สิ่งที่คนไทยเข้าใจผิดเกี่ยวกับระบบการศึกษาที่อเมริกา Part V: เรียนภาษาที่เมืองนอก

กระทู้สนทนา
ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนเลยว่าตอนแรกที่ทำกระทู้เพื่อนำเสนอมุมมองและความเข้าใจอีกแง่หนึ่งเกี่ยวกับระบบการศึกษาที่อเมริกาที่หลายคนอาจจะเข้าใจผิด ทำมาเรื่อยๆ จนรูปแบบของเนื้อหาจะเน้นที่การให้ความรู้และข้อมูลในรายละเอียดต่างๆ ของการศึกษาที่อเมริกาเสียมากกว่า แต่ยังคงใช้หัวข้อเดิมเพื่อความต่อเนื่องเป็นซีรีส์เพื่อให้ง่ายต่อการจัดหมวดหมู่และติดตาม

เอาล่ะเข้าเรื่องเลยแล้วกันครับ หลายคนมีคำถามคือจะไปเรียนภาษาที่นั่นแล้วสอบที่นั่นเลยดีไหม ผมขอเน้นในกรณีที่ต้องการมาเรียนเพื่อเตรียมตัวสอบเข้าโปรแกรม Grad School (โท-เอก) นะครับ  ก่อนอื่นต้องเข้าใจลักษณะและสภาพแวดล้อมของคอร์สภาษาที่นี่ก่อนนะครับ คอร์สเรียนภาษาส่วนมากก็สามเดือนบ้างหกเดือนบ้าง มันจะเร็วมากขอบอก ส่วน classmates มันก็เด็กจีนหรือเอเชียซึ่งภาษาไม่ได้ดีกว่าเราเลย (แทนที่ภาษาอังกฤษจะแข็งแรง อาจจะได้ภาษาอื่นเสียมากกว่า 555) ภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวันเช่น สั่งข้าว ซื้อของ ถามทาง พวกนี้มันไม่ใช่ระดับที่ใช้สอบ แถมบางทียังมีภาษามือช่วย เพราะฉะนั้นการที่คิดว่ามาแล้วภาษาจะพัฒนาอย่างรวดเร็วอันนี้ขึ้นกับตัวบุคคลล้วนๆ ว่าจะสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อม (นอกห้องเรียน) และมีวินัยมากแค่ไหน เพราะเผลอแป๊บเดียวปิดคอร์สไวเหมือนพริบตา ไม่พร้อมสอบหรือคะแนนไม่ดีก็ต้องลงคอร์สเพิ่มเพื่อต่อวีซ่า อาจจะเสียเวลาเป็นปีๆ โดยที่ยังเข้าไม่ได้ อย่าลืมว่าค่ากินอยู่ ที่พักต่างๆ เราต้องจ่ายไม่ต่างจากเข้าโปรแกรมได้แล้วเลย อันนี้ขึ้นอยู่กับสถานะการเงินของแต่ละคนด้วย แถม pressure จะมากขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่นานขึ้น

ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับบุคลิกและสถานการณ์ของแต่ละคน ผมมีเพื่อนทั้งที่เตรียมตัวจากไทยและที่มาเรียนภาษาและเข้าโปรแกรมได้ทั้งคู่ อนึ่งหลายๆ สาขาหรือหลายๆ มหาลัยมีโปรแกรมภาษาของเขาเอง ถ้าจบคอร์สและสอบของเขาผ่านก็สามารถใช้สมัครโปรแกรมของมหาลัยนั้นๆ แทน TOEFL ได้ ซึ่งแน่นอนมันก็ไม่ได้ง่ายไปกว่า TOEFL เลย เช่น University of Delaware ที่มี่ Pre-MBA English Program อันนี้จะยกเว้นได้เฉพาะ TOEFL แต่ก็ต้องสอบ GMAT เพิ่มอยู่ดีลองหาข้อมูลดู

