มาต่อกันกับวันที่ 5 เลยคับ
ย้อนรอยกระทู้เก่า
part 1
http://pantip.com/topic/33922935
part 2
http://pantip.com/topic/33923061
part 3
http://pantip.com/topic/33923220
part 4
http://pantip.com/topic/33926411
part 5
http://pantip.com/topic/33926789
Check point
อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่ 5 ในประเทศเนปาล และวันที่ 3 ของการเทร็คกิ้ง หลังจากเมื่อวานที่ไปนอนแช่น้ำร้อนมา วันนี้รู้สึกสบายตัวขึ้นหน่อยนึง หน่อยนึงประมาณ 1 เต็ม 10 เอาหน่าถึงจะไม่ได้ช่วยอะไรมาก แต่อย่างน้อยก็ได้อาบน้ำร้อน เพราะที่พักไม่มีน้ำร้อนให้อาบ แถมไฟก็ติดๆดับๆทั้งคืน ถือเป็นเรื่องปกติที่นี่ ถึงไฟฟ้าจะเข้าทุกหมู่บ้านแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีไฟฟ้าใช้ตลอดคืน ยังไงก็อย่าลืมที่จะพกไฟฉายไปด้วย จะช่วยได้เยอะทีเดียว
วันนี้เราออกเดินทางจากหมู่บ้านตาโตปานิ เพื่อจะไปยังเป้าหมายต่อไป หมู่บ้านโกเรปานิ หมู่บ้านที่เป็นจุดพักก่อนจะขึ้นไปยอดปุนฮิล จุดชมวิวอันดับ 1 ที่คนมาเนปาลจะต้องไปให้ถึง
สังเกตมั้ยว่าวันนี้ ไม่มีรูปยอดเขาหิมะมาอรุณสวัสดิ์ ก็เพราะว่าหมู่บ้านนี้อยู่จุดต่ำสุดของเส้นทางเทร็คกิ้งของเราในครั้งนี้เลย (ลองย้อนกลับไปดูรูปเส้นทางเทร็คกิ้ง) ตอนนี้เราจึงอยู่ท่ามกลางภูเขาหินซึ่งบดบังทัศนียภาพของภูเขาหิมะจนหมดสิ้น และอีกหนึ่งเรื่องคือตั้งแต่วันแรกเราเดินลงกันเรื่อยๆจนมาสุดทางแล้ว และจากจุดนี้เป็นต้นไป เราต้องเดินขึ้นกันตลอดเส้นทาง!!! แค่คิดก็มันส์แล้ว
เริ่มต้นเดินทาง ออกจากหมู่บ้านมาก็เจอจุดเช็ค TIMS ซึ่งนักท่องเที่ยวจะต้องมาเช็คเพื่อยืนยันให้เค้ารู้ว่าเราผ่านเส้นทางนี้มาแล้วนะ ยังไม่ได้สูญหายไประหว่างทางนะ ถ้าหายก็ไปตามหาเอาข้างหน้าแล้วกัน
this way this day
ออกมาจาหมู่บ้านหน่อยนึง ก็ยังเป็นทางราบให้เราพอชื่นใจ หลอกให้เราตายใจว่าวันนี้คงไม่หนักหนาสาหัสเท่าไหร่หรอก เค้าคงไปถึงหมู่บ้านโกเรปานิ ได้ตามเป้าหมาย แต่หารู้ไม่ว่าเรื่องเส้นทางที่เนปาลเนี่ย หลอกเรามาเยอะแล้ว
เส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางเดินเท้าร่วมกับเส้นทางรถวิ่ง จะเห็นได้จากมีหินก้อนเหลี่ยมๆมากั้นระหว่างถนนกับภูเขา เพื่อป้องกันรถตกลงไปในเหว ซึ่งเอาเข้าจริงๆคิดว่าจะกันได้หรอ???
