นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ ตอนที่ 7-10

นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ บทนำ http://pantip.com/topic/32975045
นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ บทที่ 1 http://pantip.com/topic/32977360
นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ ตอนที่ 2-3 http://pantip.com/topic/32991479
นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ ตอนที่ 4-5 http://pantip.com/topic/33031690
นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ ตอนที่ 6 http://pantip.com/topic/33043753


สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังกับนักอ่านที่รักของอ้อยทุกท่านค่ะ (จริงๆ แล้วก็ก็อปปี้แล้ววาง แต่ใจขณะสวัสดีปีใหม่ย้อนหลังไม่ได้ก็อปปี้นะคะ อารมณ์จะคนละแบบเพราะพ่วงความรู้สึกผิดที่ลืมไปว่าข้าพเจ้ายังมิได้อัพนิยายที่เว็บพันทิปเจ้าข้า ฮา-คนเดียว)

บางท่านอาจไม่ทราบ แต่ปกติในวงจรชีวิต อ้อยนั่งสมาธิ เจริญสติ วิปัสสนาทุกวัน ทั้งตื่นนอนและก่อนนอนไม่เคยขาด ปีใหม่หรือวันไหนๆ จึงไม่แตกต่างกันนัก แต่หากมองแบบโลกๆ (สังคมมนุษย์) ก็เป็นโอกาสพิเศษที่หลายๆ ท่านจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา บ้างไปทำบุญ หรืออื่นๆ หรือบางท่านจะอยู่คนเดียวก็ไม่เป็นไรเนอะ 55555 ส่วนตอนนี้ยิ่งไม่เป็นไรใหญ่เลย ถือว่ามาปิดท้ายก็แล้วกันค่ะ

และบุญใดที่อ้อยได้ทำในทุกวัน ขอจงถึงนักอ่าน ญาติ มิตร พี่ น้อง นักเขียน นักอ่านของอ้อยทุกท่าน ทั้งที่ได้เกื้อหนุนกันมาไม่ว่าท่านจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ขอผลบุญนี้จงถึงทุกท่านทุกคน ขอให้ท่านเจริญในธรรมอันเป็นกุศล ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน พ้นทุกข์ พ้นโรค พ้นภัย มีความสงบ ความสุข ความเจริญในชีวิตทุกท่านด้วยนะคะ

รัก....

อ้อย/สุชาคริยา


---------------------------------------------



ตอนที่ 7


            ‘อ๋อย...หน้าแดงไปเลยเรา’ ได้แต่ก้มหน้างุดเดินตามราชไปต้อยๆ ทันที ลืมอาการพะอืดพะอมหรือความคิดใดๆ ก่อนนี้ไปเสียสนิท

            แต่...

          ตึ่บ!

            เธอชนหลังของราชอย่างจัง ไม่ทันมองว่าเขาหยุดยืนอยู่ตรงกรอบประตู บุญรักษาเซหลุนๆ ถอยหลังจะหงายท้อง ราชคว้าหันมาคว้าแขนของเธอไว้ได้ทันท่วงที

          ไฟช๊อต!

            มันมาอีกแล้ว... มาพร้อมกับความมึนงง

            บุญรักษาตระหนกไม่น้อยเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ หญิงสาวมองมือของราชโดยอัตโนมัติ เหตุใดจึงเหมือนกับตอนที่ถูกราชครูจับต้นแขนเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน อีกทั้งยังมีผ้าขวางไว้อีกชั้นหนึ่ง ไม่ใช่โดนเนื้อโดยตรงเสียด้วย

            “เหตุเพราะสร้อย” ราชเอ่ยเบาๆ น้ำเสียงของเขาเหมือนจะบอกว่าไม่ใช่เรื่องดีที่สร้อยอยู่กับเธอ

            ชายหนุ่มค่อยๆ ช่วยบุญรักษาให้นั่งลงกับพื้นอย่างระมัดระวัง ปล่อยเธอเหยียดขาแบบนั้นโดยไม่พูดอะไร

            ราชย่อกาย คู้เข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น วางแขนไว้บนเข่าอีกข้างที่ชันขึ้น ท่าทางเคร่งขรึมแม้จะเห็นแค่หมวกกับเคราเท่านั้น เขาว่า...

