ตอนที่ 1
http://pantip.com/topic/34155419
ก่อนจะจบตอนที่ 1 ผมได้อธิบายวิธีขึ้นรถไฟในญี่ปุ่นพอสมควร น่าจะช่วยให้ใช้รถไฟได้ง่ายขึ้น

ก่อนจะถึงโรงแรม
ผมเป็นคนที่ชอบรถไฟพอสมควร ทริปนี้เลยไม่ล่ะเว้นที่จะขึ้นรถไฟ แม้จะเป็นทริปสั้น ๆ ของผม คือชอบรถไฟ มีพี่คนหนึ่งคอมเม้นกระทู้ ในเฟสบุคผม ตอนถึงญี่ปุ่น นั่งรถไฟเที่ยวในญี่ปุน มันส์ล่ะ เข้าบอกแบบนี้ มันไหมล่ะ พึ่งมาถึง ตั้งตัวตั้งหลักอะไร ยังไม่ทันได้เลย ต้องกระโดดขึ้นรถไฟอันสุดโหด ของญี่ปุ่น
นั่งแบบ ธรรมดา ต้องต่อรถหลายเที่ยวมากครับ แถมต้องไปเชคอินห้องพัก ภายในเวลา ตี1 ตอนผมถึงก็สามทุ่ม กว่าจะได้ตั๋วรถไฟ แถมยังไม่รู้อีกว่า สนามบินนาริตะมันห่างจาก Yokohama แค่ไหน ระหว่างทางก็หิวข้าว จนปวดหัว ดีที่ได้ชาลิปตันขวดแรกที่ซื้อ ที่สนามบินมา ระหว่างรอเปลี่ยนรถไฟนั่นเอง เหลือบมองไปเห็น ตู้ขายขนม บวกกับอาการหิวจนปวดหัวของผม ขนมห่อนี้ที่ช่วยชีวิต ใส่เงิน แล้วกดมันออกมา โอ้ยถ้าไม่มีเครื่องนี้คงหิวแน่ๆเลย กินไปเดินไป เพราะต้องไปซื้อ ตั๋วรถไฟ เพื่อเดินทางสถานีต่อไป ถามว่าตอนนี้ผมซื้อเป็นไหม ยังไม่เป็น มันใจภาษาอังกฤษ ไม่รู้นึกถึงครู เพ็ญศรี สอนภาษาอังกฤษ ตอนเด็ก เลยทีเดียว ถามสิครับ จะไปเมืองนี้ พนักงานเขาก็บอกว่า ราคาเท่านี้ ผมก็ยืนงง จนพนักงานออกมาช่วย ซื้อตั๋วที่ช่องขายตั๋วให้ ไอ้ที่ปริ้นมาก็ดีอยู่น่ะ แต่สิ่งสำคัญคือ ภาษาอังกฤษ ได้บ้างพอสื่อสารได้ บวกความน่ารักของเราต้องถามน่ะครับ ไม่งั้นไม่ถึงที่พักแน่ ซื้อตั๋วเสร็จหญิงสาวพนักงานประจำสถานี้รถไฟ ก็ชี้ไป ป้ายLED ตัวหนังสือวิ่ง ๆ บอกว่าจะไปที่นี้รถจะมากี่โมง และต้องไปรอที่ชานชลาไหน เสร็จเราก็ ของคุณเขา และไปรอรถไฟ ระหว่างทาง โอ้ยไกลจัง จอดทุกป้ายไม่ถึงสักที่ เชคอินสถานี้ที่ผ่าน เกือบทุกสถานี ตื่นเต้นอะน่ะ มาญี่ปุ่นครั้งแรก นั่งไปจนสุดสาย ยังไม่ถึงอีก สถานีจุดหมายปลายทาง นั่งอยู่บนรถไฟจนคนในรถไฟออกหมด เพราะไม่รู้จะไปไงต่อ มาแบบงงครับ พนักงานขับรถไฟก็มาบอกให้ลงจากรถถ้าไปสถานี้ให้ไปต่อรถอีกฝั่ง แล้วเราก็ต้องใช้ตัวช่วย Google map แบบเดิมแต่ก็งง ถามอีกสิครับ ถามคนญี่ปุ่นที่ยืนอยู่แถว ๆ นั้นและ ผมไปสถานีไปไงอ่ะ ถามเป็นภาษาอังกฤษหน่ะ เขาก็งงน่ะ แต่เขาก็หยิบมือถือขี้นมาค้นหาข้อมูลให้เรา คนญุ่ปุ่นน่ารักใจดีอีกแล้ว บอกว่าต้องไปสายนี้ พอบอกสายเราเสร็จเขาก็มองหาชานฉลาหากันไม่เจรอซักที จนผมเหลือบไปเห็นนี้ไงชานชลานี้เองอยู่ข้าง ๆ หลังเรานี้ไง