pass way
ยืนถ่ายรูปแล้วลองมองย้อนกลับไปยังเส้นทางที่เราเดินผ่านมา ก็นึกมหัศจรรย์ใจในตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไปได้ยังไง เดินวันละ7-8 ช.ม. ครั้งที่คงเป็นการเดินทางที่ทรหดมากที่สุดในชีวิตท่ผ่านมาแล้ว แต่ก็ไม่นึกเสียใจนะกับความงดงามและยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่ได้พบเห็น บางครั้งความลำบากมันก็ทำให้ผลลัพธ์ที่เราได้มา หอมหวานงดงามมากกว่าเดิมอีกหลายๆเท่า
อย่ามัวแต่เดินก้มหน้างุดๆ ตั้งใจจะไปให้ถึงเป้าหมายข้างหน้า ลองหยุดแล้วหันกลับไปดูเส้นทางที่เราเดินผ่านมา ลองทบทวน แล้วเราจะเห็นคุณค่าในชีวิตมากมาย
Ghorepani
คือเป้าหมายของเราในวันนี้ หมู่บ้านที่ใครที่มาเทร็คกิ้งที่เนปาลจะต้องไปให้ถึง เพราะเป็นหมู่บ้านเดียวที่ใกล้ที่สุดที่จะขึ้นไปถึงยอดปุนฮิล(Poonhill) ยอดเขาที่เป็นจุดชมวิวภูเขาหิมะ ในมุมมอง 360 องศา และรอชมพระอาทิตย์ขึ้นมาสาดแสงเล่นกับเทือกเขาหิมาลัย แต่หนทางอันยาวไกลนี่สิ วันนี้จากตาโตปานิ เราจะต้องผ่านอีก 2 หมู่บ้าน คือ สิกขา และ จิตเตร ก่อนที่จะถึงโกเรปานิ อาจจะดูว่าแค่ 2 หมู่บ้านชิลๆ แต่วันนี้แหละ นรกที่แท้จริง
Stream
ลักษณะภูมิประเทศเปลี่ยนไปอีกแล้ว จากวันแรกๆที่เราเดินทางกันบนพื้นราบ สภาพแวดล้อมแห้งแล้งเหมือนกับทะเลทราย แต่วันนี้เส้นทางที่เดินเริ่มกลายเป็นป่าเขา มีความชุ่มชื้น มีต้นไม้บังแดด แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจอมาตลอดทั้งเส้นทางนั่นคือลำธารที่ละลายมาจากภูเขาหิมะ คอยหล่อเลี้ยงทุกชีวิตท่ามกลางหุบเขาแห่งนี้
shutter
นี่คือท่ายืนถ่ายรูปภาพที่ผ่านมา ดูโปรเฟสชั่นนอลมาก พยายามถ่ายรูปเก็บไว้ตั้งแต่ช่วงแรกๆที่ยังมีแรง เพราะจากการเดินเมื่อสองวันที่ผ่านมาสอนให้รู้ว่า ยิ่งเดินระยะทางยิ่งไกล ภาพถ่ายก็ยิ่งลดลง เพราะแค่จะเดินให้รอดก็ยังไม่ไหว การจะยกกล้องมาถ่ายรูปก็ยิ่งเป็นการยากเหลือเกิน เพราะไหนจะเสียพลังงานในการยกกล้องมาถ่ายแล้ว ยังต้องหยุดเดินทำให้ไม่ทันคนอื่นอีก ดังนั้น ตอนที่ยังไหว ก็ถ่ายไว้เยอะๆ
signs
ป้ายบอกทาง เราน่าจะเข้าสู่เส้นทางยอดนิยมของการเทร็คกิ้งครั้งนี้แล้วก็ว่าได้ เพราะว่าเจอป้ายบอกทางถี่มากๆ ถ้าเทียบกับเส้นทางวันแรกที่เราเดินมา แทบจะไม่มีป้ายบอกทางเลย ส่วนวันนี้จะบ่อยจนไม่ต้องกลัวหลงเลย สามารถเดินเองได้โดยไม่ต้องพึ่งไกด์ ในรูปก็จะเห็นป้าย ตาโตปานิ หมู่บ้านที่เราเพิ่งจากมา โกเรปานิ หมู่บ้านเป้าหมายของเราวันนี้ และเบนิ อีกหมู่บ้านนึงที่อยู่บนเส้นทางเทร็คกิ้ง
hello
เริ่มแล้วกับการทักทายเราด้วยการเดินขึ้นเขาลูกแรก จุดนี้เพิ่งเป็นจุดแวะพัก ยังไม่ใช่จุดสูงสุดของยอดเขา เส้นทางยังอีกยาวไกลนักและเป็นทางขึ้นตลอดเว ระหว่างเดินขึ้น แม้จะมีบันได(หิน)เป็นขั้นๆให้เราเดินได้ง่าย แต่ก็ยังปวดขาโครตๆ ลองนึกถึงการเดินขึ้นบันไดทีละ 2 ขั้นต่อเนื่องกัน แล้วไม่ใช่บันไดเรียบๆนะ แต่เป็นบันไดขรุขระ ซิกแซ็กไปมา แทบจะยกธงขาวยอมแพ้ แต่พอขึ้นมาถึงจุดชมวิว ท้องฟ้าก็เปิดให้ยอดเขาออกมาทักทายพวกเรา เหมือนกับให้รางวัลเล็กๆในความพยายามขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ และเหมือนภูเขาตะโกนบอกเราว่า ถ้าอยากเห็นใกล้ๆ ก็พยายามให้มากกว่านี้สิ
