าง “เกษียณ” กับ “ลงทุนระยะสั้น” สุดท้ายอย่างหนึ่งจะถูกละเลย ทำให้โครงสร้างการออมของประเทศบิดเบี้ยว
4.การกระจายเงินเข้าตลาดทุนไทยต้องการเครื่องมือเฉพาะ รัฐต้องการดึงเงินใหม่เข้าตลาดทุนไทย นี่คือเป้าหมายของ TISA แต่ PVD (กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) คนส่วนใหญ่เน้นลงตราสารหนี้เป็นหลัก ส่วน RMF อายุยาว ทำ Asset Allocation แบบ Life-cycle (หุ้นน้อยลงเมื่อแก่ขึ้น) จึงไม่ตอบโจทย์การสร้างตลาดทุนภายในให้เข้มแข็ง ดังนั้นต้องแยก TISA ออกมาเพื่อดึงนักลงทุนรุ่นใหม่ กระจายหุ้นไทย ดึง Fund Flow ภายในประเทศ และเพิ่มลักษณะ Household Participation Rate เหมือน NISA ญี่ปุ่น ที่ทำให้สัดส่วนประชาชนลงทุนหุ้นเพิ่มจาก 20% เป็น 40% ภายในไม่กี่ปี
กรณีศึกษา UK-ญี่ปุ่น-สิงคโปร์
นายกรภัทรระบุว่า หากเทียบเคสต่างประเทศ (Best Practice) ในญี่ปุ่น iDeCo คือ “ออมเพื่อเกษียณ” ล็อกถึงอายุ 60 ปี ส่วน NISA คือ “ออมเพื่อลงทุน” ถอนเงินเมื่อไรก็ได้ ทำให้อัตราการออมเพิ่มทั้ง 2 ระบบ ไม่ใช่แย่งกัน
ขณะที่สหราชอาณาจักร ระบบบำนาญ (Pension) จะจำกัดการถอน, เพดานสูง เหมาะกับเกษียณ ส่วน ISA ยืดหยุ่นที่สุด, ไม่มีภาษีกำไร ส่งผลให้คนอังกฤษใช้ทั้งคู่ และเป็นระบบที่แข็งแรงที่สุดในยุโรป ส่วนสิงคโปร์ มีระบบ CPF-S/CPF-OA คือ การออมเพื่อเกษียณ, SRS เพื่อออมลดภาษี และ Brokerage Account เพื่อความมั่งคั่งระยะยาว
“สามระบบไม่เคยถูกผูกเป็นก้อนเดียว เพราะเป้าหมายต่างกัน หากรัฐบาลต้องการให้ประชาชนมีเงินเกษียณที่มั่นคง ตลาดทุนไทยได้แรงฟื้น อัตราการออมเพิ่ม ความเหลื่อมล้ำลดลง ประชาชนมีวินัยทางการเงิน และโครงการไม่ล้มเหลวแบบ SSF คำตอบเดียวคือต้องแยกระหว่าง PVD/RMF ออกจาก TISA อย่างเบ็ดเสร็จ หากรวมกันจะล้มเหลวสองระบบพร้อมกัน ขณะเดียวกันถ้าแยกกัน ทั้งสองระบบจะแข็งแรงทั้งคู่ และประเทศไทยได้ประโยชน์สูงสุด”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/finance/news-1934167
โบรกวิเคราะห์ TISA หนุนออมยาว หรือ LTF เวอร์ชั่นใหม่ ?
