นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ บทที่ 1

กระทู้สนทนา
นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ บทนำ http://pantip.com/topic/32975045

ตอบคอมเม้นท์ >>>
คุณ GTW = ขอบพระคุณมากๆ ที่ติดตามค่ะ
คุณ kdunagin = ขอบพระคุณมากๆ เลยค่ะ ดีใจที่ชอบนะคะ
คุณ CAN LIVE = 5555 อย่าเพิ่งสยองมากนะคะ แว้บๆ มาแถวนี้ก่อนจ้าาา

ขอขอบพระคุณทุกๆ โหวตของทุกท่านด้วยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นคุณริมแม่โขง, คุณ CAN LIVE, คุณ kdunagin, คุณเขมปัณณ์, คุณ GTW, คุณสวยสามโลก ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ

-----------------------------------------------------------

บทที่ 1

          ไฟโหมกระหน่ำลามเลียใกล้เข้ามา บ้านเรือนสร้างจากไม้ใช้หญ้าคามุงหลังคาถูกเผามอดไหม้อย่างรวดเร็วเพราะต่างเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีแม้ถูกเผาเพียงไม่นาน

           บุญรักษาหวาดกลัวสุดขีด ใจเต้นแรง เหนื่อยจากการวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนยังต้องมาลุ้นระลึกว่าคนพวกนั้นจะตามเจอหรือไม่ หวังใจว่าใต้ถุนเรือนขนาดเล็ก ยกสูง และมีหญ้ากองกับพื้นตรงนี้คงพอช่วยบดบังให้ปลอดภัยครู่หนึ่ง

           หญิงสาวมองเข้าไป...ถัดจากเรือนนี้เป็นป่า น่าจะเป็นท้ายหมู่บ้าน เพราะเธอเพิ่งหนีมาจากทางหน้าหมู่บ้าน แทบไม่เห็นอะไรในความมืด รู้แค่มีต้นไม้เยอะเหลือเกิน

           แสงสีส้มของเพลิงไหม้และเสียงเอะอะทำให้ต้องหันหลังกลับไปมองอีกครั้ง บุญรักษาเห็นทุกสิ่งถนัดตา เหงื่อผุดพราย รู้สึกถึงความเปียกชื้นบนกรอบหน้าและแผ่นหลังของตนเอง ดวงตายังจ้องเขม็งยังจุดนั้น พยายามคิดหาทางเอาตัวรอด

           หมู่บ้านแห่งนี้กำลังถูกเผาจากฝีมือทหารกลุ่มหนึ่ง คงไม่แปลกถ้าเป็นทหารสวมชุดลายพรางหรือเครื่องแบบในยุคปัจจุบัน แต่ทหารที่ว่านี่... พวกเขาแต่งกายด้วยชุดราชองค์รักษ์เหมือนละครพื้นบ้านไม่มีผิด แถมยังไว้ผมยาวเกล้ามวยสูงเสียด้วย พวกชาวบ้านเองก็ยังนุ่งผ้าถุงนุ่งโจงกระเบน ห่มสไบ ห่มผ้าแถบ บ้างใส่เสื้อแขนกระบอก แต่บางคนก็ไม่สวมใส่อะไรเลยในท่อนบนก็มี พวกชาวบ้านกำลังถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด อาวุธหลักของทหารที่ใช้คือดาบ ลักษณะคล้ายไปทางกระบี่หรือดาบคาตานะของญี่ปุ่น

           เธอเพิ่งมาถึงหมู่บ้านประหลาดนี่ไม่นานนัก ตอนนี้ได้แต่มองรอบด้านอย่างชั่งใจ ความมืดที่เห็นและไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนยิ่งทำให้ต้องขบคิด

           เวรกรรมอะไรพาเธอมาอยู่ตรงนี้กันหนอ เมื่อตอนหัวค่ำยังอยู่ในงานกาชาดประจำจังหวัดแท้ๆ แต่ตอนนี้ดันมาอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบได้