looking forward
"เป้าหมาย มีไว้พุ่งชน" เราต้องใกล้กันมากกว่านี้ สัญญา
walk forward
พักกันจนหายเหนื่อย แล้วก็เดินกันต่อไป จากจุดพักที่แล้ว เราก็ยังต้องเดินขึ้นต่ออีก ถึงจะเจอหมู่บ้าน แต่คงเรียกว่าหมู่บ้านไม่ได้ น่าจะเรียกว่ากลุ่มบ้านมากกว่า เพราะมีแค่ไม่กี่หลัง ระหว่างทางเราอาจจะได้เห็นบ้านสร้างอยู่เรียงราย เพราะเริ่มมีการมาจับจองพื้นที่ทำเกษตรกรรม ระหว่างทางจึงไม่ค่อยเหงา มีผู้คนให้มอง และทักทาย
up & up & up
ขึ้นและขึ้นและขึ้น และพักทุกๆ 2 นาที แล้วเมื่อไหร่จะถึงล่ะเนี่ย
shampoo
เด็กน้อยชาวเนปาลกำลังสระผม ไม่รู้นี่เป็นวัฒนธรรมของที่นี่รึป่าวนะ ที่ออกมาสระผมโชว์นักท่องเที่ยว แต่คงเพราะอากาศหนาวและน้ำที่เย็นเป็นน้ำแข็งมากกว่า จะให้อาบทั้งตัวก็หนาวไป ราดแค่หัวแล้วสระผมเอาคงจะหนาวน้อยกว่า ว่าแต่ดูคุ้นๆนะ เหมือนจะเคยทำมาเหมือนกันตอนที่บ้านอากาศหนาว
bird eye view
ขึ้นมาสูงได้อีก นี่ก็ยังไม่ถึงจุดสูงสุดของการเดิน เรายังต้องเดินขึ้นอีก ระหว่างทางก็จะเห็นการทำนาขั้นบันไดอยู่ตลอดสองข้างทาง สวยงาม
Farmer
ช่วงที่ไป คงเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยว จึงได้พบเห็นชาวนา ซึ่งที่เห็นเป็นผู้หญิง (ไม่รู้ผู้ชายไปไหนหมด) กำลังเกี่ยวข้าวใส่กระบุง ที่นี่เค้าแฮนเมดทุกอย่าง ทุกอย่างทำด้วยมือตัวเองไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ทำไว้กินเองในครอบครัว เหลือก็เอาไว้ขาย ดูไปก็เศรษฐกิจพอเพียงดี
winnowing
พอเกี่ยวข้าวเสร็จก็เอาข้าวมาตากแดดที่ลานกว้างๆ แล้วก็เอาไม้ทุบ น่าจะให้เมล็ดข้าวหลุดออกมา คงจะเหมือนการฝัดข้าวบ้านเรา (ซึ่งก็เป็นผู้หญิงทำอีกแล้ว)
Hello Shikha
อ่อ ผู้ชายนั่งกินข้าวอยู่ที่นี่เอง...
เราเพิ่งมาถึงหมู่บ้านสิกขาเอาก็ตอนเวลาเที่ยงมาหน่อยๆแล้ว เราแวะกินข้าวเที่ยงกันที่หมู่บ้านนี้ แล้วเช่นเคย สั่งข้าวไว้ แล้วเราก็นอนหลับ(คือเดินขึ้นเขาตลอดทาง เหนื่อยจริงไรจริงวันนี้) จนบ่ายโมงกว่าๆ ข้าวถึงเพิ่งมาเสิร์ฟ เราก็ต้องรีบกินเพื่อที่จะได้รีบเดินต่อ เพราะกว่าจะถึงโกเรปานิอีกไกลโข ส่วนกลุ่มชายชาวเนปาลนี้ก็คงมานั่งพักทานข้าวเที่ยงกันหลังจากเสร็จจากการทำงาน(ทำงานไรหว่า เห็นแต่ผู้หญฺิงทำ)
high away
ก็ยังต้องเดินขึ้นต่อไป คือไม่รู้จะอธิบายยังไงอ่ะ ว่ามันโครตของโครตๆเหนื่อย คือเอาสองวันที่ผ่านมารวมกันยังไม่เหนื่อยเท่าวันนี้อ่ะ
ออกมาจากหมู่บ้านสิกขาก็มาเจอเส้นทางนี้ อย่างกับเข้ามาอยู่ในยุคโบราณ ต้นไม้ดูเก่าแก่มาก เป็นต้นกุหลาบพันปีที่ยังไม่ออกดอก(หรือร่วงไปหมดแล้วก็ไม่รู้) บรรยากาศก็สวยงามไปอีกแบบ
arrrrrh!!!
อุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกัน เมื่อเห็นขั้นบันไดที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้
้how long?? อีกไกลมั้ยกว่าจะถึง คิดว่าคงเป็นคำถามยอดฮิตมากที่สุดของคนที่มาเดินเทร็คกิ้งที่นี่หากมีการทำสถิติ
"กลับตัวก็ไม่ได้ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง"
"อีกไกลแค่ไหนจนกว่าฉันจะใกล้บอกที"
"ชั้นมาทำอะไรที่นี่"
ทุกเพลงที่แสดงถึงความท้อแท้วนเวียนอยู่ในหัวเต็มไปหมด ได้แต่ก้มหน้างุดๆเดินต่อไป
Problem
ซวยอีกแล้ว!!! เราเดินกันมาจนถึงจิตเตร อีกหมู่บ้านเดียวก็จะถึงโกเรปานิแล้ว แต่ความซวยไม่เคยปรานีใคร "ฝนตก!!!" หนักถึงหนักมาก และไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงง่ายๆ เรามาแวะพักหลับฝนกันที่บ้านพักร้างแห่งหนึ่ง กับสามีภรรยาฝรั่งอีกคู่หนึ่ง เราตั้งใจว่าจะรอฝนซาแล้วจะเดินกันต่อ แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีท่าทีว่าจะซาลงเลย แถมฟ้าก็เริ่มมืดลงเรื่อยๆ เราถามลูกหาบว่าถ้าเราจะเดินลุยฝนกันต่อจะเป็นยังไง คุณราชก็บอกว่ามันอันตรายมาก เพราะทางชัน อาจจะลื่นหินล้ม หรือถ้าโชคไม่ดีก็อาจจะเจอหิมะถล่มใส่ และระหว่างทางก็ไม่มีที่หลบฝนเลย เลยจำเป็นต้องตัดสินใจว่า คืนนี้เราคงต้องนอนกันที่นี่แล้วล่ะ จากที่ตั้งแผนไว้ว่าเราจะต้องไปนอนที่โกเรปานิ แล้วตื่นแต่เช้าขึ้นพูนฮิล กลายเป็นว่าเราต้องนอนที่นี่ แล้วพรุ่งนี้ตื่นแต่เช้า เดินไปโกเรปานิ ฝากกระเป๋าแล้วขึ้นปุนฮิลเลย ซึ่งก็จะไม่ทันดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแผน เพราะความซวยมาเยือนขนาดนี้แล้ว ขึ้นดันทุรังต่อไปอาจจะเจอความซวยขนาดใหญ่หลวงก็เป็นได้ สรุปแผนเสร็จก็เดินหาที่พักกัน และวันนี้พี่กบขอเข้าครัวและทำอาหารให้เรากินกัน ท่ามกลางแสงเทียน(ไฟดับ) ก็ดีนะในความซวยก็ยังมีความสุขให้เราได้รู้สึกบ้าง

ความประทับใจในจิตเตร หลังจากที่เราติดฝนไปต่อไม่ได้ จนต้องพักที่จิตเตรกันก่อน ราชก็ไปติดต่อหาที่พักแห่งนึง ซึ่งไม่มีนักท่องเที่ยวอยู่เลย!!! (หมู่บ้านนี้เป็นแค่ทางผ่านมักไม่ค่อยมีคนพัก เพราะส่วนใหญ่จะเดินไปถึงโกเรปานีกันเลย) หลังจากเข้าที่พักอากาศเย็นมากกกกก แต่โชคดีที่ที่พักมีน้ำร้อน ซึ่งมีโควต้าน้ำร้อนให้คนละ 1 ถังถ้วน!!! (ประมาณกะละมังนึง) ก็ค่อยๆเอาน้ำลูบๆตัวกันไป เป็นการใช้น้ำที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิต หลังจากล้างเนื้อล้างตัวเรียบร้อย ด้วยความที่ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย พวกเราก็เลยขอเจ้าของเข้าครัวโชว์ฝีมือการทำอาหารไทย โดยใช้วัตถุดิบเนปาลีโชว์ซะเลย อาหารไทยดังไกลถึงเนปาลก็วันนี้แหละ ไฟฟ้าก็ไม่มี นั่งกินข้าวท่ามกลางแสงเทียนและเตาผิงกลางบ้าน กลายเป็นความลำบากที่มีความสุขของทริปไปเลย
