ชีวิตของมนุษย์เรานี้มันก็มีแค่ ขันธ์ ๕ เท่านั้น ซึ่งสรุปเป็น ร่างกาย กับ จิตใจ เท่านั้น
ร่างกายก็คือส่วนที่เป็นวัตถุที่เกิดมาจากธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ส่วนจิตใจนั้นเป็นนามธรรม (ธรรมชาติที่ไม่มีรูปร่าง) ที่ประกอบด้วย วิญญาณ (การรับรู้) สัญญา (อาการที่จำสิ่งที่รับรู้ได้) เวทนา (ความรู้สึกต่อสิ่งที่รับรู้) สังขาร (การปรุงแต่งคิดนึกของจิต)
ร่างกายที่ยังดีอยู่ (ยังไม่ตาย) ก็จะมีระบบประสาท ๖ จุด คือตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ (สมอง) เพื่อเอาไว้รับรู้หรือติดต่อกับสิ่งภายนอก ๖ อย่างคือ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งกระทบกาย และสิ่งกระทบใจ
เมื่อมีสิ่งภายนอกมากระทบระบบประสาทที่ตรงกัน ก็จะเกิดการรับรู้ (วิญญาณ) ขึ้นมาที่ระบบประสาทนั้นทันที เช่น เมื่อมีรูปมากระทบตา ก็จะเกิดการเห็นรูปขึ้นมาทันที เป็นต้น
เมื่อเกิดการรับรู้ใดขึ้นมาแล้ว มันก็จะถูกส่งไปยังสมองเพื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลที่สมองมีอยู่ เมื่อตรงกับข้อมูลที่สมองมีอยู่ มันก็จะจำสิ่งที่รับรู้นั้นได้ แต่ถ้าไม่มีมันก็จะจำไม่ได้หรือลืม เช่น จำได้ว่ารูปที่เห็นนั้นเป็นรูปของใครหรือของอะไร เป็นต้น
เมื่อจำได้แล้วมันก็จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาทันที ซึ่งความรู้สึกนี้ก็มี ๓ ชนิดใหญ่ๆ คือ ๑.ความรู้สึกที่น่าพอใจ (ความสุข) ๒.ความรู้สึกที่ไม่น่าพอใจ (ความทุกข์) และ ๓.ความรู้สึกกลางๆ (ไม่สุขไม่ทุกข์)
เมื่อเกิดความรู้สึกใดขึ้นมาแล้วก็จะเกิดการปรุงแต่งต่อไปว่าจะทำอย่างไรกับสิ่งที่รับรู้นั้น อย่างเช่น ถ้าจิตยังมีกิเลสอยู่ เมื่อรูปที่เห็นนั้นให้ความรู้สึกที่น่าพอใจ ก็จะเกิดความพอใจหรืออยากได้ (ราคะ โลภะ) ถ้าให้ความรู้สึกที่ไม่น่าพอใจก็จะเกิดความไม่พอใจหรือไม่อยากได้ (โทสะ) ถ้าให้ความรู้สึกที่เป็นกลางๆก็จะเกิดความไม่แน่ใจ (โมหะ) รวมทั้งยังเกิดการคิดนึกไปต่างๆนาๆด้วย ซึ่งการปรุงแต่งของจิตด้วยกิเลสนี้เองที่ทำให้จิตเกิดความทุกข์ (ความรู้สึกทรมานหรือทนได้ยาก) แต่ถ้าจิตไม่มีกิเลส จิตก็จะไม่เกิดความทุกข์ แต่จะสงบเย็น หรือนิพพาน (แม้เพียงชั่วคราว) เป็นต้น
นี่คือระบบการทำงานของร่างกายกับจิตใจที่ทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบ จนเกิดเป็นชีวิตของมนุษย์เราทุกคนขึ้นมา โดยมีร่างกายเป็นพื้นฐานให้เกิดวิญญาณ สัญญา เวทนา สังขาร ถ้าไม่มีร่างกายเสียอย่างเดียว หรือร่างกายตาย จิตใจก็ย่อมที่จะดับหายตามไปด้วยทันที ไม่ว่าจิตใจก่อนดับนั้นมันจะมีกิเลส (หรืออวิชชา-กรรม) หรือไม่ก็ตาม ซึ่งนี่ก็เป็นไปตามกฏอิทัปปัจจยตาที่ว่า "เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี" นั่นเอง
ส่วนเรื่องที่ว่าเมื่อร่างกายตายแล้วแต่ถ้าจิตยังมีกิเลส (หรืออวิชชา-กรรม) อยู่ วิญญาณก็จะยังไม่ดับหายไป แต่จะออกจากร่างกายแล่วไปเกิดใหม่ (หรือบางคนก็เชื่อว่ากิเลสหรือกรรมหรืออวิชชาจะส่งกระแสพลังคลื่นออกไปสร้างวิญญาณหรือจิตขึ้นมาในร่างกายใหม่แทน) เพื่อมารับผลกรรมของร่างกายเก่าก่อนตาย (ความเชื่อนี้เองที่ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดทางร่างกาย เรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เป็นต้นขึ้นมา) นั้น ไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แต่เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ที่ปลอมปนเข้ามาอยู่ในคำสอนของพุทธศาสนามาช้านานแล้วโดยชาวพุทธไม่รู้ตัว