ถึงโรงแรมสักที
จากสถานีรถไฟหากจากโรงแรมประมาณ 500 เมตร สิ่งหนึ่งที่อยากเล่า คือเรื่องที่กั้นตอนเข้าออกสถานีรถไฟ ผมเคยโดยไอ้เครื่องนี้ที่บ้าน เราไม่ว่าจะเป็นบีทีเอส เอ็มอาร์ที บ้านเรา มันกระแทกสะโพกผม น่ากลัวชะมัด ขึ้นทีไรละแวงทุกรอบ แต่พอมาญุ่ปุ่น มันเป็นแบบอยู่ด้านหน้าเรา เป็นคล้ายๆ บานหน้าต่าง เล็ก ๆ สองอันมันจะเปิด เข้าเปิดออก ตอนเราออกจากสถานี เลยรู้สักว่า แบบนี้แหละดี ไม่กลัวกระแทกสะโพก และผมคิดว่าเขาออกแบบมาดีเพราะยังไม่เราก็มองเห็นเลยไม่เดินชนมันแน่นอน บอกเลยครับ นอน hostel พอมาถึง หน้าโหสเทล เชคอินตรงไหนเนีย เห็นห้องกระจก เล็กๆ ตรงประตู้ทางเข้าแต่เขาปิดมานไปแล้ว มองนาฬิกายังไม่ตีหนึ่งเลย ยังไงเนีย เดินวนเวียนบวกอาการเซ็งอยู่ตรงนั้น หรือจะนอนหน้าประตู้นี้แหละ เป็นไงเป็นกัน สุดท้ายตัดใจใช้มือเคาะกระจกห้องนั้นและ ห้องด้านหน้าประตูนั้นแหละ เคาะไปสามที อย่างหนัก มีแสงไฟในห้องเปิดขึ้นมา เย้มีห้องเลยแล้วโว้ย กระโดนบอกเลย 55 มีป้าคนนึงเปิดกระจกบานเลื่อนและเอากระดาษทีมีรายชื่อออกมาให้เราดู ว่าชื่อเราอันไหน เราก็ชี้ไปที่ชื่อเราและบอกว่า It me ผมนี้แหละครับ เขาก็ไปส่งที่ห้อง ห้องประมาน 1 เตียงนอน ห้องน้ำรวม แต่เป็นห้องแยก ไม่ใช่ห้องแบบเตียงหลาย ๆ อยู่ในห้องเดียวกัน เลยสบายหน่อยไม่ต้องระแวง ว่าคนอื่นจะมากวน เวลาเราพักผ่อน ห้องอาบน้ำต้องจ่าย ครั้งล่ะ 100 เยน อาบได้ 4 นาทีมั้ง ทักษะมีอาบน้ำใช้เลยตอนนี้ ดีที่มันกดหยุดได้และมันก็หยุดเวลาด้วยทำให้เราอาบได้อย่างสบาย อาบน้ำเสร็จหิวข้าว ตอนนั้น ประมาณเวลา ตีหนึ่งได้ เดินออกมาตามถนนเงียบเชียวแต่ไม่น่ากลัว บ้านเราหน้ากลัวกว่า ไปร้านลอนสัน ดีกว่า ได้ของกิน มาครับ มีเรื่องเล่าอีก พอไปที่ร้านก็ตกใจกับป้ายราคา ที่ญี่ปุนจะมีราคาสองราคา คือราคาที่รวม ภาษี กับ ไม่รวมภาษี ภาษี 8 เปอร์เซ็นน่ะครับ ตอนแรกก็มองแต่ราคาที่เป็นหลักแบบยังไม่รวมภาษี พอมาจ่ายเงินทำไมเป็นอีกราคา อย่าไปเถียงพนักงานเขาน่ะครับ เราอ่ะผิดเอง ต้องดูในดีน่ะครับเวลาไปเที่ยวประเทศนี้ เพราะถ้าเราซื้อไม่ถึง หนึ่งเยนจะคืนภาษีไม่ได้ และบางร้านถึงซื้อถึงก็คืนไม่ได้ แต่บางร้านก็จะปลอดภาษีอยู่แล้วครับ อย่างเช่นร้าน Bic ขายพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า ถูกมากครับ กล้องแบบว่าตกรุ่นแล้ว เก้าพันกว่าเยน แต่บ้านเรายังแพงอยู่เลย ที่นู้นเครื่องใช้ไฟฟ้าอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ถูกมากครับบอกเลย