           สามคนที่เดินเข้ามาหาตอนนั้นก็ดันนึกไปว่าเป็นคนของหน่วยงานที่รับผิดชอบการประกวด ‘นางสาวฮานะคะ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในธีมการจัดงานกาชาดของปีนี้ซึ่งเน้นความเป็น ‘เมืองไทยในวันวาน’ จึงยากจะฉุกใจคิดถึงความผิดปกติเพราะมีคนแต่งกายด้วยชุดไทยสารพัดรูปแบบ

           พวกเขาสามคนนุ่งโจงกระเบนใส่เสื้อแขนกระบอก เป็นชายผอมๆ คนหนึ่ง เป็นหญิงผิวคล้ำตัวใหญ่ดูแข็งแรงสองคน พวกเขามวยผมต่ำแบบลวกๆ เหมือนกัน ผู้ชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าผายมือไปยังทิศทางหนึ่ง เป็นความหมายว่าให้เดินตาม

           เธอสวมชุดไทยจักรพรรดิเดินตามสามคนนั้นต้อยๆ เพราะเป็นตัวแทนประกวด ไปทางหลังเวทีโดยไม่คิดอะไร ใจอยากให้จบงานเร็วๆ เพราะเสียงอึกทึกทำให้ปวดหูเกินจะทน

           งานกาชาดประจำปีและเป็นงานใหญ่ระดับจังหวัดเริ่มน่าเบื่อตามคำบอกเล่า ปีที่แล้วยอดทำบุญตก ผู้ดูแลการจัดงานบอกว่าหากมีแค่การออกร้าน ตักไข่ สอยดาว จับฉลาก หรือเชิญดาราก็คงยากจะเรียกแขกเพราะเริ่มไม่มีอะไรให้ตื่นเต้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงคิดงานรูปแบบนี้ขึ้นมา โดยให้มีการขายอาหาร ขนม ซึ่งเน้นความเป็นไทยอย่างมีเอกลักษณ์

           ส่วนเธอมีหน้าที่แต่งชุดไทยไปเป็นตัวประกอบบนเวทีเท่านั้น หากไม่ให้ความร่วมมือก็จะถูกเพ่งเล็งเสียอีก ยังดีที่รู้ว่าเทพีประจำตำแหน่งเป็นใครเพราะได้ถูกกำหนดตัวไว้แล้ว แถมยังมุกเยอะเสียด้วยสิ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะพูดหรือตอบอะไรเมื่ออยู่บนนั้น

           และสาเหตุที่เธอต้องประกวดในงานก็เพราะมีคนสมัครน้อย ไม่มีใครอยากชิงรางวัลนางสาวแสนฮา มีแต่คนอยากได้รางวัลประเภทนางงามประจำจังหวัด พวกร่วมประกวดที่เหลือก็คือพวกไม่โดนขอร้องกึ่งบังคับก็คือพวกอยากทำบุญจริงๆ ส่วนเธอคือพวกแรกหรือที่เรียกกันเองว่าตัวประกอบจำยอม จะให้ขายความฮาที่ไม่เคยฮาก็คงพิลึก และนั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงไม่ฉุกใจคิด แถมยังเดินตามสามคนนั้นมาอย่างง่ายดาย กว่าจะรู้ตัวถึงความผิดปกติว่าเคยมีแสงไฟสว่างๆ ได้กลายเป็นแสงสลัวก็สายไปเสียแล้ว

           เธอชะงักเท้า... แต่หญิงผิวคล้ำตัวใหญ่สองคนนั้นก็เข้ามาล็อกแขนหิ้วปีกทันที ดิ้นท่าไหนก็ไม่หลุดเพราะเท้าลอยไม่แตะพื้น แหกปากร้องท่าไหนก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา เนื้อตัวอ่อนแรงฉับพลันอย่างไม่มีสาเหตุแต่ก็ไม่ถึงกับอ่อนปวกเปียก สติยังมีอยู่ครบถ้วน รับรู้ว่าพวกเขากำลังเดินเข้าสู่ละอองหมอกที่ไม่ควรจะมีสักนิดกับอากาศที่ร้อนอบอ้าว

           สามคนนั้นเดินเพียงไม่กี่ก้าวสภาพรอบด้านก็เปลี่ยนไป ละอองหมอกสลาย กลายเป็นสภาพป่าทึบทันที มีคนถือคบเพลิงรออยู่อีกสามคน และไม่นานนักเธอก็ถูกพาตัวมายังหมู่บ้านแห่งนี้ นับรวมเวลาจากงานกาชาดมาถึงที่นี่ไม่เกินห้านาทีด้วยซ้ำ มาถึงยังไม่ทันจะได้พักและไม่มีโอกาสถามว่าอะไรเป็นอะไรก็มีคนตะโกนดังมาให้ได้ยินว่า...

