มาต่อกันรัวๆกับวันที่ 4 กันเลย
ย้อนรอยกระทู้เก่า
part 1
http://pantip.com/topic/33922935
part 2
http://pantip.com/topic/33923061
part 3
http://pantip.com/topic/33923220
part 4
http://pantip.com/topic/33926411
part 5
http://pantip.com/topic/33926789
good morning kalopani
อรุณสวัสดิ์ยามเช้า ณ หมู่บ้านกาโลปานิ วันที่ 4 ในประเทศเนปาล และวันที่ 2 ของการเทร็คกิ้ง ตื่นเช้ารับวันใหม่ด้วยความสดชื่น จากความอ่อนล้าของร่างกายเมื่อวานที่ต้องเดินกว่าแปดชั่วโมง และฤทธิ์ยาทุกขนานที่ประเคนเข้าร่างกายเพื่อลดอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ ทำให้เมื่อคืนสลบไสลไปด้วยความอ่อนเพลีย และตื่นรับเช้าวันใหม่ด้วยอากาศที่หนาวเข้ากระดูก และอากาศตึงๆกล้ามเนื้อน่อง ต้นขา และไหล่ อีกประมาณนึง นี่ขนาดอัพยาแล้วนะ ถ้าไม่ได้แตะยาเมื่อวาน วันนี้คงกลายเป็นคนพิการเดินไม่ได้เลยทีเดียว ตื่นมายืดกล้ามเนื้อเล็กน้อย ออกมาสูดอากาศภายนอก พร้อมหยิบกล้องออกมาลั่นชัตเตอร์จังหวะที่แสงอาทิตย์กำลังสาดแสงผ่านภูเขา ช่างเป็นภาพที่สวยงามยามเช้า ที่มอบความสดชื่นให้กับร่างกายที่อ่อนล้าได้ดีนัก
himalayan
ถ้า เทวาลัย แปลว่า ที่อยู่ของเทวดา แล้วล่ะก็ หิมาลัย ก็คงแปลว่า ที่อยู่ของหิมะ ได้เช่นกัน แม้ว่าเราจะเดินห่างมาจากจอมสอมไกลขนาดไหน ทุกย่างก้าวบนเส้นทางนี้ ไม่มีจุดไหนเลยที่จะมองไม่เห็นยอดขาวๆของเทือกเขาหิมาลัย คงไม่ต้องอธิบายถึงความใหญ่โตของมัน เพราะอยู่เหนือจินตนาการของเรามากนักถ้าไม่ได้พบเห็นด้วยตาตัวเอง แม้กระทั่งที่พักของเราวันนี้ ตื่นมาก็ได้พบกับภูเขาหิมะที่ล้อมรอบอยู่ทั้งหน้าและหลัง เหมือนอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของภูเขา ช่วงเวลายามเช้าเป็นช่วงนี้ฟ้าเปิดเผยโฉมให้เราได้ชื่นชมความสวยงามของยอดเขา เหมือนดั่งเป็นรางวัลให้กับความเหนื่อยล้าของผู้คนที่ดั้นด้นขึ้นมาถึงจุดๆนี้ เมื่อตะวันคล้อยขึ้นในยามสาย ยอดเขาหิมะลัยก็กลับไปอยู่หลังเมฆหมอก ปล่อยให้เป็นเวลาที่นักท่องเที่ยวอย่างเรา มุ่งหน้าไปยังจุดหมายใหม่ๆ เพื่อค้นหาประสบการณ์และมุมมองใหม่ๆ ต่อไป
porter
หรือที่คนไทยเรียกกันว่า ลูกหาบ ฟังดูแล้วเป็นผู้คนที่ใช้แรงงาน แต่ว่าไม่ได้เพราะคนเหล่านี้ถือเป็นผู้มีพระคุณในการเดินทางท่องเที่ยวของเราในครั้งนี้เลย เพราะถ้าไม่มีลูกหาบ สัมภาระอันหนักอึ้งของพวกเราที่มีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 30 กิโล ก็คงไม่มีคนแบกขึ้นมา ถ้าจะมอบภาระให้ตัวเองเป็นคนแบกก็คงคิดว่าไม่สามารถมาเหยียบ ณ จุดที่สูงได้ขนาดนี้ ลูกหาบของเราในครั้งนี้มี 2 คน คนหนึ่งชื่อ "ราช" ส่วนอีกคนไม่รู้ชื่อ ราช พูดภาษาอังกฤษได้ มีหน้าที่เป็นทั้งไกด์และลูกหาบให้พวกเรา คอยเป็นล่าม แล้วก็คอยติดต่อทุกๆเรื่อง ขณะที่เราเทร็คกิ้งกัน ส่วนอีกคนก็พูดอังกฤษได้นิดหน่อย ส่วนมากจะมองหน้าแล้วก็ยิ้มซะมากกว่า ซึ่งทั้งสองคนจะต้องแบกสัมภาระของเราคนละไม่ต่ำกว่า 15 กิโล แค่เป้ใบเล็กๆของเราก็ถือว่าเป็นภาระอันใหญ่หลวงแล้ว ถ้าต้องให้แบกสัมภาระที่เหลือเอง คิดว่าคงโยนทุกอย่างทิ้งตั้งแต่หมู่บ้านแรกแลว
start 2nd day
เริ่มต้นวันนี้ 2 เวลาประมาณ เจ็ดโมงครึ่ง วันนี้เป้าหมายของเราอยู่ที่หมู่บ้าน ตาโตปานิ หมู่บ้านที่มีชื่อเรื่องบ่อน้ำร้อน เราฝันว่าเย็นนี้จะต้องไปนอนแช่ในบ่อน้ำร้อนให้ชื่นใจ แต่ระยะทางที่เราจะต้องไป ราช ลูกหาบของเราบอกว่าต้องเดินไกลกว่าเมื่อวาน!!! เมื่อวานก็แปดชั่วโมงเข้าไปแล้ว วันนี้กว่าจะถึงไม่ปาเข้าไปทุ่มนึงเลยเรอะ แต่บ่นไปก็เท่านั้น มีหน้าที่เดินก็เดินไป
rice and right
หลังจากที่ลงมาจากจอมสอม ก็เริ่มเห็นแต่ละหมู่บ้านมีการทำนามากขึ้น ซึ่งการทำนาบนพื้นที่เขาแบบนี้ก็คงหนีไม่พ้นการทำนาขั้นบันได นอกจากจะเป็นการประกอบอาชีพของคนแถวนี้แล้วก็ยังได้วิวสวยๆให้เราได้ถ่ายรูปกันอีก ซึ่งทุ่งนาสีเขียว ตัดกับยอดเขาสีขาว และท้องฟ้าสีฟ้าสด มันช่างเป็นงานศิลปะของธรรมชาติที่สวยงามและลงตัวที่สุดเกินกว่าฝีมือศิลปินระดับโลกจะรังสรรค์ได้
shoemaker
ช่างซ่อมรองเท้า
ด้วยระยะทางอันยาวไกล เส้นทางอันขรุขระ รองเท้ามือสองคุณภาพพอใช้งานได้จากจตุจักร ก็ต้องมีอันเป็นไปด้วยอาการพื้นรองเท้าเกิดอาการน้อยใจและทำตัวห่างเหินจะตัวรองเท้า จากที่ห่างเหินน้อยๆ เมื่อเจอกับระยะทางอันยาวไกล และเส้นทางอันทรหด อาการห่างเหินนั้นก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น จนสุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนรองเท้าคู่ใหม่ เพราะถ้ายังดันทุรังต่อไป คนใส่ก็จะเจ็บเท้าไปเปล่าๆ
ยังโชคดีที่หมู่บ้านนี้มีช่างทำรองเท้า เราไม่รู้ว่าช่างคนนี้ซ่อมรองเท้าให้นักท่องเที่ยวไปแล้วกี่คน แต่ระหว่างที่เรารอก็มีลูกค้าทั้งที่เป็นนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นมาถามไถ่ถึงรองเท้าของตัวเอง อาชีพนี้ บนสภาพพื้นที่แห่งนี้ ก็คงเป็นอาชีพที่กำไรดีไม่หยอก
ระหว่างที่เรารอรองเท้าซ่อมเสร็จ พี่มนกับพี่นุชก็ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เป็นอันว่าคลาดกันตั้งแต่เริ่มเดินทาง เอาหน่า เดี๋ยวก็คงเจอกันใหม่
donkey
ม้า หรือ ลา เอาจริงๆนี่แยกไม่ค่อยออกนะ แต่เห็นตัวเล็กๆก็คงเป็นลาหมดน่ะแหละ ตั้งแต่ขึ้นมานี่ก็เห็นสัตว์อยู่ไม่กี่อย่าง ควาย ม้า ลา แย็ค(คล้ายๆควาย ตัวใหญ่ๆ ขนยาวๆ) อาจะมีแกะ แพะ บ้าง แต่ที่นิยมเลี้ยงไว้ใช้งานนี่ก็คงเป็นลาเนี่ยแหละที่เห็นเยอะสุด เอาไว้ใช้บรรทุกสิ่งของข้ามหมู่บ้าน ขึ้นเขาลงห้วยนี่ได้หมด เห็นตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้ายของการเทร็คกิ้งเลย เวลาเหนื่อยๆก็นึกอยากขี่ลาน่แหละให้พาไปให้ถึงหมู่บ้าน
morning talk
ไม่รู้ว่าเค้าจับกลุ่มกันคุยเรื่องอะไร แต่คงสนุกน่าดู เพราะมีเสียงหัวเราะเคล้ามาตามสายลมเป็นระยะๆ อากาศหนาวๆจะมีอะไรดีไปกว่าการออกมานั่งอาบแสงแดดอุ่นๆยามเช้า พร้อมจับเข่าคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ดูแล้วช่างเป็นชีวิตที่เรียบง่ายและสงบสุขอะไรเช่นนี้ เห็นแล้วก็อิจฉา เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองดิ้นรนในสังคมที่จากมา ได้แต่ถามตัวเองว่า อะไรคือความสุข?
buff. milk
อยู่เนปาล ลืมเรื่องนมวัวไปได้เลย เพราะที่นี่คนฮินดูเค้านับถือวัวกิน จะเนื้อวัวหรือนมวัวก็ไม่มีให้กินหรอก ที่พอจะหามาทดแทนกันได้ก็นี่แหละ นมควาย หรือนมแย็ค นอกจากจะเอามากินเป็นนมแล้ว ก็ยังเอามาทำยีสต์ หรือโยเกิร์ตได้อีกด้วย แนะนำเมนูเครื่องดื่มกันหน่อย "lassi" เครื่องดื่มที่นมมาจากนม มีรสเปรี้ยวคล้ายโยเกิร์ต อาจมีการแต่งรสบ้างตามชอบ เช่นรสกล้วย หรือเติมน้ำตาลให้หวานหน่อย ก็อร่อยเหาะ
next station
เดินออกมาจนใกล้สุดเขตหมู่บ้านก็ได้เจอกับป้ายนี้ แสดงถึงหมู่บ้านหน้าที่เราจะได้เจอ "กาซ่า" อีก หนึ่งชั่วโมงครึ่ง(อย่าลืมบวกเพิ่มอีก 1-2 ชม.สำหรับเรา) สำหรับบ้านเรา 1 กิโลแม้ว กับบ้านเค้า 1 ชม.เนปาลก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่
alpine
ที่ความสูงขนาดนี้ อากาศที่หนาวขนาดนี้ ก็คงไม่แปลกที่จะได้เจอต้นสนขึ้นอยู่รายรอบเต็มไปหมด ให้บรรยากาศเหมือนอยู่บนเทือกเขาแอลป์ แถมลูกสนที่หล่นตามพื้นที่ลูกใหญ่เบ่อเร่อ จนลูกสนที่เคยเห็นมา เป็นลูกสนจิ๋วไปหมด
beware!!!
เนื่องด้วยระหว่างที่เรารอซ่อมรองเท้ากันอยู่ พี่มน พี่นุช และราช ก็เดินล่วงหน้าเราไปก่อน ลูกหาบอีกคนที่มากับเราก็แนะนำเส้นทางใหม่ให้เราได้รู้จัก เส้นทางมฤตยู จากเส้นทางธรรมดา ที่เป็นทางลาดลงเรียบๆ อ้อมเขาไปเรื่อยๆ เค้าก็พาเรามาเส้นทางนี้ เส้นทางที่ตัดทุกโค้ง ดิ่งลงที่ความชัน 90 องศา หากก้าวพลาดเพียงนิดเดียว มีโอกาศคอหักตายอยู่ที่ตีนเขา กล้ามเนื้อทุกส่วนเกร็งไปหมด หวังเพียงจะให้เราเดินทันกับกลุ่มที่ล่วงหน้าไปก่อน นี่จะต้องเสี่ยงตายกันถึงเพียงนี้เชียวหรอ??? และเส้นทางนี้เองที่ทำให้เข่าผมแทบหลุดออกมาจากเบ้า
along way
ลงเส้นทางมฤตยูมาถึงสองเส้นทาง ก็ยังไม่เห็นวี่แววของกลุ่มที่ล่วงหน้าไปก่อน เราไม่รู้ว่าเค้าเดินล่วงหน้าเราไปไกลแล้ว หรือว่าเส้นทางลัดที่เราเดินผ่านมาจะทำให้เรานำหน้าเค้าแล้ว แต่รอไปก็ไม่มีประโยชน์บางทีเค้าอาจจะรอเราอยู่ที่หมู่บ้านข้างหน้าแล้วก็ได้ มองเห็นทางอีกไกลลิบๆ ยังมองไม่เห็นหมู่บ้านข้างหน้าเลย ชั่วโมงครึ่ง ถ้านับเป็นระยะทางก็ไม่รู้อีกไกลแค่ไหน แต่ถึงจะ along way แค่ไหนเราก็ยังพอรับได้ แต่ถ้า a wrong way เมื่อไหร่ พ่อจะเอาหินข้างทางทุบหัวลูกหาบแน่ๆ
30 minutes
อย่าลืมบวกเพิ่มอีก 1-2 ชั่วโมง!!!