วันแรกออกเดินทาง Kamakura
ตามหนังสือไกด์บุคแนะนำว่า เมืองนี้เป็นเมือง ที่เราสามารถเดินเที่ยวแบบไป-กลับได้ในวันเดียว เราก็เดินทางด้วยรถไฟ ครับ ไม่ยากครับที่นี้ไม่ต้องต่อรถไฟเยอะ แต่ก็ต้องต่อยู่น่ะแต่เริ่มเก่งขึ้นมาบ้าง บอกว่าตัวเองขึ้นเก่งความรู้สีกตอนนั้น เลยทำให้ขึ้นผิดทิศผิดทางอีก เข้าไปนั่งได้สักพักรู้สึกลังเลใจ เลยถ้าพี่ผู้หญิงชาวญี่ปุ่นข้าง ๆ ว่า อิค คิว มี ดิส เทรน ทู คามาคูรา เขาตอบกลับมาว่า No และชี้ให้เราไปขึ้นอีกฝั่ง เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ครูสอนภาษาอักกฤษผมจำได้ทุกคน และบอกตัวเองอีกรอบแกเป็นเด็กต่างถิ่นอย่ามาเก่ง ผู้หญิงคนนั้นมิวาย ที่จะละสายตาจากเรา เพื่อให้แน่ใจว่าเรา ขึ้นรถถูกคัน และแล้วผมก็มองเห็นและกลับไปสบตาเธอ แล้วโค้งคำนับให้ เธอก็ยกมือบาย ๆให้ผม และนั่งลง รถไฟฟ้าของเราทั้งคู่ก็วิ่งออกจากสถานีพร้อมกัน ประทับใจครับ ได้ยินว่าญี่ปุ่นเป็นชาตินิยมสูงไม่พูดภาษาอังกฤษ ก็จริงแต่เขาฟังเราออกอ่ะ จึงทำให้ผมได้ไปที่ Kamakura สมใจ พอถึงเมือง Kamakura อากาศร้อนมาก ยิ่งกว่าเมืองไทยก็ว่าได้ อบอ้าว มากครับ ไกด์บุคบอกให้ ใช้รถเมลล์ท่องเที่ยว แต่ผมคิดว่ารถเมล์น่าจะไม่สะดวก เดินเอาดีกว่า สำผัสบรรยากาศว่างั้น หน่ะ คิดไปเอง คิดได้ไง เดินไปตามแผนที่ก็ไม่ถึงสักที เดินไปประมาณ สองกิโลเมตร ทางขึ้นเขาลัดเลาะไปตามถนนในเมืองนั้น โอ้ยเหนื่อยล่ะ เดินกลับ ระหว่างทางเอาไงดี เดินไม่ไหวแล้ว สถานีรถประจำทางก็หาไม่เจรอ ที่แท้สถานีรถประจำทางติดกับสถานีรถไฟ แต่ผมดันออกมาอีกด้านเลยหาไม่เจรอ เลยค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ว่าจะเช่ารถจักรยานที่เมืองนี้ได้ไหม ก็มีข้อมูลอยู่น้อยมาก บวกกับคงดวงดีเดินตามเขาไปมีอุโมงค์ลอดใต้ทางรถไฟ ไฟอีกฝั่งเจรอสถานีรถเมล์ กับเจรอที่เช่าจักรยาน สุดท้ายเราก็เลือกจักรยาน เข้าไปเช่าจักรยานกับคุณตา ใจดีมากครับ เขาพูดภาษาอังกฤษพอได้ ค่าเช่ารถจักรยานของผม เป็นแบบแม่บ้าน มีเกียร์ จำราคาไม่ได้อ่ะ ประมาณ 2400 เยนหรือเปล่าจำไม่ได้จริงครับ ได้จักรยานมาแล้วทุนแรงไปอีก พร้อมล่ะ เราสู้อยู่แล้ว เพราะเราออกกำลัง กายตลอด ตีแบดตอนอยู่ไทย ตีเกือบทุกวัน การปั่นจักรยานที่นี้เลยไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา แต่ไอ้ ชุดที่ใส่นี้สิ ติดหล่อว่างั้น แต่งตัวไม่ดูสภาพอากาศเลย ใส่กางเกงยีนส์แบบผ้าดิบอ่ะ รองเท้าพอทน ผ้าใบรองเท้าวิ่ง นิวบราลานซ์ เสื้อนี้ก็ไม่ไหว เป็นเสื้อเชิตร์แขนสั้น ไม่ระบายเหงื่อเลย เอาไงได้ก็ต้องปั่น ใจพร้อม กายพร้อม ชุดไม่พร้อม ปั่นไปแบบไม่มีจุดหมาย ผมเห็นเป็นถนนคนเดิน แต่ผมดันปั่นจักรยานเขาไปแบบไม่อายใคร ไม่สนใจใคร แต่ตอนนั้นประมาน สิบโมงเช้าคือ เช้าอยู่คนยังมาเที่ยวไม่เยอะ เลยปั่นลัดเลาะไปตามถนนคนเดินได้สบายหน่อย สองข้างทางเต็มไปด้วยข้าวของ ไอติม ของกิน เยอะแยะไปหมด ไม่ได้ติดช็อปปิ้งเท้าไหร่ของแบบนี้ เลยไม่ได้แวะสักร้าน ใจอยากไปไหว้พระอยากให้ไปถึงจุดหมาย ที่จะมาเมืองนี้คือจะมาไหว้พระ และแล้วปั่นพ้นมาจากถนนคนเดินไม่เท่าไหร่ก็ถึง ศาลเจ้า สึรุงะโอกะ ฮาจิมังงุ
ชื่ออ่านยาก จำไม่ได้หรอก เอาไกด์มาเปิดดูอีกที แบบว่าก่อนเข้าศาลเจ้าเข้าจะมี เป็นบ่อน้ำให้เราทำความสะอาดตัวเราก็เข้าวัดหรือศาลเจ้า ตามความเชื่อใช่ไหม ผมเห็นคนญี่ปุ่นทำ ผมก็ไปทำตาม เนื่องด้วยอากาศร้อนมากมาย น้ำเย็นดีจัง เอาล้างหน้าก่อน เลยเป็นไปได้อยากอาบส่ะตรงนี้ ล้างหน้าเสร็จ ล้างแขน ป่วนปาก สะอาดล่ะ มองหาที่จอดจักรยานก็ไม่มี ทำไงดี ไปจอดใว้ไหนเนีย กลัวเขาด่าเอาจอดไม่เป็นที่เป็นทาง อ่อนึกออกได้ มองไปเห็นข้าง ๆ มีห้องน้ำเล็ก ๆ แอบผมก็เอาจะจักรยานไปจอดใว้หน้าห้องน้ำนั่นแหละ ล็อกล้อเรียบร้อย เดินเข้าไปไหว้พระอย่างสบายใจ ทำไมต้องไปจอดหน้าห้องน้ำ ก็เพราะถ้า รปภ.หรือเจ้าที่จะมาเอารถเราไปเขาก็ต้องคิดว่าเราเข้าห้องน้ำอยู่แน่เลย คิดไปนู้น ขำตังเองน่ะบางที ก็มันหาที่จอดจักรยานไม่เจรออ่ะ ให้ทำไง ยืมวิธีนี้ไปใช้ได้น่ะ ถ้าใครไปเที่ยวเมืองนี้ ไหว้พระสมใจ จิตใจดี ที่วัดก็ไม่มีอะไรเป็นจุดเด่นมาก นอกจาก ถังต่าง ๆ ที่เรียงรายอยู่บนชั้นเยอะเยะไปหมด พอเข้าไปไกล้ ๆเลยนึกออกว่า น่าจะเป็นเหล้าที่คนในเมืองร่วมใจเอามาใว้ที่นี้ เวลามีงานก็จะนำออกมาแจกจ่าย ประมาณว่าเป็นเหล้ามงคลน่ะ ผมคิดว่า ไหว้พระแบบญี่ปุ่น ต้องใช้เหรียญ 5 เยน หรือ 50 เยนจะโชคดี ไม่รู้อ่านมาจากไหนจำไม่ได้อีก ตอนไหว้ก็ค้นหาใหญ่เลย อยากโชคดีไง บรรยายจนเหนื่อย ดีที่เราพอพิมพ์สำผัสได้ทำให้ง่ายต่อการพิมพ์ยาว ได้อย่างไม่ลำบาก เล่าต่อ ในวัดก็จะมีสวนเล็กต้นไม้เยอะมาก เป็นระเบียบเรียบร้อย ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี ตามรูปน่ะ
ผิดพลาดเรื่องภาษาและอาจใช้คำไม่ถูกต้อง ต้องขออภัยคุณครูภาษาไทยช่วยวงเป็นตัวแดง ๆด้วยน่ะครับ
เจรอกันอีกที่ตอนที่ 3 น่ะครับ
