คงไม่มีใครที่อยากเป็นหนี้ แต่ถ้ามีเหตุจำเป็นหรือเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น อุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วย อาจทำให้เราต้องหยิบยืมเงินและเป็นหนี้ วันนี้ K-Expert มี 3 เทคนิค เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหนี้ท่วมหัวมาฝากกันครับ
1. มีสติก่อนยืมสตางค์
สาเหตุที่ทำให้หลายคนเป็นหนี้มาจากการจับจ่ายใช้สอยเกินตัว ทั้งอยากได้โทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่หรือถอยรถคันใหม่ป้ายแดง ซึ่งบ่อยครั้งเกิดจาก “ความอยาก” มากกว่า “ความจำเป็น” ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ อาจต้องหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนว่า จำเป็นจริงหรือเปล่า และของที่มีอยู่ยังสามารถใช้ได้อยู่มั้ย เพราะการซื้อของที่เกิดจากความต้องการหรือความอยากบ่อยๆ นอกจากจะทำให้เราไม่มีเงินเก็บแล้ว ก็อาจทำให้เกิดการกู้หนี้ยืมสินขึ้นมาได้
แต่ถ้าของที่เราจะซื้อเป็นสิ่งที่จำเป็น และเงินที่มีอยู่ไม่เพียงพอ เช่น คู่แต่งงานใหม่จำเป็นต้องซื้อบ้านเพื่อสร้างครอบครัว หรือพนักงานขายต้องซื้อรถเพื่อใช้ในงานขาย เป็นต้น ก็จำเป็นที่จะต้องขอสินเชื่อเพื่อซื้อของชิ้นนั้น ซึ่งภาระผ่อนหนี้ในแต่ละเดือนไม่ควรเกิน 30% ของรายได้ต่อเดือน จะได้ผ่อนหนี้ได้แบบไม่เหนื่อยจนเกินไป
2. เลือกดอกถูกและจ่ายไหว
ถ้าจำเป็นที่ต้องขอสินเชื่อหรือเงินกู้จริง เลือกขอสินเชื่อที่เหมาะสม จะช่วยให้เราจ่ายดอกเบี้ยน้อยลง และทำให้ภาระหนี้หมดไวขึ้น โดยสามารถแบ่งสินเชื่อออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่
-
สินเชื่อแบบมีหลักประกัน ถ้ามีทรัพย์สินอยู่ เช่น บ้าน หรือรถยนต์ ก็เอามาใช้เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อได้ ซึ่งสินเชื่อแบบนี้จะมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ หรือจะนำทรัพย์สินที่มีแต่ไม่ได้ใช้งานไปจำนำ เช่น ทองคำ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือเครื่องมือต่างๆ ก็นับว่าเป็นอีกแหล่งเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยไม่สูงมากนัก โดยอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อแบบมีหลักประกันอยู่ที่ประมาณ 7-15% ต่อปี
-
สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน ถ้าไม่มีสินทรัพย์มาเป็นหลักประกัน ก็คงต้องใช้บริการของสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน เช่น บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อบุคคล สินเชื่อประเภทนี้คิดอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 20-28% ต่อปี
ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ แนะนำให้เลือกสินเชื่อแบบมีหลักประกันก่อนแบบไม่มีหลักประกัน
3. โปะให้ดี ประหยัดได้เยอะ
เมื่อมีหนี้แล้ว วิธีหนึ่งที่ช่วยให้พ้นจากการเป็นหนี้ได้เร็วคือ การโปะหรือชำระหนี้บางส่วน หากมีเงินเหลือในแต่ละเดือนหรือได้รับเงินก้อนเข้ามา ก็สามารถนำมาโปะหนี้ได้ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจโปะหนี้นั้น ควรดูก่อนว่า หนี้ที่มีอยู่คิดดอกเบี้ยแบบไหน ซึ่งมีอยู่ 2 รูปแบบคือ
-
แบบลดต้นลดดอก พวกหนี้ที่เป็นสินเชื่อบ้าน บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อบุคคล จะคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก การโปะก็จะช่วยให้ยอดเงินต้นลดลงได้ไว ทำให้ภาระดอกเบี้ยลดน้อยลง
-
แบบคงที่ ส่วนหนี้ที่เป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ไม่แนะนำให้โปะ เพราะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์คิดอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่คือ คำนวณดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งหมดรวมเข้ากับเงินต้น แล้วเฉลี่ยออกมาเป็นเงินที่ต้องชำระคืนแต่ละงวด ซึ่งการนำเงินก้อนไปโปะไม่มีผลให้ดอกเบี้ยที่ต้องชำระลดลง อย่างไรก็ตาม สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มีเงื่อนไขพิเศษว่า เมื่อมีการนำเงินไปปิดหนี้ก่อนกำหนด จะได้รับส่วนลดดอกเบี้ยลงครึ่งหนึ่งของยอดดอกเบี้ยคงค้าง ดังนั้น การนำเงินก้อนไปปิดหนี้รถที่คงเหลืออยู่จะคุ้มค่ากว่าการนำไปชำระหนี้เพียงบางส่วน
อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยไม่ให้มีหนี้ท่วมหัวได้คือ สำรองเงินไว้สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน โดยกันสำรองเงินไว้เท่ากับค่าใช้จ่ายรายเดือน 6 เดือน ให้อยู่ในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงอย่างเงินฝาก หรือกองทุนรวมตลาดเงิน เป็นต้น เพราะถ้ามีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างตกงาน หรือเกิดอุบัติเหตุ เงินก้อนนี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดจากเงินขาดมือได้ ทำให้ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเป็นภาระทางการเงินของตนเองและครอบครัวครับ