            “สร้อยที่ติดตัวแม่หญิงเป็นของผู้ทรงฤทธิ์ เป็นของประจำตระกูล ร่ายมนตร์มามากครั้ง ตกทอดมาจนถึงเพลานี้ย่อมแก่กล้า สร้อยเช่นนี้จักมอบแก่ลูกชายเจ้าเรือน...ผู้เป็นเมียเอกแห่งตระกูลนั้น กำกับไว้ว่าเป็นเจ้าของ...เป็นสามี สร้อยเช่นนี้หญิงคนใดได้ครอง ย่อมหมายความว่าชายอื่นผู้มิใช่สามีมิอาจแตะต้อง หากฝ่าฝืน...ชายผู้ล่วงเกินต้องตาย หญิงผู้สวมสร้อยนี้ก็จักตายเช่นเดียวกัน” ราชอธิบาย

            หา! หมายความว่า

            “ผู้สวมสร้อยนี้แก่แม่หญิง คงเป็นสามีกระมัง”

            บุญรักษาส่ายหน้ารัว โบกมือพัลวัน รีบปลดเชือกผูกผ้าคลุมตรงคอออก แหวกผ้า จับเหรียญกลมๆ ที่ติดกับสร้อยเส้นนี้ขึ้นมาดูให้ชัด และเอ่ย...

            “นี่เป็นสร้อยของคนที่จับฉันมาค่ะ เขาชื่อโภไคย เป็นนายกองฝ่ายพิธีเมืองตักศิลา” เธอมองหน้าราช ไม่คิดว่าจะจำข้อมูลของอีกฝ่ายได้แม่นขนาดนี้ด้วย

            ราชขยับนั่งขัดสมาธิข้างๆ ตัวเธอ เขาดูตั้งใจฟัง

            หญิงสาวเอ่ย “ฉันหนี... เดิมทีฉันอยู่อีกที่หนึ่ง เป็นโลกของฉันน่ะค่ะ ไม่ใช่ที่นี่” ราชพยักหน้ารับรู้ ไม่เอ่ยขัด บุญรักษาจึงเล่าต่อ “ฉันไปทำงาน แต่ก็ถูกใครไม่รู้กวักมือเรียก พวกเขาแต่งตัวเหมือนกับฉัน ฉันเลยไม่สะดุดใจคิดถึงอันตราย ฉันเดินตามพวกเขามา จู่ๆ ก็มาโผล่ในป่าแถวหมู่บ้าน หมู่บ้านนั้นถูกคนของโภไคยโจมตีพอดีเมื่อฉันมาถึงค่ะ”

            “เฒ่าทับทิม” ราชเอ่ย

            “ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าเป็นใคร”

            “มนตร์ใดย่อมมีผู้เป็นเจ้าของ บอกชัดเมื่อผู้ทรงฤทธิ์มากกว่าตรวจสอบ แลข้าพเจ้าตรวจสอบแล้ว เป็นมนตร์ไร้เสียง ของเฒ่าทับทับ”

            บุญรักษาพยักหน้าว่าเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นเฒ่าอะไรนั่นจริงๆ ค่ะที่พาฉันมา เพราะฉันเริ่มไม่มีเสียงก่อน” เธอมองราชเพื่อประเมินสถานการณ์ เพราะตอนนี้ใจแกว่งอย่างบอกไม่ถูกกับสร้อยของโภไคยที่ยังติดอยู่กับคอ

            หญิงสาวตัดสินใจพูดความจริงให้เขารู้ เผื่อจะช่วยเหลืออะไรเธอได้บ้าง “ตอนนั้นพอฉันมาถึงที่หมู่บ้าน...เมื่อคืนก่อน ฉันหนีพวกทหารค่ะ แต่หนีได้ไม่ทันเท่าไรก็ถูกโภไคยตามทัน ฉันไม่ถือเรื่องโดนเนื้อตัว แต่โภไคยบอกว่าหากฉันรอดและไม่ตรงลักษณะคนเฝ้าเมือง เขาจะรับผิดชอบที่ล่วงเกินฉัน”

