ธรรมชาติ แห่ง โลกียะ

กระทู้สนทนา
ธรรมชาติแห่งโลกียะ
บทแห่งปฐมบท: ว่าด้วย จิตและกาย ทางโลกียะ
โดย: อนันตกรุณา (ANANTAKARUNA)
บทนำ: กรอบความคิดโลกียะและสัจธรรมของธรรมชาติ
โลกียะในมุมมองนี้คือระบบธรรมชาติที่เกิดเพื่อจัดระเบียบและเป็นเหตุเป็นผล หรือจะเรียกว่าสัจจธรรมของธรรมชาติก็ว่าได้ สำหรับธรรมชาติแล้วสิ่งที่ "ไม่มีจริง" ในธรรมชาติคือ "เหนือธรรมชาติ" ทุกสิ่งดำเนินไปตามระเบียบแบบแผนของธรรมชาติที่ได้สั่งสมไว้จากจุดกำเนิด ด้วยตรรกะ ด้วยเหตุและด้วยผลที่แน่นอน (หลักเหตุปัจจัยในปรัชญา) ซึ่งทั้งมวลจะสอดคล้องกันตั้งแต่ระดับอะตอมจนถึงการทำงานของจิตมนุษย์
      เบื้องต้น เริ่มมองจากโลกของเราดูก่อน หากแกนของโลกเราคือนิวเคลียส ซึ่งมีระดับของพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นกลางและประจุบวก ล้อมรอบด้วยกลุ่มก๊าซที่ประจุลบหรืออิเลคตรอนกักเก็บไว้ และถ้าเราเเทนค่า อิเลคตรอนของโลกมีหน้าที่กัก ออกซิเจน ไว้ไม่ให้ออกไปหมดโดยเมื่อความหนาแน่น สะสมของO2ที่เปลือก อืเลคตรอน รวมตัวกันหรือฟิวชั่นกันในระดับอะตอมทำให้เกิดO3หรือโอโซนขึ้นมา ที่ขอบชั้นบรรยากาศ และด้วยO3นี้เอง จึงมีการสะสมของก็าซในผิวโลก จนเกิดแรงกดอากาศ และแรงกดอากาศนี้เอง ทำให้เรามีน้ำหนักและใช้ชีวิตบนผิวโลกได้ โดยทฤษฎีนี้ยังนำไปเทียบกับแรงดึงดูดระหว่างมวลของนิวตันได้ เพราะอะตอมย่อมเหนี่ยวนำกันเองตามปกตืของธรรมชาติอยุ่แล้วมากน้อยตามคุณสมบัติ ด้วยลักษณนี้เอง เราถึงจะเรียกว่า"ธรรมชาติแห่งโลกียะ" ตามที่เกริ่นมาข้างต้น มีระเบียบแบบแผน ด้วยเหตุ ด้วยผล ตามปัจจจัยและนัยยะ ของสิ่งต่างๆเหล่านั้น. 