           “ถูกจู่โจม!”

           หญิงสองคนที่หิ้วปีกเธออยู่ยกตัวเธอลอยขึ้นจากพื้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

           สองคนนี้พาเธอมายังบ้านไม้หลังใหญ่กว่าทุกหลังที่มีในหมู่บ้านนี้ หนึ่งในสองที่ควบคุมตัวเธอได้พาเข้ามาในห้องหนึ่ง ส่วนอีกคนแยกจากไป

           “แม่หญิงจงอยู่ตรงนี้ อย่าได้เอ็ดไปเทียว หากพวกมันทราบว่าเราได้ตัวแม่หญิงมาแล้วไซร้ ชีวิตแม่หญิงจักมีภัยใหญ่หลวงนัก ฤๅไม่...พวกมันจักฆ่าชาวเราให้หมดวงศ์” หล่อนกระซิบบอกเมื่อต่างนั่งลงตรงกลางห้องที่เป็นห้องว่างๆ นี้และไม่มีอุปกรณ์หรือเฟอร์นิเจอร์ใด

           บุญรักษาพยักหน้าทันที เพิ่งได้ยินประโยคแรกนับตั้งแต่ถูกพาตัวมา

           หญิงตรงหน้าพูดด้วยภาษาประหลาดแต่เธอกลับแปลความหมายและเข้าใจได้อย่างไรนั้นไม่อาจจะรู้ได้ถึงสาเหตุ รู้แค่ถึงอยากพูดแต่ก็ไม่สามารถเปล่งเสียงได้ จะตะโกนอย่างไรก็ไม่ประสบผล จึงได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เท่านั้น

           และก่อนจะทำอะไรได้มากกว่าเดิม เสียงเหมือนคนตีกันไกลๆ ก็แว่วมา เรียกให้หันไปมอง แต่ก็เห็นเพียงแค่ฝาบ้านที่ทำจากไม้

           บุญรักษารับรู้ถึงเหงื่อที่เริ่มผุด แผ่นหลังมีมากขึ้นและเริ่มจะไหลหยด บนกรอบหน้านั้นมีมากจนต้องยกแขนปาดทิ้งไป เพราะเสียงที่ได้ยินตอนนี้คือโลหะกระทบกันจากการต่อสู้เสียแล้ว!

           หญิงคนข้างๆ ยกมือขึ้น ทำท่าให้รู้ว่าเงียบๆ

           บุญรักษาพยักหน้าหงึกหงัก กะพริบตาปริบๆ ถึงไม่บอกเธอก็ไม่พูดอะไรอยู่แล้ว ที่สำคัญคือถึงอยากพูดก็ไม่มีเสียง จะให้พูดอะไรได้ ได้แต่เงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหว

           “ผู้ใดมีนาม อันมีความหมายว่า ‘รักษา’ จงปรากฏแต่เบื้องหน้าข้าพเจ้าโดยไว’ เสียงขึงขังของผู้ชายคนหนึ่งดังให้ได้ยิน

           บุญรักษาสะดุ้งตาโตทันที ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ เธอเห็นหญิงคนที่อยู่ในห้องด้วยกันกำลังขยับไปตรงผนังด้านหนึ่งของห้อง ก้าวย่องอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียง

           หล่อนคนนั้นค่อยๆ ย่อกาย คุกเข่าลงกับพื้น ค้อมตัวลงเล็กน้อย มองลอดรูขนาดเล็กจุดหนึ่งตรงข้างฝา ตัวบุญรักษาอยู่เกือบกลางห้อง ลุ้นตามว่าอีกฝ่ายจะเห็นอะไร แต่ปลายดาบสีเงินวาววับกลับทะลุศีรษะหญิงคนนั้นโดยไม่มีคำเตือน บุญรักษาสะดุ้งสุดตัว ยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเร็วพลัน ตัวของเธอสั่นระริก โชคดีที่ไม่ถูกมัดมือมัดเท้า