คำสอนเรื่องการเวียนว่ายตาย-เกิดเพื่อมารับผลกรรมนั้น ไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า
ร่างกายก็คือส่วนที่เป็นวัตถุที่เกิดมาจากธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ส่วนจิตใจนั้นเป็นนามธรรม (ธรรมชาติที่ไม่มีรูปร่าง) ที่ประกอบด้วย วิญญาณ (การรับรู้) สัญญา (อาการที่จำสิ่งที่รับรู้ได้) เวทนา (ความรู้สึกต่อสิ่งที่รับรู้) สังขาร (การปรุงแต่งคิดนึกของจิต)
ร่างกายที่ยังดีอยู่ (ยังไม่ตาย) ก็จะมีระบบประสาท ๖ จุด คือตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ (สมอง) เพื่อเอาไว้รับรู้หรือติดต่อกับสิ่งภายนอก ๖ อย่างคือ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งกระทบกาย และสิ่งกระทบใจ
เมื่อมีสิ่งภายนอกมากระทบระบบประสาทที่ตรงกัน ก็จะเกิดการรับรู้ (วิญญาณ) ขึ้นมาที่ระบบประสาทนั้นทันที เช่น เมื่อมีรูปมากระทบตา ก็จะเกิดการเห็นรูปขึ้นมาทันที เป็นต้น
เมื่อเกิดการรับรู้ใดขึ้นมาแล้ว มันก็จะถูกส่งไปยังสมองเพื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลที่สมองมีอยู่ เมื่อตรงกับข้อมูลที่สมองมีอยู่ มันก็จะจำสิ่งที่รับรู้นั้นได้ แต่ถ้าไม่มีมันก็จะจำไม่ได้หรือลืม เช่น จำได้ว่ารูปที่เห็นนั้นเป็นรูปของใครหรือของอะไร เป็นต้น
เมื่อจำได้แล้วมันก็จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาทันที ซึ่งความรู้สึกนี้ก็มี ๓ ชนิดใหญ่ๆ คือ ๑.ความรู้สึกที่น่าพอใจ (ความสุข) ๒.ความรู้สึกที่ไม่น่าพอใจ (ความทุกข์) และ ๓.ความรู้สึกกลางๆ (ไม่สุขไม่ทุกข์)
เมื่อเกิดความรู้สึกใดขึ้นมาแล้วก็จะเกิดการปรุงแต่งต่อไปว่าจะทำอย่างไรกับสิ่งที่รับรู้นั้น อย่างเช่น ถ้าจิตยังมีกิเลสอยู่ เมื่อรูปที่เห็นนั้นให้ความรู้สึกที่น่าพอใจ ก็จะเกิดความพอใจหรืออยากได้ (ราคะ โลภะ) ถ้าให้ความรู้สึกที่ไม่น่าพอใจก็จะเกิดความไม่พอใจหรือไม่อยากได้ (โทสะ) ถ้าให้ความรู้สึกที่เป็นกลางๆก็จะเกิดความไม่แน่ใจ (โมหะ) รวมทั้งยังเกิดการคิดนึกไปต่างๆนาๆด้วย ซึ่งการปรุงแต่งของจิตด้วยกิเลสนี้เองที่ทำให้จิตเกิดความทุกข์ (ความรู้สึกทรมานหรือทนได้ยาก) แต่ถ้าจิตไม่มีกิเลส จิตก็จะไม่เกิดความทุกข์ แต่จะสงบเย็น หรือนิพพาน (แม้เพียงชั่วคราว) เป็นต้น
นี่คือระบบการทำงานของร่างกายกับจิตใจที่ทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบ จนเกิดเป็นชีวิตของมนุษย์เราทุกคนขึ้นมา โดยมีร่างกายเป็นพื้นฐานให้เกิดวิญญาณ สัญญา เวทนา สังขาร ถ้าไม่มีร่างกายเสียอย่างเดียว หรือร่างกายตาย จิตใจก็ย่อมที่จะดับหายตามไปด้วยทันที ไม่ว่าจิตใจก่อนดับนั้นมันจะมีกิเลส (หรืออวิชชา-กรรม) หรือไม่ก็ตาม ซึ่งนี่ก็เป็นไปตามกฏอิทัปปัจจยตาที่ว่า "เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี" นั่นเอง
ส่วนเรื่องที่ว่าเมื่อร่างกายตายแล้วแต่ถ้าจิตยังมีกิเลส (หรืออวิชชา-กรรม) อยู่ วิญญาณก็จะยังไม่ดับหายไป แต่จะออกจากร่างกายแล่วไปเกิดใหม่ (หรือบางคนก็เชื่อว่ากิเลสหรือกรรมหรืออวิชชาจะส่งกระแสพลังคลื่นออกไปสร้างวิญญาณหรือจิตขึ้นมาในร่างกายใหม่แทน) เพื่อมารับผลกรรมของร่างกายเก่าก่อนตาย (ความเชื่อนี้เองที่ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดทางร่างกาย เรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เป็นต้นขึ้นมา) นั้น ไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แต่เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ที่ปลอมปนเข้ามาอยู่ในคำสอนของพุทธศาสนามาช้านานแล้วโดยชาวพุทธไม่รู้ตัว