บาหลีไม่มีเธอ: เหตุการณ์บนเครื่องบิน (ตอนที่ 3)

ความเดิมตอนที่แล้ว --> http://pantip.com/topic/34108068

********************



บาหลีไม่มีเธอ: เหตุการณ์บนเครื่องบิน (ตอนที่ 3)

ณ ท่าอากาศยานนานาชาติงูระห์ไร ตอนใต้ของเกาะบาหลี

เวลา 11.30 น.

นักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติกำลังยืนรอกระเป๋าจากใต้ท้องเครื่อง รางเลื่อนค่อย ๆ หมุนนำกระเป๋าเดินทางสีสันต่าง ๆ ออกมาให้ผู้คนได้ยลโฉมประหนึ่งนางแบบสาวเดินโชว์ตัวบนแคทวอร์ค นักท่องเที่ยวทั้งหัวแดงหัวดำต่างชะเง้อมองรางเลื่อนนั้น รอลุ้นว่าเมื่อไรกระเป๋าเดินทางของตนเองจะหมุนออกมาซักที

ห่างออกไปไม่ไกล มีหนุ่มตี๋ผิวขาวหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังสะพายเป้ของเขาขึ้นหลัง ดวงตาที่เป็นประกายใต้คิ้วหนาคมเข้มบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาพร้อมที่จะผจญภัยในเมืองแห่งนี้แล้ว

“อุ๊บส์ ซอรี่”

หนุ่มเกาหลีคนนั้นเดินชนกับกระเหรี่ยงไทยคนหนึ่ง ผมเผ้ารุงรัง หน้าตาสะลึมสะลือกึ่งหลับกึ่งตื่น มือขวาหิ้วกระเป๋าเดินทางเล็ก ๆ หนึ่งใบกับกระเป๋ากล้องอีกหนึ่งใบ ท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ เหมือนกำลังแอบลักลอบขนหมาข้ามประเทศ

ผู้ชายคนแรกคือหนุ่มเกาหลีที่ไหนก็ไม่รู้

แต่ไอ้ผู้ชายคนที่สองน่ะ ผมเอง

ผมบิดขี้เกียจหนึ่งครั้งเพื่อขับไล่ความปวดเมื่อยจากการนั่งหลังขดหลังแข็งบนเครื่องบินกว่าสี่ชั่วโมง เนื่องจากผมไม่ได้ซื้อน้ำหนักกระเป๋า ก็เลยต้องหอบหิ้วทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นไปบนเครื่องด้วย โชคดีที่สัมภาระผมไม่เยอะมาก มีแค่กระเป๋าเดินทางเล็ก ๆ หนึ่งใบกับกระเป๋ากล้องอีกหนึ่งใบเท่านั้น น้ำหนักกระเป๋าสองใบรวมกันยังไม่ถึงห้ากิโลเลย

ผมเดินไปยิ้มเยาะพวกที่กำลังยืนรอกระเป๋าบริเวณรางเลื่อน หึหึ เอาของมาเยอะกันดีนัก สมน้ำหน้า จากนั้นก็เดินไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองอย่างสบายใจ

“ฮาวส์ยัวร์ไฟล์ท”

เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองเอ่ยถามผม

เที่ยวบินเมื่อเช้าเป็นอย่างไรน่ะเหรอ หึหึ

ผมแอบยิ้มที่มุมปาก นึกย้อนถึงเหตุการณ์ช่วงเช้าที่ผ่านมา

ภาพตัดเป็นสีซีเปีย

********************

    

กริ๊งงงงงงงงง

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น

เช้าวันที่ 24 ตุลาคม 2556

ผมตื่นนอนตั้งแต่ตีสี่ ยอมรับว่าเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเลย มัวแต่กังวลว่าจะตื่นไปขึ้นเครื่องไม่ทัน ผมมักจะนอนไม่ค่อยหลับแบบนี้เสมอเวลาที่วันรุ่งขึ้นเป็นเหตุการณ์สำคัญอะไรบางอย่าง เช่น วันสอบ วันรับปริญญา หรือวันที่ต้องตื่นเช้าเพื่อเดินทางไปไหนที่ไหนซักที่ คือแบบเราก็กลัวตื่นไม่ไหวไง ก็เลยพยายามเข้านอนให้เร็วขึ้น แต่พอเข้านอนเร็วขึ้นก็นอนไม่หลับ พอนอนไม่หลับก็กลัวตื่นไม่ไหว ทีนี้ก็จะวิตกกังวลเวียนกันไปเป็นวัฏจักร แล้วที่ตลกคือมันจะชอบมาง่วงตอนใกล้ ๆ เวลาตื่น แล้วก็จะอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น แบบไม่รู้กุจะหลับดีหรือกรุจะไม่หลับดี เป็นอย่างนี้ประจำ