a little thing
มีสิ่งสวยงามอยู่ข้างทางให้เราได้ชื่นชมเสมอ แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆ แต่ก็อยู่ท่เราจะหยุดมองและชื่นชมในความงามเหล่านั้นหรือไม่ บางทีความเหนื่อยล้าจากเส้นทางอันยาวไกล กับเป้าหมายที่ไม่รู้อีกไกลแค่ไหนที่เราจะไปถึง ทำให้เราเดินๆๆๆ จนไม่สนใจความงามระหว่างทาง การหยุดพักเหนื่อยและตั้งสติ จะทำให้เรารู้ว่าความงามไม่ได้มีอยู่แค่ที่ปลายทางเท่านั้น แต่ความงามมีอยู่เต็มไปหมด แม้กระทั่งปลายเท้าของเราเอง การเดินทางความสำคัญไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางเท่านั้น แต่อยู่ที่การเดิน และทาง ที่มีความงามให้เราได้เรียนรู้และสัมผัสจากสองเท้าที่เราก้าวเดิน
barley fields
ทุ่งข้าวบาร์เล่ ไม่รู้ใช่รึป่าวนะ แต่ชั่วโมงนี้อยากให้มีอุกาบาตช็อคโกแลตตกลงมาแล้วกลายเป็นโกโก้ครั้นช์มาก เห็นมีทุ่งนา มีบ้านเรือนตั้งอยู่แบบนี้ก็ใจชื้นว่าเราคงเข้ามาในเขตหมู่บ้านแล้ว
welcome to ghasa
ถึงแล้วหมู่บ้านกาซ่า มองไปมองมารอบหมู่บ้านก็ยังมองไม่เห็นพี่มนกับพี่นุชที่ล่วงหน้ามาก่อน อาจะเป็นไปได้ว่าเค้าก็รอเราอยู่ระหว่างทางเหมือนกัน เราใช้เวลารออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มองเห็นราชกับพี่นุชเดินมาอยู่ไกลๆ ส่วนพี่มนก็เดิมตามหลังมา แล้วทีมก็ได้มารวมตัวกันอีกครั้ง เวลาล่วงเลยมาเกือบเที่ยงวันแล้ว เราตกลงใจจะกินข้าวกลางวันที่นี่ และจากปัญหาที่เราคลาดกันทำให้เราเสียเวลาไปเกือบชั่วโมง และจากหมู่บ้านนี้ไปถึงเป้าหมายของเราก็จะใช้เวลาอีก 6-7 ชม. ซึ่งอาจจะไปถึงค่ำเกินไป และจากอาการของพี่มนที่ปวดขามาตั้งแต่เมื่อวาน และดูท่าทางว่าจะไม่ไหว และเมฆฝนที่ตั้งเค้าและทำท่าจะตกลงมาอย่างหนัก ทำให้เราตัดสินใจกันว่า เราจะนั่งรถกันไปหมู่บ้านตาโตปานิแทน เฮ่!!! (นี่คืออ้างข้ออ้างสารพัดเพื่อที่จะทำให้การนั่งรถของตัวเองไม่รู้สึกผิดมากไป) แต่หลังจากที่เรานั่งรถออกมาจากกาซ่าแล้ว ฝนก็เทลงมาอย่างหนัก ถ้าเราเดินก็ไม่มีที่หลบฝน คงจะเปียกไปกันหมด ถือว่าเราตัดสินใจถูกแล้วที่นั่งรถมา เราต่อค่ารถจี๊ปมาได้ 40 USD หรือประมาณ 4000 เนปาลรูปี หารสาม ประมาณ 1333 บาท / 6 คน รวมลูกหาบ ซึ่งปกติเค้าคิดคนละ 1000 เนปาลรูปี
ในรูปจะเห็นรถมากมาย เป็นเพราะหมู่บ้านนี้เป็นท่ารถที่จะใช้ต่อไปหมู่บ้านต่างๆนั่นเอง
welcome to tatopani
มาถึงแล้วเป้าหมายของเราในวันนี้ ยังบ่ายๆอยู่เลย นั่งรถจากกาซ่ามาประมาณ 2 ชม. ซึ่งลดระยะเวลาจากการเดินเท้าได้กว่า 4 ชม. เรามีเวลาให้เดินเลือกที่พัก แวะกินเค๊กกินขนมหวานที่อยากกิน แวะเดินซื้อของที่ระลึก และไปลงแช่บ่อน้ำร้อนกัน
[CR] เนปาลในความทรงจำ (Namaste Nepal: Jomsom Poonhill Trekking and Nepal world heritage) part 4
ย้อนรอยกระทู้เก่า
part 1 http://pantip.com/topic/33922935
part 2 http://pantip.com/topic/33923061
part 3 http://pantip.com/topic/33923220
part 4 http://pantip.com/topic/33926411