ตามมารู้จักหนี้สินประเภทต่างๆ การจัดการหนี้ แนวทางแก้ไขถ้ามีหนี้เกินตัว ได้ที่
http://k-expert.askkbank.com/Pages/Need-based03.aspx
3 เทคนิคป้องกันไม่ให้หนี้ท่วมหัว
1. มีสติก่อนยืมสตางค์
สาเหตุที่ทำให้หลายคนเป็นหนี้มาจากการจับจ่ายใช้สอยเกินตัว ทั้งอยากได้โทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่หรือถอยรถคันใหม่ป้ายแดง ซึ่งบ่อยครั้งเกิดจาก “ความอยาก” มากกว่า “ความจำเป็น” ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ อาจต้องหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนว่า จำเป็นจริงหรือเปล่า และของที่มีอยู่ยังสามารถใช้ได้อยู่มั้ย เพราะการซื้อของที่เกิดจากความต้องการหรือความอยากบ่อยๆ นอกจากจะทำให้เราไม่มีเงินเก็บแล้ว ก็อาจทำให้เกิดการกู้หนี้ยืมสินขึ้นมาได้
แต่ถ้าของที่เราจะซื้อเป็นสิ่งที่จำเป็น และเงินที่มีอยู่ไม่เพียงพอ เช่น คู่แต่งงานใหม่จำเป็นต้องซื้อบ้านเพื่อสร้างครอบครัว หรือพนักงานขายต้องซื้อรถเพื่อใช้ในงานขาย เป็นต้น ก็จำเป็นที่จะต้องขอสินเชื่อเพื่อซื้อของชิ้นนั้น ซึ่งภาระผ่อนหนี้ในแต่ละเดือนไม่ควรเกิน 30% ของรายได้ต่อเดือน จะได้ผ่อนหนี้ได้แบบไม่เหนื่อยจนเกินไป
2. เลือกดอกถูกและจ่ายไหว
ถ้าจำเป็นที่ต้องขอสินเชื่อหรือเงินกู้จริง เลือกขอสินเชื่อที่เหมาะสม จะช่วยให้เราจ่ายดอกเบี้ยน้อยลง และทำให้ภาระหนี้หมดไวขึ้น โดยสามารถแบ่งสินเชื่อออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่
- สินเชื่อแบบมีหลักประกัน ถ้ามีทรัพย์สินอยู่ เช่น บ้าน หรือรถยนต์ ก็เอามาใช้เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อได้ ซึ่งสินเชื่อแบบนี้จะมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ หรือจะนำทรัพย์สินที่มีแต่ไม่ได้ใช้งานไปจำนำ เช่น ทองคำ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือเครื่องมือต่างๆ ก็นับว่าเป็นอีกแหล่งเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยไม่สูงมากนัก โดยอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อแบบมีหลักประกันอยู่ที่ประมาณ 7-15% ต่อปี
- สินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน ถ้าไม่มีสินทรัพย์มาเป็นหลักประกัน ก็คงต้องใช้บริการของสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน เช่น บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อบุคคล สินเชื่อประเภทนี้คิดอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 20-28% ต่อปี
ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ แนะนำให้เลือกสินเชื่อแบบมีหลักประกันก่อนแบบไม่มีหลักประกัน
3. โปะให้ดี ประหยัดได้เยอะ
เมื่อมีหนี้แล้ว วิธีหนึ่งที่ช่วยให้พ้นจากการเป็นหนี้ได้เร็วคือ การโปะหรือชำระหนี้บางส่วน หากมีเงินเหลือในแต่ละเดือนหรือได้รับเงินก้อนเข้ามา ก็สามารถนำมาโปะหนี้ได้ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจโปะหนี้นั้น ควรดูก่อนว่า หนี้ที่มีอยู่คิดดอกเบี้ยแบบไหน ซึ่งมีอยู่ 2 รูปแบบคือ
- แบบลดต้นลดดอก พวกหนี้ที่เป็นสินเชื่อบ้าน บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อบุคคล จะคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก การโปะก็จะช่วยให้ยอดเงินต้นลดลงได้ไว ทำให้ภาระดอกเบี้ยลดน้อยลง
- แบบคงที่ ส่วนหนี้ที่เป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ไม่แนะนำให้โปะ เพราะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์คิดอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่คือ คำนวณดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งหมดรวมเข้ากับเงินต้น แล้วเฉลี่ยออกมาเป็นเงินที่ต้องชำระคืนแต่ละงวด ซึ่งการนำเงินก้อนไปโปะไม่มีผลให้ดอกเบี้ยที่ต้องชำระลดลง อย่างไรก็ตาม สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มีเงื่อนไขพิเศษว่า เมื่อมีการนำเงินไปปิดหนี้ก่อนกำหนด จะได้รับส่วนลดดอกเบี้ยลงครึ่งหนึ่งของยอดดอกเบี้ยคงค้าง ดังนั้น การนำเงินก้อนไปปิดหนี้รถที่คงเหลืออยู่จะคุ้มค่ากว่าการนำไปชำระหนี้เพียงบางส่วน
อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยไม่ให้มีหนี้ท่วมหัวได้คือ สำรองเงินไว้สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน โดยกันสำรองเงินไว้เท่ากับค่าใช้จ่ายรายเดือน 6 เดือน ให้อยู่ในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงอย่างเงินฝาก หรือกองทุนรวมตลาดเงิน เป็นต้น เพราะถ้ามีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างตกงาน หรือเกิดอุบัติเหตุ เงินก้อนนี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดจากเงินขาดมือได้ ทำให้ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเป็นภาระทางการเงินของตนเองและครอบครัวครับ
ตามมารู้จักหนี้สินประเภทต่างๆ การจัดการหนี้ แนวทางแก้ไขถ้ามีหนี้เกินตัว ได้ที่
http://k-expert.askkbank.com/Pages/Need-based03.aspx