ผมล่ะอิจฉาคนที่หลับง่ายจริง ๆ ผมว่าคนที่หลับง่ายเป็นคนโชคดีนะ ไม่ต้องมาเจอเหตุการณ์นอนตาไม่หลับแบบผม

เคยมีสาวน้อยคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่าเธอเป็นคนที่หลับง่ายมาก แค่หัวถึงหมอนก็หลับได้แล้ว

เธอชื่อ ‘น้องจอย’

น้องจอยเป็นแอร์โฮสเตสสาวสวยแห่งสายการบินแอร์เอเชีย เราสองคนเจอกันครั้งแรกที่ลานหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ วันนั้นผมเดินผ่านหน้าร้านไอศกรีมฟาร์มสุขของเธอ ตอนแรกก็รู้สึกอิ่ม ๆ ว่าจะไม่กินอะไร แต่พอเห็นรอยยิ้มแม่ค้าเท่านั้นแหละ เปิดไฟเลี้ยวแวะเข้าไปชิมไอศกรีมร้านเธอแทบไม่ทันเลย น้องจอยเล่าให้ผมฟังว่าเธอติดตามอ่านเพจผมมาได้สองสามปีละ เราก็เลยรู้จักกันตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

จนกระทั่งถึงช่วงที่ผมวางแผนเที่ยวบาหลี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมต้องจองตั๋วเครื่องบินทั้งหมดด้วยตัวเอง ดังนั้นเวลามีปัญหาก็จะถามน้องจอยตลอด ซึ่งเธอก็ให้การดูแลผมเป็นอย่างดี ไม่เคยปริปากบ่นหรือว่าผมให้ได้ยินซักคำ

“พี่อุ๊ยบินวันที่ 24 ใช่เปล่า เอาอะไรมั้ย จอยฝากขนมขึ้นไปให้ได้นะ”

“จะดีเหรอ เกรงใจอะ”

ผมตอบพลางเตรียมคิดเมนูไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว  

“โอเค ไม่เป็นไร เดี๋ยวจอยจัดให้ก็แล้วกัน”

เช้าวันนั้น ผมออกจากบ้านตั้งแต่ตี่สี่กว่า ๆ ไม่ได้แวะกินอะไรเลย กะฝากท้องไว้กับน้องจอยเต็มที่ กลัวว่าจะเสียน้ำใจ ผมถึงดอนเมืองตั้งแต่ตีห้า ดอนเมืองเวลานี้คึกคักกว่าที่ผมคิดไว้มาก ผมเคยมารับน้องสาวที่นี่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นที่นี่เงียบเหงาประหนึ่งมาล่าท้าผีที่ท่าอากาศยานร้าง แต่บรรยากาศเช้าวันนี้กลับต่างกันโดยสิ้นเชิง นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจำนวนมากเข้าคิวรอเช็คอินที่เคาท์เตอร์ สนามบินดอนเมืองดูคับแคบลงไปถนัดตา

06.15 น. เครื่องบินสายการบินแอร์เอเชียเที่ยวบิน FD2976 ค่อย ๆ เหินขึ้นฟ้าจากท่าอากาศยานดอนเมืองมุ่งสู่ท่าอากาศยานนานาชาติงูระห์ไร (Ngurah Rai International Airport) เกาะบาหลี

ที่นั่งเลขที่ 17C มีหนุ่มไทยตาตี่คนหนึ่งนั่งอยู่

เบาะข้าง ๆ เป็นสาวชาวต่างชาติหน้าตาน่ารัก

ส่วนที่นั่งอยู่เบาะถัดไปเป็นลูกชายวัย 5 ขวบของเธอ

ในโลกแห่งความฝัน ผมออกเดินทางคนเดียวแบบ ‘พี่เต๋อ’ แล้วได้เจอกับสาวไทยหน้าตาน่ารักแบบ ‘พี่หนูนา’ เราสองคนส่งยิ้มให้กันบนเครื่องบิน เริ่มต้นทักทายกัน ต่างคนต่างเล่าเรื่องแผนการเที่ยวของตนเอง คุยไปคุยมาก็รู้สึกว่าเราสองคนมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกัน ชอบท่องเที่ยวเหมือนกัน ชอบฟังเพลงแนวเดียวกัน ชอบอ่านหนังสือคล้าย ๆ กัน ยิ่งคุยก็ยิ่งสนุก ยิ่งคุยก็ยิ่งถูกคอ จนสุดท้ายเราสองคนก็ตัดสินใจออกเดินทางท่องเที่ยวในบาหลีด้วยกันในที่สุด