part 5 http://pantip.com/topic/33926789
good morning kalopani
อรุณสวัสดิ์ยามเช้า ณ หมู่บ้านกาโลปานิ วันที่ 4 ในประเทศเนปาล และวันที่ 2 ของการเทร็คกิ้ง ตื่นเช้ารับวันใหม่ด้วยความสดชื่น จากความอ่อนล้าของร่างกายเมื่อวานที่ต้องเดินกว่าแปดชั่วโมง และฤทธิ์ยาทุกขนานที่ประเคนเข้าร่างกายเพื่อลดอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ ทำให้เมื่อคืนสลบไสลไปด้วยความอ่อนเพลีย และตื่นรับเช้าวันใหม่ด้วยอากาศที่หนาวเข้ากระดูก และอากาศตึงๆกล้ามเนื้อน่อง ต้นขา และไหล่ อีกประมาณนึง นี่ขนาดอัพยาแล้วนะ ถ้าไม่ได้แตะยาเมื่อวาน วันนี้คงกลายเป็นคนพิการเดินไม่ได้เลยทีเดียว ตื่นมายืดกล้ามเนื้อเล็กน้อย ออกมาสูดอากาศภายนอก พร้อมหยิบกล้องออกมาลั่นชัตเตอร์จังหวะที่แสงอาทิตย์กำลังสาดแสงผ่านภูเขา ช่างเป็นภาพที่สวยงามยามเช้า ที่มอบความสดชื่นให้กับร่างกายที่อ่อนล้าได้ดีนัก
himalayan
ถ้า เทวาลัย แปลว่า ที่อยู่ของเทวดา แล้วล่ะก็ หิมาลัย ก็คงแปลว่า ที่อยู่ของหิมะ ได้เช่นกัน แม้ว่าเราจะเดินห่างมาจากจอมสอมไกลขนาดไหน ทุกย่างก้าวบนเส้นทางนี้ ไม่มีจุดไหนเลยที่จะมองไม่เห็นยอดขาวๆของเทือกเขาหิมาลัย คงไม่ต้องอธิบายถึงความใหญ่โตของมัน เพราะอยู่เหนือจินตนาการของเรามากนักถ้าไม่ได้พบเห็นด้วยตาตัวเอง แม้กระทั่งที่พักของเราวันนี้ ตื่นมาก็ได้พบกับภูเขาหิมะที่ล้อมรอบอยู่ทั้งหน้าและหลัง เหมือนอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของภูเขา ช่วงเวลายามเช้าเป็นช่วงนี้ฟ้าเปิดเผยโฉมให้เราได้ชื่นชมความสวยงามของยอดเขา เหมือนดั่งเป็นรางวัลให้กับความเหนื่อยล้าของผู้คนที่ดั้นด้นขึ้นมาถึงจุดๆนี้ เมื่อตะวันคล้อยขึ้นในยามสาย ยอดเขาหิมะลัยก็กลับไปอยู่หลังเมฆหมอก ปล่อยให้เป็นเวลาที่นักท่องเที่ยวอย่างเรา มุ่งหน้าไปยังจุดหมายใหม่ๆ เพื่อค้นหาประสบการณ์และมุมมองใหม่ๆ ต่อไป
porter
หรือที่คนไทยเรียกกันว่า ลูกหาบ ฟังดูแล้วเป็นผู้คนที่ใช้แรงงาน แต่ว่าไม่ได้เพราะคนเหล่านี้ถือเป็นผู้มีพระคุณในการเดินทางท่องเที่ยวของเราในครั้งนี้เลย เพราะถ้าไม่มีลูกหาบ สัมภาระอันหนักอึ้งของพวกเราที่มีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 30 กิโล ก็คงไม่มีคนแบกขึ้นมา ถ้าจะมอบภาระให้ตัวเองเป็นคนแบกก็คงคิดว่าไม่สามารถมาเหยียบ ณ จุดที่สูงได้ขนาดนี้ ลูกหาบของเราในครั้งนี้มี 2 คน คนหนึ่งชื่อ "ราช" ส่วนอีกคนไม่รู้ชื่อ ราช พูดภาษาอังกฤษได้ มีหน้าที่เป็นทั้งไกด์และลูกหาบให้พวกเรา คอยเป็นล่าม แล้วก็คอยติดต่อทุกๆเรื่อง ขณะที่เราเทร็คกิ้งกัน ส่วนอีกคนก็พูดอังกฤษได้นิดหน่อย ส่วนมากจะมองหน้าแล้วก็ยิ้มซะมากกว่า ซึ่งทั้งสองคนจะต้องแบกสัมภาระของเราคนละไม่ต่ำกว่า 15 กิโล แค่เป้ใบเล็กๆของเราก็ถือว่าเป็นภาระอันใหญ่หลวงแล้ว ถ้าต้องให้แบกสัมภาระที่เหลือเอง คิดว่าคงโยนทุกอย่างทิ้งตั้งแต่หมู่บ้านแรกแลว
start 2nd day