            ราชเอียงคอนิดหนึ่ง เหมือนจะมองตรวจสอบและถามว่าใช่จริงหรือ บุญรักษาตัดสินใจถอดผ้าคลุมเพื่อให้เขารู้ว่าเธอพูดจริง ให้เขารู้ความคิดไปเลยไม่ต้องคาดเดา แต่ราชกลับรั้งผ้าเอาไว้ จัดแจงสวมให้เข้าที่

            “แม่หญิงปลดเชือกได้ แต่อย่าให้ผ้านี้พ้นตัวเทียว จักเป็นภัยนัก” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนมากทีเดียว ยืนยันด้วยน้ำเสียง กิริยาท่าทาง ว่าเชื่อใจเธอ

            บุญรักษายิ้มขอบคุณ ใจนั้นเหมือนจะเข้มแข็งขึ้นนิดหนึ่งเมื่อเห็นท่าทางของราช “ฉันดีใจที่ท่านเชื่อฉันนะคะ”

            เขาพยักหน้ารับรู้ “แล้วเหตุจากนั้นเล่า...เป็นเยี่ยงไรฤๅ”

            “ฉันก็หนีไม่พ้นสิคะ” บุญรักษาหัวเราะน้อยๆ มีอาการแอบแค้นนิดๆ ปนมา “ฉันถูกจับใส่เกวียน มาแบบไม่มีแรงต่อต้าน ตกเช้าก็ถูกจับอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนี้” เธอก้มหน้าลงมองเนื้อตัว แล้วมองหน้าชายหนุ่ม “พอโดนจับแต่งตัวเสร็จก็ไปหาราชครูอะไรสักอย่าง” อาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมาทันที “ราชครูนั่นเป็นคนจับฉันลงหลุมค่ะ”

            “ปัทมราชครูเป็นชาย จักจับตัวแม่หญิงได้เยี่ยงไรฤๅ” ราชเหมือนจะเถียงแทน

            บุญรักษาเชิดหน้าขึ้น แอบแค้นราชครูสุดหล่อนั่นจริงๆ “ก็เขาสั่งให้พาฉันมาอยู่ในหลุมหลักเมืองกลางนี่คะ ถ้าราชครูนั่นไม่สั่ง ฉันก็ไม่ต้องไปอยู่ก้นหลุม และถ้าหากท่านราชช่วยไม่ทัน ฉันก็คงตายอยู่ที่นั่น” คิดแล้วกระบอกตาก็ร้อนผ่าว น้ำตาเอ่อขึ้นมา จนต้องก้มหน้า รีบเช็ดออกไป “เขาบอกให้โภไคยถอดสร้อยออก แต่โภไคยไม่ถอด ก็เลยติดตัวฉันมาถึงตอนนี้ เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละค่ะท่านราช” แม้จะเคืองสองคนนั้นแต่ก็พูดด้วยอาการนอบน้อมให้เกียติผู้ช่วยเหลือ ไม่ใส่อารมณ์ไปกับเขา

            ราชพยักหน้าว่าเข้าใจ แต่บุญรักษาหารู้ไม่ว่าในสายตาของราชเอ็นดูตนไม่น้อยเมื่อเห็นอาการฟ้องถึงความอยุติธรรมที่ได้รับมา

            เขามองแม่หญิงตรงหน้าอย่างสำรวจ บนกายของแม่หญิงคนนี้นุ่งผ้าตามธรรมเนียมผู้เฝ้าเมือง คือห่มสไบนุ่งจีบหน้านางด้วยผ้าสีขาวทั้งตัว เป็นผ้าเนื้อดี แม้จะมีผ้าคลุมสีดำทับอีกชั้นก็ยังมองออก รูปกายนั้นเจ้าเนื้อก็เข้าเค้า แต่เป็นเจ้าเนื้อที่มีเนื้อหนังมากกว่าหญิงทั่วไปสักเล็กน้อย หาใช่เจ้าเนื้ออุจาดตา นางดูงามอิ่มเอิบ ไม่แห้งแล้งเยี่ยงหญิงชาวบ้านทั่วไป ผิวพรรณนั้นขาวเหลืองเนียนละเอียด ผมดำขลับ ใบหน้าแม้มิได้งามเฉิดฉันจนงามล่มเมือง แต่ก็น่ารักน่ายล งามเป็นเอกลักษณ์นัก งามยิ่งที่ดวงตากลมโต นัยน์ตาสีดำเปล่งประกายฉลาดเฉลียว ดูสดใสดั่งดวงดาวยามค่ำคืน