[CR] ญี่ปุ่นไม่มีขา (ตอนที่ 2)
http://pantip.com/topic/34155419
ก่อนจะจบตอนที่ 1 ผมได้อธิบายวิธีขึ้นรถไฟในญี่ปุ่นพอสมควร น่าจะช่วยให้ใช้รถไฟได้ง่ายขึ้น
ก่อนจะถึงโรงแรม
ผมเป็นคนที่ชอบรถไฟพอสมควร ทริปนี้เลยไม่ล่ะเว้นที่จะขึ้นรถไฟ แม้จะเป็นทริปสั้น ๆ ของผม คือชอบรถไฟ มีพี่คนหนึ่งคอมเม้นกระทู้ ในเฟสบุคผม ตอนถึงญี่ปุ่น นั่งรถไฟเที่ยวในญี่ปุน มันส์ล่ะ เข้าบอกแบบนี้ มันไหมล่ะ พึ่งมาถึง ตั้งตัวตั้งหลักอะไร ยังไม่ทันได้เลย ต้องกระโดดขึ้นรถไฟอันสุดโหด ของญี่ปุ่น
นั่งแบบ ธรรมดา ต้องต่อรถหลายเที่ยวมากครับ แถมต้องไปเชคอินห้องพัก ภายในเวลา ตี1 ตอนผมถึงก็สามทุ่ม กว่าจะได้ตั๋วรถไฟ แถมยังไม่รู้อีกว่า สนามบินนาริตะมันห่างจาก Yokohama แค่ไหน ระหว่างทางก็หิวข้าว จนปวดหัว ดีที่ได้ชาลิปตันขวดแรกที่ซื้อ ที่สนามบินมา ระหว่างรอเปลี่ยนรถไฟนั่นเอง เหลือบมองไปเห็น ตู้ขายขนม บวกกับอาการหิวจนปวดหัวของผม ขนมห่อนี้ที่ช่วยชีวิต ใส่เงิน แล้วกดมันออกมา โอ้ยถ้าไม่มีเครื่องนี้คงหิวแน่ๆเลย กินไปเดินไป เพราะต้องไปซื้อ ตั๋วรถไฟ เพื่อเดินทางสถานีต่อไป ถามว่าตอนนี้ผมซื้อเป็นไหม ยังไม่เป็น มันใจภาษาอังกฤษ ไม่รู้นึกถึงครู เพ็ญศรี สอนภาษาอังกฤษ ตอนเด็ก เลยทีเดียว ถามสิครับ จะไปเมืองนี้ พนักงานเขาก็บอกว่า ราคาเท่านี้ ผมก็ยืนงง จนพนักงานออกมาช่วย ซื้อตั๋วที่ช่องขายตั๋วให้ ไอ้ที่ปริ้นมาก็ดีอยู่น่ะ แต่สิ่งสำคัญคือ ภาษาอังกฤษ ได้บ้างพอสื่อสารได้ บวกความน่ารักของเราต้องถามน่ะครับ ไม่งั้นไม่ถึงที่พักแน่ ซื้อตั๋วเสร็จหญิงสาวพนักงานประจำสถานี้รถไฟ ก็ชี้ไป ป้ายLED ตัวหนังสือวิ่ง ๆ บอกว่าจะไปที่นี้รถจะมากี่โมง และต้องไปรอที่ชานชลาไหน เสร็จเราก็ ของคุณเขา และไปรอรถไฟ ระหว่างทาง โอ้ยไกลจัง จอดทุกป้ายไม่ถึงสักที่ เชคอินสถานี้ที่ผ่าน เกือบทุกสถานี ตื่นเต้นอะน่ะ มาญี่ปุ่นครั้งแรก นั่งไปจนสุดสาย ยังไม่ถึงอีก สถานีจุดหมายปลายทาง นั่งอยู่บนรถไฟจนคนในรถไฟออกหมด เพราะไม่รู้จะไปไงต่อ มาแบบงงครับ พนักงานขับรถไฟก็มาบอกให้ลงจากรถถ้าไปสถานี้ให้ไปต่อรถอีกฝั่ง แล้วเราก็ต้องใช้ตัวช่วย Google map แบบเดิมแต่ก็งง ถามอีกสิครับ ถามคนญี่ปุ่นที่ยืนอยู่แถว ๆ นั้นและ ผมไปสถานีไปไงอ่ะ ถามเป็นภาษาอังกฤษหน่ะ เขาก็งงน่ะ แต่เขาก็หยิบมือถือขี้นมาค้นหาข้อมูลให้เรา คนญุ่ปุ่นน่ารักใจดีอีกแล้ว บอกว่าต้องไปสายนี้ พอบอกสายเราเสร็จเขาก็มองหาชานฉลาหากันไม่เจรอซักที จนผมเหลือบไปเห็นนี้ไงชานชลานี้เองอยู่ข้าง ๆ หลังเรานี้ไง