เริ่มต้นวันนี้ 2 เวลาประมาณ เจ็ดโมงครึ่ง วันนี้เป้าหมายของเราอยู่ที่หมู่บ้าน ตาโตปานิ หมู่บ้านที่มีชื่อเรื่องบ่อน้ำร้อน เราฝันว่าเย็นนี้จะต้องไปนอนแช่ในบ่อน้ำร้อนให้ชื่นใจ แต่ระยะทางที่เราจะต้องไป ราช ลูกหาบของเราบอกว่าต้องเดินไกลกว่าเมื่อวาน!!! เมื่อวานก็แปดชั่วโมงเข้าไปแล้ว วันนี้กว่าจะถึงไม่ปาเข้าไปทุ่มนึงเลยเรอะ แต่บ่นไปก็เท่านั้น มีหน้าที่เดินก็เดินไป
rice and right
หลังจากที่ลงมาจากจอมสอม ก็เริ่มเห็นแต่ละหมู่บ้านมีการทำนามากขึ้น ซึ่งการทำนาบนพื้นที่เขาแบบนี้ก็คงหนีไม่พ้นการทำนาขั้นบันได นอกจากจะเป็นการประกอบอาชีพของคนแถวนี้แล้วก็ยังได้วิวสวยๆให้เราได้ถ่ายรูปกันอีก ซึ่งทุ่งนาสีเขียว ตัดกับยอดเขาสีขาว และท้องฟ้าสีฟ้าสด มันช่างเป็นงานศิลปะของธรรมชาติที่สวยงามและลงตัวที่สุดเกินกว่าฝีมือศิลปินระดับโลกจะรังสรรค์ได้
shoemaker
ช่างซ่อมรองเท้า
ด้วยระยะทางอันยาวไกล เส้นทางอันขรุขระ รองเท้ามือสองคุณภาพพอใช้งานได้จากจตุจักร ก็ต้องมีอันเป็นไปด้วยอาการพื้นรองเท้าเกิดอาการน้อยใจและทำตัวห่างเหินจะตัวรองเท้า จากที่ห่างเหินน้อยๆ เมื่อเจอกับระยะทางอันยาวไกล และเส้นทางอันทรหด อาการห่างเหินนั้นก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น จนสุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนรองเท้าคู่ใหม่ เพราะถ้ายังดันทุรังต่อไป คนใส่ก็จะเจ็บเท้าไปเปล่าๆ
ยังโชคดีที่หมู่บ้านนี้มีช่างทำรองเท้า เราไม่รู้ว่าช่างคนนี้ซ่อมรองเท้าให้นักท่องเที่ยวไปแล้วกี่คน แต่ระหว่างที่เรารอก็มีลูกค้าทั้งที่เป็นนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นมาถามไถ่ถึงรองเท้าของตัวเอง อาชีพนี้ บนสภาพพื้นที่แห่งนี้ ก็คงเป็นอาชีพที่กำไรดีไม่หยอก
ระหว่างที่เรารอรองเท้าซ่อมเสร็จ พี่มนกับพี่นุชก็ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เป็นอันว่าคลาดกันตั้งแต่เริ่มเดินทาง เอาหน่า เดี๋ยวก็คงเจอกันใหม่
donkey
ม้า หรือ ลา เอาจริงๆนี่แยกไม่ค่อยออกนะ แต่เห็นตัวเล็กๆก็คงเป็นลาหมดน่ะแหละ ตั้งแต่ขึ้นมานี่ก็เห็นสัตว์อยู่ไม่กี่อย่าง ควาย ม้า ลา แย็ค(คล้ายๆควาย ตัวใหญ่ๆ ขนยาวๆ) อาจะมีแกะ แพะ บ้าง แต่ที่นิยมเลี้ยงไว้ใช้งานนี่ก็คงเป็นลาเนี่ยแหละที่เห็นเยอะสุด เอาไว้ใช้บรรทุกสิ่งของข้ามหมู่บ้าน ขึ้นเขาลงห้วยนี่ได้หมด เห็นตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้ายของการเทร็คกิ้งเลย เวลาเหนื่อยๆก็นึกอยากขี่ลาน่แหละให้พาไปให้ถึงหมู่บ้าน
morning talk
ไม่รู้ว่าเค้าจับกลุ่มกันคุยเรื่องอะไร แต่คงสนุกน่าดู เพราะมีเสียงหัวเราะเคล้ามาตามสายลมเป็นระยะๆ อากาศหนาวๆจะมีอะไรดีไปกว่าการออกมานั่งอาบแสงแดดอุ่นๆยามเช้า พร้อมจับเข่าคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ดูแล้วช่างเป็นชีวิตที่เรียบง่ายและสงบสุขอะไรเช่นนี้ เห็นแล้วก็อิจฉา เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองดิ้นรนในสังคมที่จากมา ได้แต่ถามตัวเองว่า อะไรคือความสุข?