[CR] เนปาลในความทรงจำ (Namaste Nepal: Jomsom Poonhill Trekking and Nepal world heritage) part 5
ย้อนรอยกระทู้เก่า
part 1 http://pantip.com/topic/33922935
part 2 http://pantip.com/topic/33923061
part 3 http://pantip.com/topic/33923220
part 4 http://pantip.com/topic/33926411
part 5 http://pantip.com/topic/33926789
Check point
อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่ 5 ในประเทศเนปาล และวันที่ 3 ของการเทร็คกิ้ง หลังจากเมื่อวานที่ไปนอนแช่น้ำร้อนมา วันนี้รู้สึกสบายตัวขึ้นหน่อยนึง หน่อยนึงประมาณ 1 เต็ม 10 เอาหน่าถึงจะไม่ได้ช่วยอะไรมาก แต่อย่างน้อยก็ได้อาบน้ำร้อน เพราะที่พักไม่มีน้ำร้อนให้อาบ แถมไฟก็ติดๆดับๆทั้งคืน ถือเป็นเรื่องปกติที่นี่ ถึงไฟฟ้าจะเข้าทุกหมู่บ้านแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีไฟฟ้าใช้ตลอดคืน ยังไงก็อย่าลืมที่จะพกไฟฉายไปด้วย จะช่วยได้เยอะทีเดียว
วันนี้เราออกเดินทางจากหมู่บ้านตาโตปานิ เพื่อจะไปยังเป้าหมายต่อไป หมู่บ้านโกเรปานิ หมู่บ้านที่เป็นจุดพักก่อนจะขึ้นไปยอดปุนฮิล จุดชมวิวอันดับ 1 ที่คนมาเนปาลจะต้องไปให้ถึง
สังเกตมั้ยว่าวันนี้ ไม่มีรูปยอดเขาหิมะมาอรุณสวัสดิ์ ก็เพราะว่าหมู่บ้านนี้อยู่จุดต่ำสุดของเส้นทางเทร็คกิ้งของเราในครั้งนี้เลย (ลองย้อนกลับไปดูรูปเส้นทางเทร็คกิ้ง) ตอนนี้เราจึงอยู่ท่ามกลางภูเขาหินซึ่งบดบังทัศนียภาพของภูเขาหิมะจนหมดสิ้น และอีกหนึ่งเรื่องคือตั้งแต่วันแรกเราเดินลงกันเรื่อยๆจนมาสุดทางแล้ว และจากจุดนี้เป็นต้นไป เราต้องเดินขึ้นกันตลอดเส้นทาง!!! แค่คิดก็มันส์แล้ว
เริ่มต้นเดินทาง ออกจากหมู่บ้านมาก็เจอจุดเช็ค TIMS ซึ่งนักท่องเที่ยวจะต้องมาเช็คเพื่อยืนยันให้เค้ารู้ว่าเราผ่านเส้นทางนี้มาแล้วนะ ยังไม่ได้สูญหายไประหว่างทางนะ ถ้าหายก็ไปตามหาเอาข้างหน้าแล้วกัน
this way this day
ออกมาจาหมู่บ้านหน่อยนึง ก็ยังเป็นทางราบให้เราพอชื่นใจ หลอกให้เราตายใจว่าวันนี้คงไม่หนักหนาสาหัสเท่าไหร่หรอก เค้าคงไปถึงหมู่บ้านโกเรปานิ ได้ตามเป้าหมาย แต่หารู้ไม่ว่าเรื่องเส้นทางที่เนปาลเนี่ย หลอกเรามาเยอะแล้ว
เส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางเดินเท้าร่วมกับเส้นทางรถวิ่ง จะเห็นได้จากมีหินก้อนเหลี่ยมๆมากั้นระหว่างถนนกับภูเขา เพื่อป้องกันรถตกลงไปในเหว ซึ่งเอาเข้าจริงๆคิดว่าจะกันได้หรอ???