           ผู้คนด้านนอกและคงมีจำนวนไม่น้อยกำลังวิ่งไปทั่ว สังเกตจากเสียงฝีเท้าที่ได้ยิน

           บุญรักษาตระหนกมากกว่าเดิม ดวงตายังจ้องดาบที่ทะลุศีรษะหญิงคนนั้นและถูกดึงกลับไปอย่างรวดเร็ว ร่างนั้นฟุบลงกับพื้นทันที คนจำนวนหนึ่งกำลังกรูขึ้นมาบนบ้านหลังนี้

           บุญรักษารีบลุกขึ้น มองรอบด้านเพื่อหาทางเอาตัวรอด ผี สาง เทวดา สวรรค์ นรกอะไรลงโทษเธอกันหนอ แต่ก่อนจะได้โอดครวญไปมากกว่านั้น สมองก็สั่งให้ถอดรองเท้า

           มือของเธอรีบถอดเร็วรี่ ถอดเสร็จก็เงยหน้ามองไปรอบๆ ห้อง อาศัยแสงสว่างที่มีมากกว่าเดิม รีบเขย่งเดินด้วยปลายเท้าดิ่งไปที่ประตู ฝีเท้าม้าดังกุบกับยิ่งทำให้ความกลัวปะทุขึ้นอีก รู้ว่าเริ่มลนลาน จึงพยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ ทั้งที่ความจริงคือขาสั่นสุดๆ

           ไม้ขัดกลอนประตูนั้นมีขนาดใหญ่และแน่นหนาระดับหนึ่ง คงพอช่วยถ่วงเวลาได้นิดหน่อย

           เธอรีบตรงไปที่หน้าต่าง พยายามไม่มองร่างไร้ลมหายใจของหญิงคนนั้น เรื่องบ้าอะไรกันที่ทำให้ต้องเจอเรื่องแบบนี้กันเนี่ย

           และถึงแม้ขาของเธอสั่นจนแทบจะก้าวไม่ออก อีกทั้งผ้าถุงที่ใส่อยู่ทำให้ไม่สะดวกนัก แต่ก็นับว่ามาถึงหน้าต่างห้องที่มีหนึ่งเดียวได้รวดเร็ว ไม่กล้าเข้าใกล้ผนังจนเกินไปเพราะกลัวจะเกิดเหตุการณ์เหมือนเมื่อครู่ ครั้นพอถึงหน้าต่างได้ หน้าต่างแบบบานกระทุ้งก็ถูกเปิดขึ้นจากอีกฝั่ง

           บุญรักษาตกใจสุดขีด หวีดร้อง แต่ก็ใช่จะมีเสียง มือรีบคว้าหมับตรงที่จับและดึงปิดทันที ทว่าติดมือของคนอีกฝั่งที่เปิดขึ้นก่อนนั้น

           “มีคนอยู่ด้านในอีก” เจ้าของมือตะโกนบอก

           ‘แย่งกลับมา!’ เสียงในหัวของเธอสั่งการ

           บุญรักษาดึงหน้าต่างเข้าหาตัวสุดแรง แต่ก็ถูกแย่งกลับไป พยายามยื้อแย่งเช่นนั้นจนเจ้าของมือที่อยู่อีกฝั่งหลุดออก มันร้องเสียงหลงเพราะความเจ็บ เธอรีบลงกลอนที่เป็นไม้แท่งไม่ใหญ่อย่างเร็วไวแต่ก็ลนลาน

           ประตูห้องถูกถีบโครมๆ

           คนมือสั่นแทบทำอะไรไม่ถูกแล้วตอนนี้ นึกถึงคุณพระคุณเจ้าให้ช่วยเหลือ ตัวสั่น มือสั่น น้ำตาแทบไหล สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนจะนานแต่ไม่นานสักนิด ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลารวดเร็วมาก