buff. milk
อยู่เนปาล ลืมเรื่องนมวัวไปได้เลย เพราะที่นี่คนฮินดูเค้านับถือวัวกิน จะเนื้อวัวหรือนมวัวก็ไม่มีให้กินหรอก ที่พอจะหามาทดแทนกันได้ก็นี่แหละ นมควาย หรือนมแย็ค นอกจากจะเอามากินเป็นนมแล้ว ก็ยังเอามาทำยีสต์ หรือโยเกิร์ตได้อีกด้วย แนะนำเมนูเครื่องดื่มกันหน่อย "lassi" เครื่องดื่มที่นมมาจากนม มีรสเปรี้ยวคล้ายโยเกิร์ต อาจมีการแต่งรสบ้างตามชอบ เช่นรสกล้วย หรือเติมน้ำตาลให้หวานหน่อย ก็อร่อยเหาะ
next station
เดินออกมาจนใกล้สุดเขตหมู่บ้านก็ได้เจอกับป้ายนี้ แสดงถึงหมู่บ้านหน้าที่เราจะได้เจอ "กาซ่า" อีก หนึ่งชั่วโมงครึ่ง(อย่าลืมบวกเพิ่มอีก 1-2 ชม.สำหรับเรา) สำหรับบ้านเรา 1 กิโลแม้ว กับบ้านเค้า 1 ชม.เนปาลก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่
alpine
ที่ความสูงขนาดนี้ อากาศที่หนาวขนาดนี้ ก็คงไม่แปลกที่จะได้เจอต้นสนขึ้นอยู่รายรอบเต็มไปหมด ให้บรรยากาศเหมือนอยู่บนเทือกเขาแอลป์ แถมลูกสนที่หล่นตามพื้นที่ลูกใหญ่เบ่อเร่อ จนลูกสนที่เคยเห็นมา เป็นลูกสนจิ๋วไปหมด
beware!!!
เนื่องด้วยระหว่างที่เรารอซ่อมรองเท้ากันอยู่ พี่มน พี่นุช และราช ก็เดินล่วงหน้าเราไปก่อน ลูกหาบอีกคนที่มากับเราก็แนะนำเส้นทางใหม่ให้เราได้รู้จัก เส้นทางมฤตยู จากเส้นทางธรรมดา ที่เป็นทางลาดลงเรียบๆ อ้อมเขาไปเรื่อยๆ เค้าก็พาเรามาเส้นทางนี้ เส้นทางที่ตัดทุกโค้ง ดิ่งลงที่ความชัน 90 องศา หากก้าวพลาดเพียงนิดเดียว มีโอกาศคอหักตายอยู่ที่ตีนเขา กล้ามเนื้อทุกส่วนเกร็งไปหมด หวังเพียงจะให้เราเดินทันกับกลุ่มที่ล่วงหน้าไปก่อน นี่จะต้องเสี่ยงตายกันถึงเพียงนี้เชียวหรอ??? และเส้นทางนี้เองที่ทำให้เข่าผมแทบหลุดออกมาจากเบ้า
along way
ลงเส้นทางมฤตยูมาถึงสองเส้นทาง ก็ยังไม่เห็นวี่แววของกลุ่มที่ล่วงหน้าไปก่อน เราไม่รู้ว่าเค้าเดินล่วงหน้าเราไปไกลแล้ว หรือว่าเส้นทางลัดที่เราเดินผ่านมาจะทำให้เรานำหน้าเค้าแล้ว แต่รอไปก็ไม่มีประโยชน์บางทีเค้าอาจจะรอเราอยู่ที่หมู่บ้านข้างหน้าแล้วก็ได้ มองเห็นทางอีกไกลลิบๆ ยังมองไม่เห็นหมู่บ้านข้างหน้าเลย ชั่วโมงครึ่ง ถ้านับเป็นระยะทางก็ไม่รู้อีกไกลแค่ไหน แต่ถึงจะ along way แค่ไหนเราก็ยังพอรับได้ แต่ถ้า a wrong way เมื่อไหร่ พ่อจะเอาหินข้างทางทุบหัวลูกหาบแน่ๆ
30 minutes
อย่าลืมบวกเพิ่มอีก 1-2 ชั่วโมง!!!