นี่คือโลกแห่งความฝัน      

ส่วนโลกแห่งความจริงน่ะเหรอ

อย่าว่าแต่หนูนาเลยครับ หนูบ้านซักตัวก็ยังไม่มี ส่วนใหญ่ก็เจอแต่อาม่าอาโกวผมหงอกโพลนราวขนหมีขั้วโลก ที่กำลังจะเดินทางไปนมัสการโบราณสถานบุโรพุทโธ นอกจากอาม่าทัวร์ก็มีฝรั่งเหมือนกันนะ แต่เป็นฝรั่งที่นอนน้ำลายยืด กินพื้นที่เก้าอี้ไปประมาณเจ็ดตัว หลับใหลอย่างไม่ได้สติเหมือนจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้วในชาตินี้

โลกแห่งความจริงกับโลกแห่งความฝันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน

บางครั้งสิ่งที่ทำร้ายเราก็ไม่ใช่ ‘ความจริง’ แต่เป็น ‘ความหวัง’ ต่างหาก
    
เครื่องบินลำสีแดงค่อย ๆ ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หญิงสาวที่นั่งเบาะข้าง ๆ ผมกำลังสวดมนต์อย่างจริงจังจนไม่แน่ใจว่านี่ผมกำลังนั่งเครื่องบินหรือร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ส่วนลูกชายของเธอก็ซุกซนดุ๊กดิ๊กตามประสาเด็กน้อย

ยอมรับว่าตอนนั้นผมก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน ตอนแรกก็ไม่ได้กลัวอะไรหรอกนะ แต่พออิคนข้าง ๆ เริ่มสวดมนต์อย่างจริงจังขึ้นมาเท่านั้นแหละก็เริ่มกลัวเลย ตลอดช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาก็มีแต่ข่าวที่ไม่สู้ดีเกี่ยวกับการเดินทางด้วยเครื่องบิน ไม่ว่าจะเป็นข่าวเครื่องบินสายการบินลาวแอร์ไลน์ตกที่แม่น้ำโขง ข่าวเครื่องบินของเวียดนามลงจอดที่สนามบินโดยที่ล้อหลุดหายไปข้างนึง ปัจจุบันก็ยังไม่รู้ว่าล้อหลุดหายไปตอนไหน และที่ฮือฮาที่สุดก็คือข่าวเครื่องบินแอร์บัสการบินไทยไถลตกรันเวย์ที่สนามบินสุวรรณภูมิ

คือถ้าผมกำลังเดินทางด้วยเครื่องบินของการบินไทย ผมก็คงรู้สึกอุ่นใจมากกว่านี้ ไม่ใช่เพราะเชื่อใจในระบบรักษาความปลอดภัยของการบินไทยมากกว่าแอร์เอเชีย แต่เพราะอย่างน้อยหากเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น ก็อุ่นใจได้ว่าเดี๋ยวคงมีผีแอร์โฮสเตสสาวห่มสไบเฉียงปรากฏตัวออกมารำถวายพระพร แล้วพาผมกระโดดร่ม ช่วยชีวิตผมไว้ได้ แต่นี่มันสายการบินแอร์เอเชีย ผมไม่แน่ใจว่าเขาได้ทำสัญญาจ้างพนักงานในอีกมิติหนึ่งไว้รึเปล่า

พูดถึงเรื่องอุบัติเหตุ ทุกครั้งก่อนที่เครื่องจะเทคออฟ จะมีพนักงานต้อนรับบนเครื่องออกมาแนะนำวิธีปฏิบัติเวลาเกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่งผมชอบนะครับ เวลาขึ้นเครื่องทีไรผมก็จะตั้งใจทุกครั้ง ผมว่าน่ารักดี เหมือนน้อง ๆ เขากำลังเต้นรีวิวประกอบเพลงอะไรซักอย่างที่มีหน้ากากออกซิเจนกับเสื้อชูชีพเป็นอุปกรณ์ประกอบการเต้น ดูแล้วเพลิดเพลินกว่าการเต้นที่เอ็มเคซะอีก

พวกข้อปฏิบัติเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินผมเข้าใจนะครับ แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าเวลาเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริง เราจะหนีเอาชีวิตรอดกันอิท่าไหน คิดดูขนาดเหตุการณ์ปกติ แค่เดินไปห้องน้ำก็ยังเบียดเสียดกันยังกะผับตอนตีสอง นั่งหลับ ๆ อยู่ก็มีฝรั่งเอาตูดมาเบียดบ้าง เอานมมาเบียดบ้าง คับแคบยิ่งกว่าซอยละลายทรัพย์ช่วงพักเที่ยงซะอีก แล้วถ้าเกิดความโกลาหลขึ้นจริง ๆ เราจะฝ่าดงตีนเอาชีวิตรอดกันได้จริง ๆ เหรอ