pass way
ยืนถ่ายรูปแล้วลองมองย้อนกลับไปยังเส้นทางที่เราเดินผ่านมา ก็นึกมหัศจรรย์ใจในตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไปได้ยังไง เดินวันละ7-8 ช.ม. ครั้งที่คงเป็นการเดินทางที่ทรหดมากที่สุดในชีวิตท่ผ่านมาแล้ว แต่ก็ไม่นึกเสียใจนะกับความงดงามและยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่ได้พบเห็น บางครั้งความลำบากมันก็ทำให้ผลลัพธ์ที่เราได้มา หอมหวานงดงามมากกว่าเดิมอีกหลายๆเท่า
อย่ามัวแต่เดินก้มหน้างุดๆ ตั้งใจจะไปให้ถึงเป้าหมายข้างหน้า ลองหยุดแล้วหันกลับไปดูเส้นทางที่เราเดินผ่านมา ลองทบทวน แล้วเราจะเห็นคุณค่าในชีวิตมากมาย
Ghorepani
คือเป้าหมายของเราในวันนี้ หมู่บ้านที่ใครที่มาเทร็คกิ้งที่เนปาลจะต้องไปให้ถึง เพราะเป็นหมู่บ้านเดียวที่ใกล้ที่สุดที่จะขึ้นไปถึงยอดปุนฮิล(Poonhill) ยอดเขาที่เป็นจุดชมวิวภูเขาหิมะ ในมุมมอง 360 องศา และรอชมพระอาทิตย์ขึ้นมาสาดแสงเล่นกับเทือกเขาหิมาลัย แต่หนทางอันยาวไกลนี่สิ วันนี้จากตาโตปานิ เราจะต้องผ่านอีก 2 หมู่บ้าน คือ สิกขา และ จิตเตร ก่อนที่จะถึงโกเรปานิ อาจจะดูว่าแค่ 2 หมู่บ้านชิลๆ แต่วันนี้แหละ นรกที่แท้จริง
Stream
ลักษณะภูมิประเทศเปลี่ยนไปอีกแล้ว จากวันแรกๆที่เราเดินทางกันบนพื้นราบ สภาพแวดล้อมแห้งแล้งเหมือนกับทะเลทราย แต่วันนี้เส้นทางที่เดินเริ่มกลายเป็นป่าเขา มีความชุ่มชื้น มีต้นไม้บังแดด แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจอมาตลอดทั้งเส้นทางนั่นคือลำธารที่ละลายมาจากภูเขาหิมะ คอยหล่อเลี้ยงทุกชีวิตท่ามกลางหุบเขาแห่งนี้
shutter
นี่คือท่ายืนถ่ายรูปภาพที่ผ่านมา ดูโปรเฟสชั่นนอลมาก พยายามถ่ายรูปเก็บไว้ตั้งแต่ช่วงแรกๆที่ยังมีแรง เพราะจากการเดินเมื่อสองวันที่ผ่านมาสอนให้รู้ว่า ยิ่งเดินระยะทางยิ่งไกล ภาพถ่ายก็ยิ่งลดลง เพราะแค่จะเดินให้รอดก็ยังไม่ไหว การจะยกกล้องมาถ่ายรูปก็ยิ่งเป็นการยากเหลือเกิน เพราะไหนจะเสียพลังงานในการยกกล้องมาถ่ายแล้ว ยังต้องหยุดเดินทำให้ไม่ทันคนอื่นอีก ดังนั้น ตอนที่ยังไหว ก็ถ่ายไว้เยอะๆ
signs
ป้ายบอกทาง เราน่าจะเข้าสู่เส้นทางยอดนิยมของการเทร็คกิ้งครั้งนี้แล้วก็ว่าได้ เพราะว่าเจอป้ายบอกทางถี่มากๆ ถ้าเทียบกับเส้นทางวันแรกที่เราเดินมา แทบจะไม่มีป้ายบอกทางเลย ส่วนวันนี้จะบ่อยจนไม่ต้องกลัวหลงเลย สามารถเดินเองได้โดยไม่ต้องพึ่งไกด์ ในรูปก็จะเห็นป้าย ตาโตปานิ หมู่บ้านที่เราเพิ่งจากมา โกเรปานิ หมู่บ้านเป้าหมายของเราวันนี้ และเบนิ อีกหมู่บ้านนึงที่อยู่บนเส้นทางเทร็คกิ้ง
hello
เริ่มแล้วกับการทักทายเราด้วยการเดินขึ้นเขาลูกแรก จุดนี้เพิ่งเป็นจุดแวะพัก ยังไม่ใช่จุดสูงสุดของยอดเขา เส้นทางยังอีกยาวไกลนักและเป็นทางขึ้นตลอดเว ระหว่างเดินขึ้น แม้จะมีบันได(หิน)เป็นขั้นๆให้เราเดินได้ง่าย แต่ก็ยังปวดขาโครตๆ ลองนึกถึงการเดินขึ้นบันไดทีละ 2 ขั้นต่อเนื่องกัน แล้วไม่ใช่บันไดเรียบๆนะ แต่เป็นบันไดขรุขระ ซิกแซ็กไปมา แทบจะยกธงขาวยอมแพ้ แต่พอขึ้นมาถึงจุดชมวิว ท้องฟ้าก็เปิดให้ยอดเขาออกมาทักทายพวกเรา เหมือนกับให้รางวัลเล็กๆในความพยายามขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ และเหมือนภูเขาตะโกนบอกเราว่า ถ้าอยากเห็นใกล้ๆ ก็พยายามให้มากกว่านี้สิ