           หญิงสาวถอยห่างออกมา อยู่กลางห้องอีกครั้ง มองรอบด้านเป็นห้องสี่เหลี่ยมเปล่าๆ ก็แทบไม่มีซ่อนที่ไป

           เธออยากร้องไห้จริงๆ แล้วตอนนี้

           ‘ขอพ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกด้วยเถิด’ เพราะประตูนั่นเริ่มคลอนมากขึ้นทุกที

           บุญรักษาหันซ้ายหันขวาอีกรอบ ถกผ้าถุงผืนสวยที่เช่ามาจากร้านชื่อดังขึ้นสูงไม่รอช้า เท้าหนึ่งเหยียบโครงไม้ของผนังห้อง โชคดีที่มีโครงแบบเป็นแนวนอนกับแนวตั้งตามประสาบ้านไม้สมัยเก่าจึงง่ายเมื่อต้องปีนขึ้นไป เธอจับและเหนี่ยวตัวเอง ไต่ขึ้นโดยไม่มีพลาด สภาพทุลักทุเลแต่ก็มืออาชีพจริงๆ หมดสภาพหญิงไทยใจงามเพราะผ้าถุงถกขึ้นจนถึงขาอ่อนและคงเห็นอะไรต่อมิอะไรโดยไม่ต้องเดาแล้วตอนนี้

           เธอไต่จากด้านล่างมาถึงด้านบนได้ในเวลานับหนึ่งไม่ถึงสิบ ต้องขอบคุณความกลัวตายที่ทำให้ปีนขึ้นมาได้เร็วอย่างเหลือเชื่อ ในใจคิดเพียงว่าโชคดีที่บ้านมุงด้วยหญ้าคาจึงมุดขึ้นมาได้โดยง่าย

           บุญรักษารีบหมอบต่ำทันทีเมื่อขึ้นมาอยู่บนหลังคาเรียบร้อย อากาศตอนกลางคืนปะทะผิวให้รู้สึกเย็นวาบ แต่ร่างกายก็ยังร้อนไม่หยุด เธอค่อยๆ ไต่ไปตามโครงไม้อย่างระวังไม่ให้เกิดเสียงทั้งที่มือสั่นตัวสั่น ประคองร่างอวบๆ ของตัวเองไม่ให้พลัดตกลงไป รักษาสมดุลของร่างกายสุดชีวิต นึกถึงบทสวดมนต์ที่พอจะคิดออกไปพร้อมกันด้วย แต่ก็แทบไม่ช่วยอะไรเพราะท่องผิดๆ ถูกๆ

           ด้านล่างที่เห็นเริ่มมีแสงสว่างจากกองเพลิง ไฟไหม้บ้านบางหลังไปแล้ว บุญรักษามาถึงอีกฟากหนึ่งของเรือนและน่าจะเป็นห้องตรงข้ามกับเมื่อครู่จึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ รีบมองดูตำแหน่งแลนดิ้งทันที

           บ้านหลังนี้ไม่สูงนักจึงน่าจะพอจะหย่อนตัวกึ่งกระโดดเมื่อใกล้ถึงพื้นแบบไม่เจ็บตัวเท่าไร สรุปได้ดังนั้นจึงมองซ้ายมองขวาให้แน่ใจอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีคนแน่นอนจึงรีบพาตัวเองลงไป หาจุดที่มืดและปลอดภัยที่สุด ทว่ายังมีเสียง ‘ตุบ’ เบาๆ ขณะลงมาถึงพื้นพร้อมกับอาการจุกเสียดพอประมาณ แม้จะเก็บคองอเข่าช่วยบรรเทาน้ำหนักที่ไม่น้อยของตนเองไปแล้ว

           ‘สัญญาเลยค่ะว่าจะลดน้ำหนักจริงจังหลังจากนี้โดยไม่มีข้อแม้อีก’ สัญญากับตัวเองไปก็ขยับลุกนั่งทั้งสภาพฝุ่นเต็มหลัง เต็มขา เต็มแขน เต็มมือไป

           “หลังคาเรือน ตรวจรอบ!” เสียงนั้นบ่งบอกว่าพวกมันรู้ตัว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่