ถึงโรงแรมสักที
จากสถานีรถไฟหากจากโรงแรมประมาณ 500 เมตร สิ่งหนึ่งที่อยากเล่า คือเรื่องที่กั้นตอนเข้าออกสถานีรถไฟ ผมเคยโดยไอ้เครื่องนี้ที่บ้าน เราไม่ว่าจะเป็นบีทีเอส เอ็มอาร์ที บ้านเรา มันกระแทกสะโพกผม น่ากลัวชะมัด ขึ้นทีไรละแวงทุกรอบ แต่พอมาญุ่ปุ่น มันเป็นแบบอยู่ด้านหน้าเรา เป็นคล้ายๆ บานหน้าต่าง เล็ก ๆ สองอันมันจะเปิด เข้าเปิดออก ตอนเราออกจากสถานี เลยรู้สักว่า แบบนี้แหละดี ไม่กลัวกระแทกสะโพก และผมคิดว่าเขาออกแบบมาดีเพราะยังไม่เราก็มองเห็นเลยไม่เดินชนมันแน่นอน บอกเลยครับ นอน hostel พอมาถึง หน้าโหสเทล เชคอินตรงไหนเนีย เห็นห้องกระจก เล็กๆ ตรงประตู้ทางเข้าแต่เขาปิดมานไปแล้ว มองนาฬิกายังไม่ตีหนึ่งเลย ยังไงเนีย เดินวนเวียนบวกอาการเซ็งอยู่ตรงนั้น หรือจะนอนหน้าประตู้นี้แหละ เป็นไงเป็นกัน สุดท้ายตัดใจใช้มือเคาะกระจกห้องนั้นและ ห้องด้านหน้าประตูนั้นแหละ เคาะไปสามที อย่างหนัก มีแสงไฟในห้องเปิดขึ้นมา เย้มีห้องเลยแล้วโว้ย กระโดนบอกเลย 55 มีป้าคนนึงเปิดกระจกบานเลื่อนและเอากระดาษทีมีรายชื่อออกมาให้เราดู ว่าชื่อเราอันไหน เราก็ชี้ไปที่ชื่อเราและบอกว่า It me ผมนี้แหละครับ เขาก็ไปส่งที่ห้อง ห้องประมาน 1 เตียงนอน ห้องน้ำรวม แต่เป็นห้องแยก ไม่ใช่ห้องแบบเตียงหลาย ๆ อยู่ในห้องเดียวกัน เลยสบายหน่อยไม่ต้องระแวง ว่าคนอื่นจะมากวน เวลาเราพักผ่อน ห้องอาบน้ำต้องจ่าย ครั้งล่ะ 100 เยน อาบได้ 4 นาทีมั้ง ทักษะมีอาบน้ำใช้เลยตอนนี้ ดีที่มันกดหยุดได้และมันก็หยุดเวลาด้วยทำให้เราอาบได้อย่างสบาย อาบน้ำเสร็จหิวข้าว ตอนนั้น ประมาณเวลา ตีหนึ่งได้ เดินออกมาตามถนนเงียบเชียวแต่ไม่น่ากลัว บ้านเราหน้ากลัวกว่า ไปร้านลอนสัน ดีกว่า ได้ของกิน มาครับ มีเรื่องเล่าอีก พอไปที่ร้านก็ตกใจกับป้ายราคา ที่ญี่ปุนจะมีราคาสองราคา คือราคาที่รวม ภาษี กับ ไม่รวมภาษี ภาษี 8 เปอร์เซ็นน่ะครับ ตอนแรกก็มองแต่ราคาที่เป็นหลักแบบยังไม่รวมภาษี พอมาจ่ายเงินทำไมเป็นอีกราคา อย่าไปเถียงพนักงานเขาน่ะครับ เราอ่ะผิดเอง ต้องดูในดีน่ะครับเวลาไปเที่ยวประเทศนี้ เพราะถ้าเราซื้อไม่ถึง หนึ่งเยนจะคืนภาษีไม่ได้ และบางร้านถึงซื้อถึงก็คืนไม่ได้ แต่บางร้านก็จะปลอดภาษีอยู่แล้วครับ อย่างเช่นร้าน Bic ขายพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า ถูกมากครับ กล้องแบบว่าตกรุ่นแล้ว เก้าพันกว่าเยน แต่บ้านเรายังแพงอยู่เลย ที่นู้นเครื่องใช้ไฟฟ้าอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ถูกมากครับบอกเลย