คิดแล้วก็อยากหันไปถามพี่คนข้าง ๆ

“พี่ครับ พี่สวดมนต์บทไหนครับ ผมสวดด้วย”

สัญญาณเตือนให้คาดเข็มขัดดับลง เป็นสัญญาณที่ดีว่าเครื่องบินสามารถเทคออฟได้อย่างปลอดภัยแล้ว เดี๋ยวเมิงค่อยไปลุ้นอีกทีตอนลง แอร์โฮสเตสสาวสวยในชุดสีแดงก็เริ่มออกมาขายของ เอ้ย ให้บริการผู้โดยสาร

ผมชอบแอร์โฮสเตสของแอร์เอเชียที่สุดครับ ชอบยูนิฟอร์มสีแดงที่ตัดกับผิวขาว ๆ ของพวกเธอ ทำให้ดูดีมีเสน่ห์ อ่อนหวานนิด ๆ เซ็กซี่หน่อย ๆ ชอบในความเป็น entrepreneur ของพวกเธอ ขายของตั้งแต่เครื่องขึ้นยันเครื่องลงอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย เคาะเครื่องคิดเลขคำนวณเงินได้คล่องแคล่วราวเถ้าแก่เนี้ยร้านขายของชำ ชอบความอ่อนโยนที่เข้มแข็ง เห็นเอวบางร่างน้อยอย่างนี้อย่าคิดว่าพวกเธออ่อนแอนะครับ ผมเห็นแอร์ ฯ ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งบอกฝรั่งว่าต้องเอากระเป๋าใบใหญ่เก็บไว้บนชั้นด้านบน ไม่ทันขาดคำ เธอก็ยกกระเป๋าใบใหญ่ใบนั้นขึ้นไปเก็บด้วยมือซ้ายมือเดียว พระพุทธเจ้า!! น่าทึ่งมาก ๆ เห็นอ้อนแอ้นอย่างนี้พวกเธอก็พร้อมจะ fight อยู่ตลอดเวลา

ดูแล้วเพลินจริง ๆ

“Excuse me”

พนักงานต้อนรับสาวคนหนึ่งเดินมาทักผม

แหม น้องจอยนี่น่ารักมาก ๆ เครื่องขึ้นปุ๊บก็ฝากเพื่อนเอาขนมมาให้ปั๊บ วางได้เลยครับ วางเลย ผมกำลังหิวอยู่พอดี        

ขณะที่ผมกำลังจะพูดว่า ‘ผมเพื่อนจอยครับ’

พนักงานสาวคนนั้นก็เสิร์ฟอาหารให้กับผู้หญิงที่นั่งข้าง ๆ กับลูกชายของเธอแล้วเดินจากไป ผู้หญิงคนนั้นค่อย ๆ เปิดห่ออาหารออกเผยให้เห็นผัดอะไรซักอย่างที่หอมกรุ่น ผมเหล่ตามอง ท้องร้องจ้อก ๆ น้ำลายค่อย ๆ ไหลซึมออกมาจากซอกลิ้น    

‘อ๋อ ตามระเบียบเขาคงต้องเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้าก่อนแหละ เรามันกรณีพิเศษ ทีหลังก็ได้ อุ๊ยไม่เป็นไร’

ผมปลอบใจตัวเอง

ท้องร้องจ้อก ๆ

สี่สิบห้านาทีผ่านไป พนักงานต้อนรับเริ่มแยกย้ายกันไปพักผ่อนหลังขายของ เอ้ย ให้บริการลูกค้าเสร็จ ผู้หญิงเบาะข้าง ๆ อิ่มจนหลับไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววอาหารว่างของผมเลย

ท้องร้องจ้อก ๆ

ผมหิวจนผล็อยหลับไป

********************



“ฮาวส์ยัวร์ไฟล์ท”

เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองถามผมอีกครั้ง

“เวรี่กู้ด”

ผมยิ้มพร้อมกับยื่นหนังสือเดินทางให้

ไม่กี่นาทีต่อมา เท้าซ้ายของผมก็ก้าวสู่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ


ท่าอากาศยานนานาชาติงูระห์ไร ตอนใต้ของเกาะบาหลี


To be continued

บาหลีไม่มีเธอ: รถกุอยู่ไหน (ตอนที่ 4) --> http://pantip.com/topic/34091162

*** ติดตามเรื่องราวสนุก ๆ ได้ที่เพจ นายอุ๊ย!! นะครับ --> https://www.facebook.com/lovenaioui ***

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่