        ต่อมาเรามามองถึงคำว่า"เวลา"กันบ้างลองคิดกันสนุกๆนะ เริ่มต้นจากสภาวะว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยเราเรียกว่ามิติที่0  แล้วเริ่มมีจุดจุดนึงเกิดขึ้น เรานับว่านั่นคือ มิติที่1(เรียกว่าเนิดมิติก็แล้วกันนะ)  ต่อมาจุดนั้นมีการเคลื่อนที่ในแนวเดียว (ซึ่งมองจากด้านข้างหรือ เซกชั่นรูปตัด) แต่ถ้ามองจากมุมด้านบนจะเห็นเป็นวงกลมเริ่มขยายขนาด เราเรียกว่า มิติที่2 หรือจะเรียกได้ว่า "เวลา"ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว ต่อมา วงกลมวงนั้นเริ่มพองตัวขึ้นคล้ายลูกโป่งทรงจาน(ที่ต้องเป็นทรงจานหรือไม่ทรงกลมเนื่องตากลำดับขั้นตอนถูกกำหนดให้มี2มิติก่อน สังเกตุไม่ว่าจะกาแลคซี่หรือการรวมตัวใดๆของอนุภาคไม่ได้เริมตากทรงกลมเช่นกัน) นี่เอง มวลและสรรพสิ่งได้เริ่มต้นแล้ว เราเรียกว่ามิติที่3 และในที่สุดทุกอย่างได้ผ่าน บรา บรา บรา (ตามตำราใดก็ตาม) เกิดมวลที่สามารถสถิตพลังงานได้ โดยทำงานอย่างมีระบบแบบแผน(ideal) และแล้ว ระบบธรรมชาติ ได้ก่อกำเนิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งเราจะกล่าวไว้เพียงเท่านี้ก่อนของปฐมบทในมิติที่4นี้  แล้วต่อมาเราเห็นการทำงานของเวลาแล้ว เลยยากรู้ว่าอะไรหรือตรงไหนคือปัจจุบัน จะแปลได้ว่าตอนนี้ เด่วนี้ วินาทีนี้ หรืออะไรที่เรียกย่อย ได้กว่านั้น ใช่แล้ว ปัจจุบัน คือต้องหยุดนิ่ง ไม่มีการเคลื่อนที่จึงจะสามารถ ทำให้ปัจจุบันสมบูรณ์ได้ มิอาจกล่าวได้ว่าปัจจุบัน ไม่มีจริง เพียงแต่ ธรรรมชาติให้มีปัจจุบันไม่ได้เท่านั้นเอง ถ้าเกิดมีได้ ทุกอะตอมจะหลุดจากกันล่วงกราวเป็นฝุ่นเป็นธาตุ แบบธานอส ที่ใส่ถุงมือดีดนิ้วประมานนั้น
ดังนั้นเวลาของธรรมชาติจึงถูกแบ่งเพียงแค่อดีตและการเดินทางไปอนาคตเท่านั้น (เราคือผู้เดินทางไปอนาคตกันอยู่) แต่ด้วยความจำเป็นและความสำคัญ คำว่าปัจจุบัน จึงต้องถูกสมมุติและตั้งขึ้นไว้ เพื่อให้รู้ ให้คิด และเพื่อหาแนวทาง
ตามหลักการใดๆของปรัชญญาและหลักการหรือแนวทางอยู่ร่วมกันของมนุษย์ที่เรียกว่าศาสนา เนื่องจากมีความสำคัญสำหรับมนุษย์จึงจำเป็นต้องสมมุติไว้ให้มี ...
    คราวนี้ เรามามองใกล้เข้ามาอีก เอาที่มนุษย์กันบ้าง ด้วยระบบ วิวัฒนาของ ธรรมชาติจากบรรพกาลที่ได้เดินทางมาจุดนี้ ทำไมธรรมชาติจึงให้มนุษย์ครองโลก .... ลองมองดูว่า มนุษย์นั้นมีความรู้สึกที่ซับซ้อน มากมาย มากกว่า สัตว์อื่น จึงทำให้ สมองของมนุษย์ จำเป็นต้องมี ระบบประสาทมากกว่า มีพื้นที่ของสมอง ในการประมวลผลมากกว่า รายละเอียดในการสั่งงงานของสมองก็ต้องมากกว่า ใช้พลังงานออกซิเจนก็มากกว่า ทำให้ผลพลอยได้ของสมองมนุษย์นั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าและ ฉลาดกว่าสัตว์อื่น หลังจากนั้นเรื่องอื่นคงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงว่าทำยังไงถึงครองโลกได้ นี่คือสภาวะพลังงานขับเคลื่อนภายในของมนุษย์  จากระบบวิวัฒนาการปกติของธรรมชาติ ด้วยแบบแผย ด้วบเหตุและด้วยผล ตามปัจจัยและนัยยะต่างๆ สร้างความรู้สึกที่หลากหลาย และก่อให้เกิดอารมณ์ ความคิด และ"จิต" ตามที่จะกล่าวต่อไปและก่นที่จะกล่าวต่อไปใน EP.อื่น ขออธิบายเป้าหมายแห่ง ปฐมบท ก่อน ในปฐมบทนี้หากได้ทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว คือการ ตัดหรือดับอาสวะทั้งหลายทั้งมวล แนวทางในการเข้าถึงและการกระทำของ "กิเลส" ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจน และอยู่ที่เราแล้วละ. จะเลือกแบบไหน สำหรับการใช้ชีวิต ในธรรมชาติของโลกใบนี้(ธรรมชาติแห่งโลกียะ)
     ดังนั้นจึงจำเป็นต้องบ่งชี้ให้ชัดเจนกันก่อนว่าอะไรคือกิเลสเรสจำเปนต้องรู้จักมันเสียก่อน
        เริ่มจากรากฐานสำคัญคือการแยกแยะระหว่างสิ่งที่ขับเคลื่อนชีวิต กับสิ่งที่เป็นโทษ ซึ่งคล้ายกับแนวคิดในทางชีววิทยาและปรัชญา:
• "อยาก" (Want) หรือ "ความจำเป็นทางชีวภาพ": แรงขับเคลื่อนตามธรรมชาติที่จำเป็นต่อการอยู่รอด (Survival) และการพัฒนา เช่น ความหิว, กลไกของโลกในการกักเก็บออกซิเจนเพื่อสร้างระบบนิเวศ สิ่งนี้ไม่ใช่กิเลส
• "กิเลส" (Defilement): คือการตอบสนองความอยากที่ "เกินความจำเป็น" หรือ "เกินพอดี" (Excessive Desire) ซึ่งนำไปสู่ความไม่สมดุลและผลเสียหรือโทษต่างๆ จะเรียกว่าความอยากที่ทำให้เกิดโทษ
ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ กับคำว่าเกินพอดีย่อมเป็นโทษ เช่น เงิน(สมบัติ) คนหนึ่งคน กับคำถามง่ายๆ ในชีวิตคุณต้องใช้เงินเท่าไรจึงจะพอถึงวันสุดท้าย สมมุติตอบว่า 20ล้าน ผมเผื่อให้อีกเท่าตัวนึง เผื่อลืมเผื่อเหลือเผื่อขาด สำหรับความคิดเเล้วเท่าตัวนึงถือว่าเยอะมากสำหรับเรื่องที่คิดไม่ออกหรือลืมหรือเผื่อ จึงแปลได้ว่าสมบูรณ์แล้วที่ 40ล้านแน่นอน หากวางเงิน100ล้าน ให้เอาไปได้ตามต้องการ จะเอาเท่าไร ผมคาดว่ามากกว่า90% เอาหมดละ100ล้านพร้อมคำตอบในหัวใหม่รออยุ่แล้ว ซึ่งมันจะเป็นโทษได้อย่างไรละ ถ้านอกเหนือจากที่ต้องใช้ เอาไปฝากธนาคารไว้ (เกือบทั้งหมดคงตอบแบบนี้) เอาละผมขอถามง่ายๆนะ ในเมื่อสมองและจิตใต้สำนึกของคุณคิดในเรื่องที่มีประโยชน์กับตัวคุณทั้งหมดไว้แล้ว เผื่อลืม.เผื่อขาดไว้แล้ว แปลว่า ส่วนที่เกินจากนั้น ไม่สามารถสร้างประโยชน์กับคุณแล้วละครับ มันคือตัวสร้างโทษแล้วละ ตัวชักนำปัญหาและตัวที่จะพาเราไปสู่อบายภูมิละครับถูกมั้ย แม้แต่เงินในธนาคาร ส่วนที่เกินจำเป็นมันแค่เพียงรอเวลาที่เราจะเอาไปทำสิ่งที่เรียกว่า กิเลสไงครับ แค่เปลี่ยนสถานที่ คุณสมบัติยังเหมือนเดิม แค่รอเวลาที่เราจะเอามาใช้เท่านั้น หากเกินต้องการ,เกินที่จำเป็น หรือเกินสำหรับเผื่อ และจะเอาออกไปอย่างมีประโยชน์ คือการให้ถือเปนทานไปในตัว ทางอื่นที่เหนือสติเราไปแล้ว คงจะมีแต่ก่อโทษทั้งหมด