วันแรกออกเดินทาง Kamakura
ตามหนังสือไกด์บุคแนะนำว่า เมืองนี้เป็นเมือง ที่เราสามารถเดินเที่ยวแบบไป-กลับได้ในวันเดียว เราก็เดินทางด้วยรถไฟ ครับ ไม่ยากครับที่นี้ไม่ต้องต่อรถไฟเยอะ แต่ก็ต้องต่อยู่น่ะแต่เริ่มเก่งขึ้นมาบ้าง บอกว่าตัวเองขึ้นเก่งความรู้สีกตอนนั้น เลยทำให้ขึ้นผิดทิศผิดทางอีก เข้าไปนั่งได้สักพักรู้สึกลังเลใจ เลยถ้าพี่ผู้หญิงชาวญี่ปุ่นข้าง ๆ ว่า อิค คิว มี ดิส เทรน ทู คามาคูรา เขาตอบกลับมาว่า No และชี้ให้เราไปขึ้นอีกฝั่ง เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ครูสอนภาษาอักกฤษผมจำได้ทุกคน และบอกตัวเองอีกรอบแกเป็นเด็กต่างถิ่นอย่ามาเก่ง ผู้หญิงคนนั้นมิวาย ที่จะละสายตาจากเรา เพื่อให้แน่ใจว่าเรา ขึ้นรถถูกคัน และแล้วผมก็มองเห็นและกลับไปสบตาเธอ แล้วโค้งคำนับให้ เธอก็ยกมือบาย ๆให้ผม และนั่งลง รถไฟฟ้าของเราทั้งคู่ก็วิ่งออกจากสถานีพร้อมกัน ประทับใจครับ ได้ยินว่าญี่ปุ่นเป็นชาตินิยมสูงไม่พูดภาษาอังกฤษ ก็จริงแต่เขาฟังเราออกอ่ะ จึงทำให้ผมได้ไปที่ Kamakura สมใจ พอถึงเมือง Kamakura อากาศร้อนมาก ยิ่งกว่าเมืองไทยก็ว่าได้ อบอ้าว มากครับ ไกด์บุคบอกให้ ใช้รถเมลล์ท่องเที่ยว แต่ผมคิดว่ารถเมล์น่าจะไม่สะดวก เดินเอาดีกว่า สำผัสบรรยากาศว่างั้น หน่ะ คิดไปเอง คิดได้ไง เดินไปตามแผนที่ก็ไม่ถึงสักที เดินไปประมาณ สองกิโลเมตร ทางขึ้นเขาลัดเลาะไปตามถนนในเมืองนั้น โอ้ยเหนื่อยล่ะ เดินกลับ ระหว่างทางเอาไงดี เดินไม่ไหวแล้ว สถานีรถประจำทางก็หาไม่เจรอ ที่แท้สถานีรถประจำทางติดกับสถานีรถไฟ แต่ผมดันออกมาอีกด้านเลยหาไม่เจรอ เลยค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ว่าจะเช่ารถจักรยานที่เมืองนี้ได้ไหม ก็มีข้อมูลอยู่น้อยมาก บวกกับคงดวงดีเดินตามเขาไปมีอุโมงค์ลอดใต้ทางรถไฟ ไฟอีกฝั่งเจรอสถานีรถเมล์ กับเจรอที่เช่าจักรยาน สุดท้ายเราก็เลือกจักรยาน เข้าไปเช่าจักรยานกับคุณตา ใจดีมากครับ เขาพูดภาษาอังกฤษพอได้ ค่าเช่ารถจักรยานของผม เป็นแบบแม่บ้าน มีเกียร์ จำราคาไม่ได้อ่ะ ประมาณ 2400 เยนหรือเปล่าจำไม่ได้จริงครับ ได้จักรยานมาแล้วทุนแรงไปอีก พร้อมล่ะ เราสู้อยู่แล้ว เพราะเราออกกำลัง กายตลอด ตีแบดตอนอยู่ไทย ตีเกือบทุกวัน การปั่นจักรยานที่นี้เลยไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา แต่ไอ้ ชุดที่ใส่นี้สิ ติดหล่อว่างั้น แต่งตัวไม่ดูสภาพอากาศเลย