looking forward
"เป้าหมาย มีไว้พุ่งชน" เราต้องใกล้กันมากกว่านี้ สัญญา
walk forward
พักกันจนหายเหนื่อย แล้วก็เดินกันต่อไป จากจุดพักที่แล้ว เราก็ยังต้องเดินขึ้นต่ออีก ถึงจะเจอหมู่บ้าน แต่คงเรียกว่าหมู่บ้านไม่ได้ น่าจะเรียกว่ากลุ่มบ้านมากกว่า เพราะมีแค่ไม่กี่หลัง ระหว่างทางเราอาจจะได้เห็นบ้านสร้างอยู่เรียงราย เพราะเริ่มมีการมาจับจองพื้นที่ทำเกษตรกรรม ระหว่างทางจึงไม่ค่อยเหงา มีผู้คนให้มอง และทักทาย
up & up & up
ขึ้นและขึ้นและขึ้น และพักทุกๆ 2 นาที แล้วเมื่อไหร่จะถึงล่ะเนี่ย
shampoo
เด็กน้อยชาวเนปาลกำลังสระผม ไม่รู้นี่เป็นวัฒนธรรมของที่นี่รึป่าวนะ ที่ออกมาสระผมโชว์นักท่องเที่ยว แต่คงเพราะอากาศหนาวและน้ำที่เย็นเป็นน้ำแข็งมากกว่า จะให้อาบทั้งตัวก็หนาวไป ราดแค่หัวแล้วสระผมเอาคงจะหนาวน้อยกว่า ว่าแต่ดูคุ้นๆนะ เหมือนจะเคยทำมาเหมือนกันตอนที่บ้านอากาศหนาว
bird eye view
ขึ้นมาสูงได้อีก นี่ก็ยังไม่ถึงจุดสูงสุดของการเดิน เรายังต้องเดินขึ้นอีก ระหว่างทางก็จะเห็นการทำนาขั้นบันไดอยู่ตลอดสองข้างทาง สวยงาม
Farmer
ช่วงที่ไป คงเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยว จึงได้พบเห็นชาวนา ซึ่งที่เห็นเป็นผู้หญิง (ไม่รู้ผู้ชายไปไหนหมด) กำลังเกี่ยวข้าวใส่กระบุง ที่นี่เค้าแฮนเมดทุกอย่าง ทุกอย่างทำด้วยมือตัวเองไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ทำไว้กินเองในครอบครัว เหลือก็เอาไว้ขาย ดูไปก็เศรษฐกิจพอเพียงดี
winnowing
พอเกี่ยวข้าวเสร็จก็เอาข้าวมาตากแดดที่ลานกว้างๆ แล้วก็เอาไม้ทุบ น่าจะให้เมล็ดข้าวหลุดออกมา คงจะเหมือนการฝัดข้าวบ้านเรา (ซึ่งก็เป็นผู้หญิงทำอีกแล้ว)
Hello Shikha
อ่อ ผู้ชายนั่งกินข้าวอยู่ที่นี่เอง...
เราเพิ่งมาถึงหมู่บ้านสิกขาเอาก็ตอนเวลาเที่ยงมาหน่อยๆแล้ว เราแวะกินข้าวเที่ยงกันที่หมู่บ้านนี้ แล้วเช่นเคย สั่งข้าวไว้ แล้วเราก็นอนหลับ(คือเดินขึ้นเขาตลอดทาง เหนื่อยจริงไรจริงวันนี้) จนบ่ายโมงกว่าๆ ข้าวถึงเพิ่งมาเสิร์ฟ เราก็ต้องรีบกินเพื่อที่จะได้รีบเดินต่อ เพราะกว่าจะถึงโกเรปานิอีกไกลโข ส่วนกลุ่มชายชาวเนปาลนี้ก็คงมานั่งพักทานข้าวเที่ยงกันหลังจากเสร็จจากการทำงาน(ทำงานไรหว่า เห็นแต่ผู้หญฺิงทำ)
high away
ก็ยังต้องเดินขึ้นต่อไป คือไม่รู้จะอธิบายยังไงอ่ะ ว่ามันโครตของโครตๆเหนื่อย คือเอาสองวันที่ผ่านมารวมกันยังไม่เหนื่อยเท่าวันนี้อ่ะ
ออกมาจากหมู่บ้านสิกขาก็มาเจอเส้นทางนี้ อย่างกับเข้ามาอยู่ในยุคโบราณ ต้นไม้ดูเก่าแก่มาก เป็นต้นกุหลาบพันปีที่ยังไม่ออกดอก(หรือร่วงไปหมดแล้วก็ไม่รู้) บรรยากาศก็สวยงามไปอีกแบบ
arrrrrh!!!
อุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกัน เมื่อเห็นขั้นบันไดที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้
้how long?? อีกไกลมั้ยกว่าจะถึง คิดว่าคงเป็นคำถามยอดฮิตมากที่สุดของคนที่มาเดินเทร็คกิ้งที่นี่หากมีการทำสถิติ
"กลับตัวก็ไม่ได้ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง"
"อีกไกลแค่ไหนจนกว่าฉันจะใกล้บอกที"
"ชั้นมาทำอะไรที่นี่"
ทุกเพลงที่แสดงถึงความท้อแท้วนเวียนอยู่ในหัวเต็มไปหมด ได้แต่ก้มหน้างุดๆเดินต่อไป
Problem
ซวยอีกแล้ว!!! เราเดินกันมาจนถึงจิตเตร อีกหมู่บ้านเดียวก็จะถึงโกเรปานิแล้ว แต่ความซวยไม่เคยปรานีใคร "ฝนตก!!!" หนักถึงหนักมาก และไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงง่ายๆ เรามาแวะพักหลับฝนกันที่บ้านพักร้างแห่งหนึ่ง กับสามีภรรยาฝรั่งอีกคู่หนึ่ง เราตั้งใจว่าจะรอฝนซาแล้วจะเดินกันต่อ แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีท่าทีว่าจะซาลงเลย แถมฟ้าก็เริ่มมืดลงเรื่อยๆ เราถามลูกหาบว่าถ้าเราจะเดินลุยฝนกันต่อจะเป็นยังไง คุณราชก็บอกว่ามันอันตรายมาก เพราะทางชัน อาจจะลื่นหินล้ม หรือถ้าโชคไม่ดีก็อาจจะเจอหิมะถล่มใส่ และระหว่างทางก็ไม่มีที่หลบฝนเลย เลยจำเป็นต้องตัดสินใจว่า คืนนี้เราคงต้องนอนกันที่นี่แล้วล่ะ จากที่ตั้งแผนไว้ว่าเราจะต้องไปนอนที่โกเรปานิ แล้วตื่นแต่เช้าขึ้นพูนฮิล กลายเป็นว่าเราต้องนอนที่นี่ แล้วพรุ่งนี้ตื่นแต่เช้า เดินไปโกเรปานิ ฝากกระเป๋าแล้วขึ้นปุนฮิลเลย ซึ่งก็จะไม่ทันดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแผน เพราะความซวยมาเยือนขนาดนี้แล้ว ขึ้นดันทุรังต่อไปอาจจะเจอความซวยขนาดใหญ่หลวงก็เป็นได้ สรุปแผนเสร็จก็เดินหาที่พักกัน และวันนี้พี่กบขอเข้าครัวและทำอาหารให้เรากินกัน ท่ามกลางแสงเทียน(ไฟดับ) ก็ดีนะในความซวยก็ยังมีความสุขให้เราได้รู้สึกบ้าง
ความประทับใจในจิตเตร หลังจากที่เราติดฝนไปต่อไม่ได้ จนต้องพักที่จิตเตรกันก่อน ราชก็ไปติดต่อหาที่พักแห่งนึง ซึ่งไม่มีนักท่องเที่ยวอยู่เลย!!! (หมู่บ้านนี้เป็นแค่ทางผ่านมักไม่ค่อยมีคนพัก เพราะส่วนใหญ่จะเดินไปถึงโกเรปานีกันเลย) หลังจากเข้าที่พักอากาศเย็นมากกกกก แต่โชคดีที่ที่พักมีน้ำร้อน ซึ่งมีโควต้าน้ำร้อนให้คนละ 1 ถังถ้วน!!! (ประมาณกะละมังนึง) ก็ค่อยๆเอาน้ำลูบๆตัวกันไป เป็นการใช้น้ำที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิต หลังจากล้างเนื้อล้างตัวเรียบร้อย ด้วยความที่ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย พวกเราก็เลยขอเจ้าของเข้าครัวโชว์ฝีมือการทำอาหารไทย โดยใช้วัตถุดิบเนปาลีโชว์ซะเลย อาหารไทยดังไกลถึงเนปาลก็วันนี้แหละ ไฟฟ้าก็ไม่มี นั่งกินข้าวท่ามกลางแสงเทียนและเตาผิงกลางบ้าน กลายเป็นความลำบากที่มีความสุขของทริปไปเลย