หลังจากทำความเข้าใจได้ดีในบทนำเเล้ว มาเริ่ม EP.ต่อกันไปเลยเพื่อ ให้ได้รายละเอียดพื้นฐานให้นำเนื้อความจากบทนำเป็นหลักในแนวคิดหรือแนวแบบแผนต่อไป

EP 1: จิตและกายในมุมมองทางโลกียะ
จิต: อัลกอริทึมและรหัสพันธุกรรมแห่งตัวตน (Algorithmic Self)
• จิต คือแก่นแท้ภายใน (Core Self) เป็นเสมือน "อัลกอริทึม" หรือ "รหัสพันธุกรรมทางจิตวิญญาณ" (Genetic Code) ที่ระบุตัวตนและลักษณะนิสัย มีสติ ชึ่งจะเป็นตัวคัดกรองสุดท้ายก่อนสมองสั่งงานให้กระทำ
• กาย คือร่างกายทางชีวภาพ ทำงานประสานกับจิต
• สมอง คือศูนย์กลางทางประสาทวิทยา (Neuroscience) ทำหน้าที่เป็นตัวรับและประมวลผลความรู้สึกสัมผัส
กระบวนการทำงานของจิต (วงจรการรับรู้):
กระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบและเป็นเหตุเป็นผลขอเรียกว่า "1 บทของจิตที่สั่งกาย"
• รับสัมผัส (Sensation): ความรู้สึกจากสิ่งแวดล้อมถูกส่งไปที่สมองเพื่อรับรู้ (Sensory Input)
• ประมวลผล (Processing): สมองประมวลผลการรับรู้ให้เกิด "ความอยาก" หรือ "อารมณ์" (Motivation and Emotion)
• ไตร่ตรอง (Cognition/ปัญญา): จิตจะเป็นส่วนหลักเรียกว่า"สติ"จะใช้ลักษณะนิสัยตัวตนแท้จริงเป็นเจตจำนงค์หรือความมั่นคงหรือ "สมาธิ" และใช้ "ปัญญา" หรือกระบวนการคิดวิเคราะห์ (Cognitive Process) เพื่อหาวิธีตอบสนองความอยาก โดยคัดกรองจาก เหตุและผล และ "การสำนึกคิด" (Moral Compass)
• สั่งการ (Action): เมื่อผ่านการไตร่ตรองและได้ข้อสรุปที่เหมาะสมที่สุด สมองจะสั่งการให้ร่างกายกระทำตาม
• โดยรวมคือ 1 บทแห่งจิตสั่งกาย
การควบคุมจิต: ตัวคัดกรอง (สติ) และหลักไตรสิกขา
• สิ่งที่อยู่ในความคิดเกือบทั้งหมดสามารถควบคุมได้ผ่าน "เจตจำนงค์" (Willpower) มีเพียง "ความรู้สึก" เท่านั้นที่เป็นตัวกระตุ้นตัวแปรหลัก ทำให้กิเลสทำงานจุดนั้นอย่างได้ผล ดังนั้นจึงจำเป็นต้องควบคุมความรู้สึกเป็นหลักใหญ่ เพื่อมิให้กิเลสชักจูงเราหรือบังคับเราด้วยความรู้สึกได้ ส่วนในความคิดใช้เพียงปัญญา,สมาธิและข้อกำหนด(ศีลหรือแนวทางใดๆ)ก็เพียงพอในการเอาชนะกิเลส ***ควรระวังให้มากที่สุดกิเลสอาจจะเข้าไปครอบงำในสติ จะทำให้กระทำใดๆไร้ยั้งคิด ซึ่งเราเรียกรวมๆได้ว่า บ้าหรือเสียสติ
• ตัวคัดกรองหลักของจิต (สติ/Mindfulness)   ประกอบด้วย:
• ความรู้ผิดชอบชั่วดี (ศีล/Morality): หลักการพื้นฐานในการแยกแยะสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ
• ความตั้งมั่นและแน่วแน่ในหลักการ (สมาธิ/Concentration): เกิดจากเจตจำนงค์เสรีที่แน่วแน่ ทำให้จิตไม่วอกแวก และไม่นำเหตุผลมาอยู่เหนือ เจตจำนงค์
• ความเข้าใจและความรู้ในจุดที่เหมาะสมที่สุด (ปัญญา/Wisdom): ความสามารถในการหาวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง
• เป้าหมายสูงสุด: หากควบคุมความรู้สึกและปัญญาที่เพียงพอแล้ว ความอยาก (กิเลส) ก็ไม่สามารถเอาชนะเราได้ นั่นคือหลักการในการ "ดับ" หรือ "แตกอาสวะ" โดยสมบูรณ์
• เพิ่มเติม ปัญญา หาใช่เพียงแค่รู้ไม่ หากแต่จำเป็นต้องเข้าใจในเรื่องนั้นด้วย จึงจะเป็นปัญญา
EP 2: ปัจจัยสู่การครอบครองโลกของมนุษย์ (Human Dominance) และกำเนิดโฮโม 2 เซเปี้ยน:
รากฐานคือ "ความรู้สึกที่หลากหลายและซับซ้อนกว่า" (Complex Emotions and Desires):
• แรงขับทางอารมณ์: เป็นแรงขับเคลื่อนหลักให้มนุษย์วางแผนระยะยาวและพัฒนาวิทยาศาสตร์
• วิวัฒนาการสมอง: ความต้องการประมวลผลอารมณ์ที่ซับซ้อนนี้ ทำให้สมองมีขนาดใหญ่ขึ้น (Encephalization) และใช้พลังงาน (ออกซิเจน) มากขึ้น
• ความฉลาดเชิงเครื่องมือ: ความฉลาดที่เพิ่มขึ้นเป็นผลพลอยได้ นำไปสู่การสร้างเทคโนโลยี ทำให้มนุษย์ครองโลกได้
นี่คือจุดเริ่มต้นของ "โฮโม 2 เซเปี้ยน" (Homo 2 sapiens) หรือมนุษย์ที่เจริญแล้ว ผู้มีความฉลาดจากการประมวลผลระบบประสาทที่ซับซ้อน ซึ่งมีวิธีการที่สมองทำงาน. แบ่งเป็นหลัก 3 ส่วน
1)ส่วนความจำ(รับรู้) เป็นส่วนที่เราเรียกว่าความรู้ ลักษณะการทำงาน รับรู้และจดจำ สิ่งต่างๆเป็นช้อตๆ เพื่อเป็นข้อมูลหลักสำหรับการประมวลผล
2)ส่วนความคิด(ประมวลผล)เป็นส่งนที่เราไว้คิด แก้ปัญหา หรือหาตรรกะที่เป็นไปได้สำหรับคำตอบของนัยยะที่ส่ง จะนับข้อมูลมาจากส่วนรับรู้ มาเป็นช้อตๆ และส่วนความคิดทำการประมวลด้วยวิธีจัดเรียงและใส่ สมการ(แนวทาง) เพื่อประมวลผลให้ได้คำตอบที่ต้องการ เช่น ส่วนรับรู้ ส่ง 1,2,3และ4มาให้ฝั่งประมวลผล ทางฝั่งประมวลผลก็นำมาจัดเรียง และหาคำตอบ ถ้าอยากได้ =1  นำ (3×2)-(4+1) ,=2 นำ (4+2)-(3+1) ,=3 นำ(4-3)+(2×1),=4นำ (1+2-3)+4
ประมานนี้เป็นต้น และเมื่อความร้และความคิดรวมกันดีแล้ว นั่นคือ"ปัญญา"และจิตก็จะมีหน้าที่ ก้อบปี้ ปัญญานั้นไว้ใน จิตเมื่อถือว่า ปัญญานั้นสำคัญ และการนำปัญญานั้นมาเป็นตัวแปรใช้งานอยู่บ่อยสำหรับความรู้สึกนั้นๆ เราเรียกรวมๆว่า ลักษณะนิสัย
3)ส่วนควบคุม มีหน้าที่สั่งานและควบคุมร่างกายให้กระทำตามที่สมอง คิดและถูกตัดกรองด้วยจิตแห่งตัวตนแล้ว ชีวืตก็ดำเนินต่อไป ตามปัจัยและนัยยะ อย่างมีแบบแผน ของธรรมชาติ
EP.3 เจตจำนงเสรีที่แ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่