ใส่กางเกงยีนส์แบบผ้าดิบอ่ะ รองเท้าพอทน ผ้าใบรองเท้าวิ่ง นิวบราลานซ์ เสื้อนี้ก็ไม่ไหว เป็นเสื้อเชิตร์แขนสั้น ไม่ระบายเหงื่อเลย เอาไงได้ก็ต้องปั่น ใจพร้อม กายพร้อม ชุดไม่พร้อม ปั่นไปแบบไม่มีจุดหมาย ผมเห็นเป็นถนนคนเดิน แต่ผมดันปั่นจักรยานเขาไปแบบไม่อายใคร ไม่สนใจใคร แต่ตอนนั้นประมาน สิบโมงเช้าคือ เช้าอยู่คนยังมาเที่ยวไม่เยอะ เลยปั่นลัดเลาะไปตามถนนคนเดินได้สบายหน่อย สองข้างทางเต็มไปด้วยข้าวของ ไอติม ของกิน เยอะแยะไปหมด ไม่ได้ติดช็อปปิ้งเท้าไหร่ของแบบนี้ เลยไม่ได้แวะสักร้าน ใจอยากไปไหว้พระอยากให้ไปถึงจุดหมาย ที่จะมาเมืองนี้คือจะมาไหว้พระ และแล้วปั่นพ้นมาจากถนนคนเดินไม่เท่าไหร่ก็ถึง ศาลเจ้า สึรุงะโอกะ ฮาจิมังงุ
ชื่ออ่านยาก จำไม่ได้หรอก เอาไกด์มาเปิดดูอีกที แบบว่าก่อนเข้าศาลเจ้าเข้าจะมี เป็นบ่อน้ำให้เราทำความสะอาดตัวเราก็เข้าวัดหรือศาลเจ้า ตามความเชื่อใช่ไหม ผมเห็นคนญี่ปุ่นทำ ผมก็ไปทำตาม เนื่องด้วยอากาศร้อนมากมาย น้ำเย็นดีจัง เอาล้างหน้าก่อน เลยเป็นไปได้อยากอาบส่ะตรงนี้ ล้างหน้าเสร็จ ล้างแขน ป่วนปาก สะอาดล่ะ มองหาที่จอดจักรยานก็ไม่มี ทำไงดี ไปจอดใว้ไหนเนีย กลัวเขาด่าเอาจอดไม่เป็นที่เป็นทาง อ่อนึกออกได้ มองไปเห็นข้าง ๆ มีห้องน้ำเล็ก ๆ แอบผมก็เอาจะจักรยานไปจอดใว้หน้าห้องน้ำนั่นแหละ ล็อกล้อเรียบร้อย เดินเข้าไปไหว้พระอย่างสบายใจ ทำไมต้องไปจอดหน้าห้องน้ำ ก็เพราะถ้า รปภ.หรือเจ้าที่จะมาเอารถเราไปเขาก็ต้องคิดว่าเราเข้าห้องน้ำอยู่แน่เลย คิดไปนู้น ขำตังเองน่ะบางที ก็มันหาที่จอดจักรยานไม่เจรออ่ะ ให้ทำไง ยืมวิธีนี้ไปใช้ได้น่ะ ถ้าใครไปเที่ยวเมืองนี้ ไหว้พระสมใจ จิตใจดี ที่วัดก็ไม่มีอะไรเป็นจุดเด่นมาก นอกจาก ถังต่าง ๆ ที่เรียงรายอยู่บนชั้นเยอะเยะไปหมด พอเข้าไปไกล้ ๆเลยนึกออกว่า น่าจะเป็นเหล้าที่คนในเมืองร่วมใจเอามาใว้ที่นี้ เวลามีงานก็จะนำออกมาแจกจ่าย ประมาณว่าเป็นเหล้ามงคลน่ะ ผมคิดว่า ไหว้พระแบบญี่ปุ่น ต้องใช้เหรียญ 5 เยน หรือ 50 เยนจะโชคดี ไม่รู้อ่านมาจากไหนจำไม่ได้อีก ตอนไหว้ก็ค้นหาใหญ่เลย อยากโชคดีไง บรรยายจนเหนื่อย ดีที่เราพอพิมพ์สำผัสได้ทำให้ง่ายต่อการพิมพ์ยาว ได้อย่างไม่ลำบาก เล่าต่อ ในวัดก็จะมีสวนเล็กต้นไม้เยอะมาก เป็นระเบียบเรียบร้อย ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี ตามรูปน่ะ
ผิดพลาดเรื่องภาษาและอาจใช้คำไม่ถูกต้อง ต้องขออภัยคุณครูภาษาไทยช่วยวงเป็นตัวแดง ๆด้วยน่ะครับ
เจรอกันอีกที่ตอนที่ 3 น่ะครับ