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/finance/news-1934150
ตลาดทุนรุมสับโครงการ TISA ลดหย่อนภาษี ‘ออม-ลงทุน’ คลังดึงกลับทบทวน
ถอนเพ็กเกจกระตุ้นออม-ลงทุน
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้เสนอมาตรการ Quick Big Win เพื่อเพิ่มโอกาสการออมและความมั่นคงทางการเงินของประชาชน ประกอบด้วย โครงการบัญชีการออมส่วนบุคคล หรือ (Thailand Individual Saving Account : TISA) เพื่อเพิ่มช่องทางการลงทุนทั้งในตลาดหลักทรัพย์ฯ พันธบัตรและอื่น ๆ ตามความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละคน พร้อมกับที่มีข้อเสนอกำหนดเพดานค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดารวมสูงสุด 800,000 บาท โดยคนที่มีเงินได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี สามารถลดหย่อนได้ 1.3 เท่า ส่วนผู้มีเงินได้เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี ลดหย่อนภาษีได้ 0.7 เท่า รวมทั้งยกเว้นภาษี ณ ที่จ่าย ดอกเบี้ย-เงินปันผล 200,000 บาทแรก
นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “พันธบัตร ออมพลัส” เพื่อสร้างความมั่นใจในการออมระยะยาว ด้วยพันธบัตรรัฐบาลที่มีความมั่นคงสูง และการยกเว้นอากรแสตมป์สำหรับการซื้อประกันรายย่อย โดยทั้งหมดนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.) เศรษฐกิจมาแล้ว อย่างไรก็ดี สุดท้ายมีการถอนวาระเรื่องดังกล่าวกลับไปทบทวนก่อน
“เดิมจะบรรจุเป็นวาระจร แต่สุดท้ายก็ถอนออกมาก่อน เพราะมีเสียงค้านเยอะ เนื่องจากคนอาจจะยังไม่เห็นภาพรวมทั้งหมด เห็นแต่ที่เป็นข่าว ดังนั้น คลังต้องไปทำรายละเอียดคำอธิบายมาให้เห็นภาพชัดเจน ซึ่งอาจเสนอเข้า ครม.สัปดาห์หน้า พร้อมกับมาตรการคนละครึ่ง พลัส เฟส 2” แหล่งข่าวกล่าว
ยิงนัดเดียวได้นกหลายตัว
โดยนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวหลังประชุม ครม.เศรษฐกิจว่า ครม.เศรษฐกิจมีมติเห็นชอบมาตรการ “เสาหลักที่ 5” ภายใต้นโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล ทั้งการจัดทำโครงการบัญชีการออมส่วนบุคคล หรือ (TISA) มุ่งเน้นการส่งเสริมการออมและการลงทุนระยะยาวให้กับประชาชนรายย่อย ซึ่งให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีแบบเดิม อย่างเช่น RMF, PVD (กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) เป็นต้น โดยให้วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 800,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ที่มีเงินได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี ลดหย่อนได้ 1.3 เท่า ส่วนผู้มีเงินได้เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี ลดหย่อนได้ 0.7 เท่า
“ประชาชน 11.7 ล้านคน ที่อยู่ในระบบภาษี จะได้ประโยชน์จากส่วนนี้ เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้มีการระดมทุนสู่ตลาดมากขึ้น ยิงนกครั้งเดียวได้นกหลายตัว”
ไม่เห็นด้วย “ลดหย่อนไม่เท่ากัน”