            ดวงตาของนางล้ำเลิศยิ่งกว่าสิ่งใด ดั่งจะเอ่ยถ้อยจำนรรจ์ แลดูว่าช่างเจื้อยแจ้วนัก ยิ่งเมื่อตกใจ เสียใจ ซาบซึ้งใจ หรือรู้สึกเช่นไรก็สำแดงได้ดีกว่าวาจา

            สตรีตรงหน้าไม่เหมือนกับหญิงที่เขาเคยเห็น เธอดูงามสดใส อีกทั้งความพิสุทธิ์ของดวงจิตทำให้คนอยู่ใกล้เบิกบาน แม้ผ้าผืนนี้ห่มคลุมก็ยังมิอาจกั้นรัศมีความบริสุทธิ์ที่แผ่กำจายออกมา หรือจริงแท้เพราะรอยยิ้มประสานกับดวงตาที่ดังจะเอ่ยถ้อยคำได้ จึงทำให้ดูงามพิศ งามประเสริฐยิ่ง งามอย่างน่าหลงใหล ยิ่งมองยิ่งงามได้ไม่รู้เบื่อ และหากมิใช่ว่าเขามีจิตใจเข้มแข็ง ฤๅมีฤทธิ์แข็งแกร่ง ก็อาจตกเป็นเช่นเดียวกับเจ้าหนุ่มโภไคยมิได้ผิดไปดอก

            “แม่หญิงคงมิทราบ” ดูแววตานั่นเถิด น่าเอ็นดูน้อยเสียเมื่อไรเมื่อจ้องมองเขาอย่างรอคอย ดวงตาแดงเรื่อน้อยๆ จากความน้อยอกน้อยใจเมื่อครู่ จึงทำให้ยิ้มเล็กน้อย ผิดวิสัยที่ไม่เคยยิ้มให้ผู้ใดแต่นานมา “ผู้ต้องลักษณะคำทำนายของนางในตำนาน ย่อมมีความพิเศษเฉพาะตน” อีกฝ่ายทำหน้าตกใจ

            ราชว่า “แม่หญิงคงมิทราบว่าตนนั้นมีเนื้อทิพย์”

            บุญรักษาเหวอ อ้าปากค้าง กะพริบตาปริบๆ

            “หญิงใดมีเนื้อทิพย์ ชายผู้ใดได้สัมผัสย่อมรู้ค่า หลงใหลยากจักถอดถอน เจ้าหนุ่มโภไคยนี่ก็เช่นกัน สร้อยคู่ชีวีจึ่งอยู่ที่แม่หญิง”

            บุญรักษาก้มมองสร้อยทันที ได้ยินเสียงราชดังมา...

            “ที่นี่...ที่โลกแห่งนี้ เมื่อชายใดปลงใจว่าจักดูแลหญิงคนรักของตนแน่แล้ว จึ่งมอบสร้อยคู่ชีวีให้ สร้อยนี้จักมีฤทธิ์กำกับมากน้อยอยู่ที่สืบทอดจากตระกูลใด กำเนิดมาแต่เพลานานเท่าใด”

            บุญรักษาอยากจะร้องไห้ เงยหน้ามองราช “ถ้าอย่างนั้นโภไคยไม่ต้องมีเป็นสิบเป็นร้อยเส้นหรือคะท่านราช เขาบอกว่าจะรับฉันเป็นอนุนะคะ แล้วให้มาทำไม เป็นอนุก็ต้องได้ด้วยเหรอคะ” พูดไปก็ดึงสร้อยจนติดคาง พยายามถอดออกไปพร้อมกัน