ส่วนตัวผมมองว่าสมัยนี้เทคโนโลยีต่างๆ พัฒนาไปมากมายมหาศาล รวมถึงเทคโนโลยีที่ใช้เตรียมตัวมาเรียน ทั้ง Materials, App  รวมถึงคอร์สภาษาดีๆ ที่เมืองไทยก็มีเยอะมาก เรียกได้ว่ามีอย่างเหลือเฟือ ดังนั้นเรื่องนี้จึงขึ้นอยู่กับวินัยในตัวเองล้วนๆ ซึ่งก็ขึ้นกับว่ามี passion ที่จะมาเรียนมากแค่ไหน  ดังนั้นเตรียมตัวที่ไทย สอบให้เสร็จ สมัครให้เสร็จ ให้เขาตอบรับแล้วแล้วค่อยมาเรียนภาษาก่อนเปิดเทอมหลังจากที่มหาลัยตอบรับแล้ว อันนี้ผมสนับสนุนเต็มที่ครับเพราะนอกจากช่วยในเรื่องปรับตัวแล้วยังเป็นการให้รางวัลตัวเองก่อนเปิดเทอมเพราะโรงเรียนภาษาพวกนี้มักพาเที่ยวบ่อย 555

อีกเรื่องที่หลายคนสงสัยคืออยากมาเรียนเมืองนอกแต่ไม่มีเวลาเตรียมตัว ทำงานแทบทุกวัน จะเอาเวลาที่ไหนมาเตรียมตัวสอบ TOEFL, GMAT/GRE ผมขอแนะนำว่าก็ใช้เวลาระหว่างกิจกรรมไงล่ะครับ เช่น ระหว่างรอรถเมล์ ขึ้นรถไฟฟ้า พักทานข้าวหรือพักจากทำงาน อีกทั้งมี Materials ที่ออกแบบเป็น Pocket Book หรือ Flashcard ซึ่งง่ายต่อการพกพา หรือจะดาวโหลด App ในมือถือก็มีมากมาย เพื่อตอบสนองการเตรียมตัวแบบ part time โดยเฉพาะ วิธีนี้นอกจากจะไม่ต้องออกจากงานแล้ว ยังมีประสิทธิภาพอย่างสูง ยิ่งถ้าได้อ่านตบท้ายก่อนนอนสักชั่วโมงหรือครึ่งชั่วโมงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว รับรองสามสี่เดือนพร้อม ขอเพียงทำอย่างมีคุณภาพ ซึ่งก็ขึ้นกับความตั้งใจของเราเอง จำไว้ว่าอ่านทีละนิดแต่สม่ำเสมอดีกว่าอ่านยัดในระยะเวลาสั้นๆ หลายคนทำสำเร็จด้วยวิธีนี้ อีกครั้งผมมีเพื่อนที่ทำงานไปด้วยเตรียมตัวไปด้วยแล้วได้เข้าโปรแกรมดีๆ หลายคน (สำหรับผมผมเตรียมอย่างเดียว เชื่อผมไม่เวิร์คเลย อ่านได้เต็มที่สามชั่วโมง ที่เหลือไร้สาระทั้งวัน 555) ทำได้แน่ๆ ครับขอให้มีวินัยในตัวเอง จะไปรอให้ทุกอย่างพร้อม มีเวลาอ่านตามที่คิดมันไม่มีหรอกครับ เริ่มให้ได้แล้วความรู้สึกมั่นใจจะค่อยๆ มาเอง It is easier to act yourself into a feeling than feel yourself into acting ขอให้กำลังใจคนทำงานทุกคนที่มีฝันอยากมาเรียนอเมริกาครับ

Related links
Part I: http://pantip.com/topic/31644766
Part II: http://pantip.com/topic/31649804
Part III: http://pantip.com/topic/33159888
Part IV: http://pantip.com/topic/33177595
Part V: http://pantip.com/topic/33270846
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่