แหล่งข่าวจากแวดวงตลาดทุนกล่าวว่า ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังหารือกับตลาดทุน ในเรื่องโครงการ TISA ที่กำหนดวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 800,000 บาท แต่ไม่ได้หารือถึงเรื่องโครงสร้างรายได้ของผู้ที่จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ที่ล่าสุดออกมาว่า ให้ผู้มีรายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี นำเงินลงทุนไปลดหย่อนภาษีได้ 1.3 เท่า ส่วนผู้มีรายได้เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี ลดหย่อนได้ 0.7 เท่า ซึ่งจุดนี้จะกระทบกับเม็ดเงินในตลาดทุน ทำให้เริ่มมีเสียงไม่เห็นด้วย
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย กล่าวว่า “มาตรการที่ออกมายังมีความไม่ชัดเจน อย่างไรก็ดี การกำหนดเกณฑ์เพดานลดหย่อน 8แสนบาท โดยผู้มีเงินได้เกิน 1.5 ล้านบาท ลดหย่อนภาษีได้เพียง 0.7 เท่า ประเด็นที่ต้องติดตามคือ กลุ่มผู้เสียภาษีฐานสูง ซึ่งเป็นฐานหลักของการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี จะมีแรงจูงใจมากเพียงใด ขณะที่การหวังพึ่งกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ก็ต้องตั้งคำถามว่า ผู้ที่มีรายได้ต่อปีไม่ถึง 1 ล้านบาท จะสามารถนำเงินกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งปีมาลงทุนได้จริงหรือไม่ ซึ่งอาจมีบางส่วน แต่ไม่น่าจะเป็นจำนวนมาก”
นายสรพลกล่าวด้วยว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลเชิงบวก กลาง หรือเชิงลบต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากยังต้องรอรายละเอียดที่ชัดเจนจากการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามต่อ คือเพดานลงทุน 800,000 บาท จะนับรวมกับสิทธิเดิมหรือไม่ และการเปิดให้ซื้อหุ้นเพื่อลดหย่อนภาษีจะทำให้เงินไหลออกจากกองทุน หรือก่อให้เกิดเงินใหม่เข้าสู่ระบบมากน้อยเพียงใด
ขณะที่ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการที่ดี แม้คนมีรายได้เกิน 1.5 ล้านบาท จะหักลดหย่อนได้น้อยลง แต่ระยะยาวดี โดยเฉพาะการยกเว้นภาษีเงินปันผล ดอกเบี้ยปีละ 200,000 บาท ซึ่งจะทำให้คนออมในระยะยาวมากขึ้น
คล้าย LTF เน้นลดหย่อนภาษี
ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุว่า TISA เป็นบัญชีออม-ลงทุนที่ให้สิทธิยกเว้นภาษีเงินปันผลและกำไรจากการลงทุน ที่มีต้นแบบจาก ISA ในอังกฤษ และ NISA ในญี่ปุ่น ซึ่งทั้งสองประเทศประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนโครงสร้างสินทรัพย์ครัวเรือน โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่สัดส่วนการลงทุนต่อเงินฝากเพิ่มจาก 17% (2015) เป็น 23.6% (ปี 2567) และมีผู้ใช้ NISA เพิ่มจาก 8.3 ล้านบัญชี (ปี 2557) เป็น 25.6 ล้านบัญชี (ปี 2567)
อย่างไรก็ตาม แนวนโยบาย TISA ของกระทรวงการคลังจะใช้กลไกลดหย่อนภาษีแทนการยกเว้นภาษี ซึ่งต่างจากของอังกฤษและญี่ปุ่น ที่ให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนเงินปันผล และ Capital Gain Tax ทำให้ TISA มีลักษณะเป็นเพียง “LTF เวอร์ชั่นใหม่” ที่เน้นให้ผลประโยชน์ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูง ไม่ใช่การปฏิรูปโครงสร้างที่แท้จริง