            ราชส่ายหน้าเล็กน้อย “ให้...ฤๅมิได้มอบให้ มีจำนวนมาก...ฤๅน้อย ใช่สำคัญ สำคัญว่าเจ้าหนุ่มนั่นหมายจักยกแม่หญิงเป็นเมียเอก หาใช่อนุดอกถ้าหากเป็นดั่งแม่หญิงว่ามา เหรียญตรานี้...” เขาชี้ “เป็นเครื่องหมาย ว่ายกแม่หญิงเป็นใหญ่ในตระกูล หากแม่สามียังอยู่ ซึ่งแม่สามีนั้นเคยเป็นเจ้าเรือนมาก่อน ผู้ครองสร้อยเพียงให้ความเคารพยำเกรง แต่อำนาจในเรือนย่อมเป็นไปตามนั้น ความหมายของสร้อยแลมีตราประจำตระกูลย่อมมิเป็นอื่น โภไคยคนนี้หมายยกย่องแม่หญิงเป็นเมียเอก ครองคู่กันจนวันตาย อีกนัยหนึ่งคือจักมิยอมยกแม่หญิงให้แก่ผู้ใดเช่นกัน”

            “ม่ายยย” บุญรักษาลากเสียง ขนลุกทั้งตัว พยายามดึงสร้อยให้หลุดไป

            “ถูกต้องเป็นแน่แท้” เสียงนั้นหนักแน่นยืนยัน

            บุญรักษาอยากจะดิ้นเร่าๆ กับความหมายที่เพิ่งรู้ แต่ใช่ว่าจะแสดงอะไรออกไป แม้ความจริงคือใจฝ่อไปไม่น้อย

            “แต่ฉันไม่ได้ตกลงนะคะท่านราช ฉันแค่หนี ส่วนเขาตามจับ แล้วก็ผิดพลาด แค่แตะโดนแขนกับนอนทับนิดเดียวจะมาตู่ว่าเป็นเมียได้ไง ฉันไม่ได้ตกลงปลงใจนะคะ” สีหน้าไม่เข้าใจและอยากจะร้องไห้ของบุญรักษาเริ่มเก็บไม่อยู่ “แล้วฉันจะตายเพราะสร้อยนี่ไหมคะ” และนี่คืออีกสิ่งหนึ่งที่เธอกลัว

            “มิตายดอกเจ้า”

            “จริงเหรอคะ จะไม่ตายได้ไง" เสียงแผ่วในตอนท้าย ก่อนจะมองราช "เมื่อกี้ที่ท่านช่วยฉัน ยังมีอาการแบบนั้น... คือแค่นั้นก็แย่แล้วน่ะค่ะ ถ้าหากเกิดเหตุฉุกละหุก และไม่ใช่ท่านราช แล้วทีนี้ใครจะมาช่วยฉันได้ละคะถ้ายังมีเจ้านี่ติดคอ” บุญรักษายื่นให้ดู ก่อนจะปล่อยลง เงียบไปครู่หนึ่ง และตัดสินใจถามในที่สุด “จะมีโทษอะไรกับฉันบ้างไหมคะที่ยังไม่ได้ถอดออก”

            “มิได้มีโทษใดเมื่อไร้ชายแตะตัว จักมีโทษเมื่อสัมผัสเท่านั้น ปกติแล้วธรรมเนียมประเพณีของที่แห่งนี้ ชายหญิงย่อมมิได้อยู่ใกล้กัน ยังง่ายต่อการระมัดระวังดอก ส่วนอีกความหมายของผู้ครองสร้อยคือหากมิตายดับ... ผู้เป็นเจ้าของสร้อยย่อมติดตามได้พบ”

            “หือ!” เผลออุทาน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ราชครูอะไรนั่นจะไม่ออกตามหาเธอด้วยหรอกหรือ เพราะเขาก็แตะโดนเนื้อตัวเธอไปแล้วนี่ แถมยังเป็นเจ้านายของโภไคยอีก ไม่เท่ากับว่าเจอผู้ล่าถึงสามรึนั่น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่