a little thing
มีสิ่งสวยงามอยู่ข้างทางให้เราได้ชื่นชมเสมอ แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆ แต่ก็อยู่ท่เราจะหยุดมองและชื่นชมในความงามเหล่านั้นหรือไม่ บางทีความเหนื่อยล้าจากเส้นทางอันยาวไกล กับเป้าหมายที่ไม่รู้อีกไกลแค่ไหนที่เราจะไปถึง ทำให้เราเดินๆๆๆ จนไม่สนใจความงามระหว่างทาง การหยุดพักเหนื่อยและตั้งสติ จะทำให้เรารู้ว่าความงามไม่ได้มีอยู่แค่ที่ปลายทางเท่านั้น แต่ความงามมีอยู่เต็มไปหมด แม้กระทั่งปลายเท้าของเราเอง การเดินทางความสำคัญไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางเท่านั้น แต่อยู่ที่การเดิน และทาง ที่มีความงามให้เราได้เรียนรู้และสัมผัสจากสองเท้าที่เราก้าวเดิน
barley fields
ทุ่งข้าวบาร์เล่ ไม่รู้ใช่รึป่าวนะ แต่ชั่วโมงนี้อยากให้มีอุกาบาตช็อคโกแลตตกลงมาแล้วกลายเป็นโกโก้ครั้นช์มาก เห็นมีทุ่งนา มีบ้านเรือนตั้งอยู่แบบนี้ก็ใจชื้นว่าเราคงเข้ามาในเขตหมู่บ้านแล้ว
welcome to ghasa
ถึงแล้วหมู่บ้านกาซ่า มองไปมองมารอบหมู่บ้านก็ยังมองไม่เห็นพี่มนกับพี่นุชที่ล่วงหน้ามาก่อน อาจะเป็นไปได้ว่าเค้าก็รอเราอยู่ระหว่างทางเหมือนกัน เราใช้เวลารออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มองเห็นราชกับพี่นุชเดินมาอยู่ไกลๆ ส่วนพี่มนก็เดิมตามหลังมา แล้วทีมก็ได้มารวมตัวกันอีกครั้ง เวลาล่วงเลยมาเกือบเที่ยงวันแล้ว เราตกลงใจจะกินข้าวกลางวันที่นี่ และจากปัญหาที่เราคลาดกันทำให้เราเสียเวลาไปเกือบชั่วโมง และจากหมู่บ้านนี้ไปถึงเป้าหมายของเราก็จะใช้เวลาอีก 6-7 ชม. ซึ่งอาจจะไปถึงค่ำเกินไป และจากอาการของพี่มนที่ปวดขามาตั้งแต่เมื่อวาน และดูท่าทางว่าจะไม่ไหว และเมฆฝนที่ตั้งเค้าและทำท่าจะตกลงมาอย่างหนัก ทำให้เราตัดสินใจกันว่า เราจะนั่งรถกันไปหมู่บ้านตาโตปานิแทน เฮ่!!! (นี่คืออ้างข้ออ้างสารพัดเพื่อที่จะทำให้การนั่งรถของตัวเองไม่รู้สึกผิดมากไป) แต่หลังจากที่เรานั่งรถออกมาจากกาซ่าแล้ว ฝนก็เทลงมาอย่างหนัก ถ้าเราเดินก็ไม่มีที่หลบฝน คงจะเปียกไปกันหมด ถือว่าเราตัดสินใจถูกแล้วที่นั่งรถมา เราต่อค่ารถจี๊ปมาได้ 40 USD หรือประมาณ 4000 เนปาลรูปี หารสาม ประมาณ 1333 บาท / 6 คน รวมลูกหาบ ซึ่งปกติเค้าคิดคนละ 1000 เนปาลรูปี
ในรูปจะเห็นรถมากมาย เป็นเพราะหมู่บ้านนี้เป็นท่ารถที่จะใช้ต่อไปหมู่บ้านต่างๆนั่นเอง
welcome to tatopani
มาถึงแล้วเป้าหมายของเราในวันนี้ ยังบ่ายๆอยู่เลย นั่งรถจากกาซ่ามาประมาณ 2 ชม. ซึ่งลดระยะเวลาจากการเดินเท้าได้กว่า 4 ชม. เรามีเวลาให้เดินเลือกที่พัก แวะกินเค๊กกินขนมหวานที่อยากกิน แวะเดินซื้อของที่ระลึก และไปลงแช่บ่อน้ำร้อนกัน