นอกจากนี้ การกำหนดเพดานลดหย่อนภาษีรวมไม่เกิน 800,000 บาทต่อปี จะทำให้แรงจูงใจในการลงทุนในตลาดทุนลดลง เนื่องจากผู้เสียเงินได้บุคคลธรรมดาของไทยมีเพียง 15.9% ของประชากร (ต่ำกว่า UK 50.6%, ญี่ปุ่น 18.4%) ยิ่งไปกว่านั้น ในกรณีของญี่ปุ่น (NISA) ทางการได้มีการปฎิรูปนโยบายการเงิน การคลัง รวมถึงพัฒนาธรรมาภิบาลไปพร้อมกัน (นโยบายธนูสามดอก) ขณะที่ในกรณีของไทยเป็นเพียงแต่การสนับสนุนตลาดทุนผ่านมาตรการภาษี
“ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ TISA อาจไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร อย่างไรก็ดี เนื่องจากการวิเคราะห์ครั้งนี้ อ้างอิงข้อมูลที่เผยแพร่ล่าสุด แต่ยังไม่ได้ประกาศเป็นทางการ ซึ่งรายละเอียดในความเป็นจริงอาจแตกต่างจากที่สื่อสารมาก่อนหน้านี้ได้ โดยหากทางการปฏิรูปนโยบายการเงินการคลัง และธรรมาภิบาลอย่างเป็นระบบ ผลบวกของมาตรการ TISA อาจสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ได้”
บำนาญไม่ใช่ “ออมเพื่อลงทุน”
นายกรภัทร วรเชษฐ์ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี ระบุว่า กรณีที่ประเทศไทยกำลังจะอนุมัติ TISA เพื่อสร้างวินัยการออมและเพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการลงทุนมากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ รัฐควรออกแบบ TISA ให้แยกจาก PVD/RMF อย่างเด็ดขาด และเน้นสินทรัพย์การออมการลงทุนในประเทศเป็นหลัก เพราะสองกลไกนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อ “วัตถุประสงค์ต่างกันโดยสิ้นเชิง”
“ถ้ารวมกันผิดที่ผิดทาง จะส่งผลให้ระบบบำนาญอาจอ่อนแรงลง ตลาดทุนไทยอาจไม่ได้เงินใหม่ และภาคครัวเรือนอาจไม่เพิ่มอัตราการออมจริง”
ทั้งนี้ PVD/RMF เท่ากับ “ระบบบำนาญ” วัตถุประสงค์ชัดเจนเพื่อปกป้องความมั่นคงทางการเงินเมื่ออายุ 55 ปีขึ้นไป ซึ่งต้องถือยาว ต้องมีวินัย ออกแบบให้เงินโตแบบสม่ำเสมอ เน้นสินทรัพย์ที่เหมาะกับวงจรชีวิต รัฐยอมให้สิทธิทางภาษีสูง เพื่อให้ประชาชนออมหรือบังคับออม ซึ่งเป็นโครงสร้างของระบบสวัสดิการที่แก้ปัญหาสังคมสูงวัย ไม่ใช่เครื่องมือเก็งกำไร เน้น Asset Allocation และเปิดให้กระจายการลงทุนอย่างเหมาะสม และไม่ควรมีแรงจูงใจให้ถอนก่อนเกษียณ
ส่วน TISA เท่ากับ “ระบบออมเพื่อลงทุน” วัตถุประสงค์ต่างจากบำนาญโดยสิ้นเชิง เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการลงทุนให้คนทุกกลุ่ม โดยไม่ผูกกับอายุเกษียณ เป็นบัญชีลงทุนทั่วไป (เหมือน NISA ในประเทศญี่ปุ่น, ISA ในอังกฤษ) โดยเงินสามารถใช้เพื่อเป้าหมายหลากหลาย อาทิ ซื้อบ้าน เริ่มลงทุน สร้างความมั่งคั่ง ลงทุนหุ้นไทย ไม่ควรถูกบีบให้ถือถึง 55 ปี และไม่ใช่เงินเพื่อการเกษียณ แต่เป็นเงินลงทุนขั้นพื้นฐานของประชาชน ทั้งนี้ TISA จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเข้าถึงง่าย ยืดหยุ่น และไม่สร้างภาระกติกาเกินจำเป็น
4 เหตุผลสู่ความสำเร็จ
นายกรภัทรชี้ว่า สาเหตุที่ต้องแยกระบบให้ชัด เนื่องจากเหตุผลเชิงนโยบาย 4 ข้อใหญ่ และทุกประเทศที่สำเร็จทำเหมือนกัน ดังนี้
1.วัตถุประสงค์ต่างกัน กติกาต้องต่างกัน โดยการ “ออมเพื่อเกษียณ” ต้องบังคับยาว ป้องกันความเสี่ยงชีวิต ส่วนการ “ออมเพื่อลงทุน” ต้องเปิดกว้าง คล่องตัว ไม่สร้างกำแพง ถ้ารวมกันจะทำให้ TISA เสียความยืดหยุ่น RMF เสียความเข้มแข็ง
2.ประชาชนจะหยุดลงทุน ถ้ารู้สึกว่าถูกกักเงินจนแก่ คนไทยกลัวระบบแบบ RMF เพราะโดนบังคับถือถึง 55 ปี ถ้า TISA ถูกผูกกับ RMF/PVD (ถือยาว 55 ปี) จะไม่มีใครเปิดบัญชี TISA และโครงการล้มเหลวตั้งแต่วันแรก นี่คือบทเรียนจาก SSF ที่ล้มเหลวเพราะบังคับถือ 10 ปีแบบตายตัว ตรงข้ามกับ NISA ที่คนญี่ปุ่นทั้งประเทศแห่เปิดเพราะยืดหยุ่นและใช้ง่าย
3.การลดหย่อนภาษีต้องรองรับเป้าหมาย 2 แบบ ประเทศที่ระบบดีจะมี 2 กล่องแยกกันชัด ได้แก่ กล่องเกษียณ และกล่องลงทุนทั่วไป ถ้าไทยรวมสิทธิลดหย่อนเข้ากล่องเดียว ประชาชนต้องเลือกระหว่าง “เกษียณ” กับ “ลงทุนระยะสั้น” สุดท้ายอย่างหนึ่งจะถูกละเลย ทำให้โครงสร้างการออมของประเทศบิดเบี้ยว
4.การกระจายเงินเข้าตลาดทุนไทยต้องการเครื่องมือเฉพาะ รัฐต้องการดึงเงินใหม่เข้าตลาดทุนไทย นี่คือเป้าหมายของ TISA แต่ PVD (กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) คนส่วนใหญ่เน้นลงตราสารหนี้เป็นหลัก ส่วน RMF อายุยาว ทำ Asset Allocation แบบ Life-cycle (หุ้นน้อยลงเมื่อแก่ขึ้น) จึงไม่ตอบโจทย์การสร้างตลาดทุนภายในให้เข้มแข็ง ดังนั้นต้องแยก TISA ออกมาเพื่อดึงนักลงทุนรุ่นใหม่ กระจายหุ้นไทย ดึง Fund Flow ภายในประเทศ และเพิ่มลักษณะ Household Participation Rate เหมือน NISA ญี่ปุ่น ที่ทำให้สัดส่วนประชาชนลงทุนหุ้นเพิ่มจาก 20% เป็น 40% ภายในไม่กี่ปี
กรณีศึกษา UK-ญี่ปุ่น-สิงคโปร์
นายกรภัทรระบุว่า หากเทียบเคสต่างประเทศ (Best Practice) ในญี่ปุ่น iDeCo คือ “ออมเพื่อเกษียณ” ล็อกถึงอายุ 60 ปี ส่วน NISA คือ “ออมเพื่อลงทุน” ถอนเงินเมื่อไรก็ได้ ทำให้อัตราการออมเพิ่มทั้ง 2 ระบบ ไม่ใช่แย่งกัน
ขณะที่สหราชอาณาจักร ระบบบำนาญ (Pension) จะจำกัดการถอน, เพดานสูง เหมาะกับเกษียณ ส่วน ISA ยืดหยุ่นที่สุด, ไม่มีภาษีกำไร ส่งผลให้คนอังกฤษใช้ทั้งคู่ และเป็นระบบที่แข็งแรงที่สุดในยุโรป ส่วนสิงคโปร์ มีระบบ CPF-S/CPF-OA คือ การออมเพื่อเกษียณ, SRS เพื่อออมลดภาษี และ Brokerage Account เพื่อความมั่งคั่งระยะยาว
“สามระบบไม่เคยถูกผูกเป็นก้อนเดียว เพราะเป้าหมายต่างกัน หากรัฐบาลต้องการให้ประชาชนมีเงินเกษียณที่มั่นคง ตลาดทุนไทยได้แรงฟื้น อัตราการออมเพิ่ม ความเหลื่อมล้ำลดลง ประชาชนมีวินัยทางการเงิน และโครงการไม่ล้มเหลวแบบ SSF คำตอบเดียวคือต้องแยกระหว่าง PVD/RMF ออกจาก TISA อย่างเบ็ดเสร็จ หากรวมกันจะล้มเหลวสองระบบพร้อมกัน ขณะเดียวกันถ้าแยกกัน ทั้งสองระบบจะแข็งแรงทั้งคู่ และประเทศไทยได้ประโยชน์สูงสุด”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1934167
โบรกวิเคราะห์ TISA หนุนออมยาว หรือ LTF เวอร์ชั่นใหม่ ?
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1934150