Guildmystic มนตราพันธนาการ II (เมืองมายา มนตราอลเวง) บทที่ 4

กระทู้สนทนา
ตัวตนของเขาช่างเลือนราง หัวใจไร้ซึ่งแสงแห่งความหวังใด
มีเพียงนางยึดมั่นในดวงใจ ฤๅจะพ่ายพันธนาการแห่งมนตรา


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

Guildmystic มนตราพันธนาการ II

    บทที่ 4


              แม้จะเพียงน้อยนิด แต่สการ์เล็ตก็สังเกตเห็นว่าเรมิเรสหายใจหอบ ราวกับเขารีบเร่งมาจากไหนสักแห่งจนถึงที่นี่ พ่อมดผมขาวสบตานางผ่านกรอบแว่นกระจกหนาเพียงวูบเดียวก่อนไปยืนขวางประจันหน้ากับเด็กชายซึ่งจ้องมาด้วยสายตาวาววาม

              “ท่านคิดจะทำอะไร ไซอา”

              เรมิเรสถาม น้ำเสียงของเขาฟังดูเครียดขึง เด็กชายที่ถูกเรียกว่าไซอาจ้องหน้าพ่อมดหนุ่มนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบเสียงใส

              “นางมาขอพบผู้ตรวจการณ์ชาร์ล็อต ข้าก็เลยอาสาจะพาไปพบและเที่ยวชมกิลด์มิสทิคด้วยเลยยังไงล่ะ”

              “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ขอบคุณมาก แต่ในเมื่อข้ามาแล้วก็จะขอนำทางนางไปเอง”

              เรมิเรสบอกและจ้องตอบสายตาไซอานิ่ง แต่แล้วเด็กชายกลับเบนสายตาไปยังหญิงสาวพร้อมกับรอยยิ้มละไมที่ส่งไปไม่ถึงดวงตา

              “นางบอกว่ามาขอพบชาร์ล็อต แต่ข้าคิดว่าบางทีอาจไม่ใช่แค่เขาที่มีคนต้องการพบ” ดวงตาสีฟ้าหม่นปรายมองพ่อมดผมขาวแวบหนึ่งก่อนเลื่อนกลับมาที่เดิม

              “ตั้งแต่เรมิเรสกลับมาเมื่อปีก่อน เขาก็ไม่ได้ออกไปไหนอีก แต่มักจะมีจดหมายส่งมาถึงเขาเสมอ”

              เด็กชายเอ่ยเรียบเรื่อยและเดินวนรอบกายชายหนุ่มกับหญิงสาว

              “จดหมายนั้นส่งมาจากคนเดียวกัน สถานที่เดียวกัน มันส่งมาจากสถานที่ท่านมา”

              คราวนี้ไซอาพูดกับสการ์เล็ตโดยตรง ดวงตาสีฟ้าหม่นซึ่งจ้องเขม็งมานั้นฉายแววกดดันเกินวัย

              “นางเป็นผู้มีพระคุณของข้า”

              เรมิเรสเอ่ยขัด แต่ไซอาก็ไม่ละสายตาไปจากหญิงสาวแม้เพียงครู่

              “ท่าทางพวกเจ้าจะสนิทสนมกันดีนะ”

              “เรารู้จักกันมานานแล้ว ก่อนที่ข้าจะมายังกิลด์มิสทิค”

              “เป็นอย่างนั้นเองหรือ ข้าไม่ยักรู้” เด็กชายเปรยเสียงสูงราวรู้สึกแปลกใจเสียเต็มประดา

              พ่อมดผู้สวมแว่นตาย่นคิ้วอย่างไม่พอใจ ตั้งแต่เรื่องที่ถูกละลาบละล้วงกระทั่งจดหมายแล้ว

              “ท่านไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องของข้า”

              คำกล่าวของเรมิเรสทำให้ดวงตาสีฟ้าหม่นวาวโรจน์ขึ้นทันใด แต่มันถูกส่งไปให้กับหญิงสาวพร้อมกับรอยยิ้มอันน่าพรั่นพรึง

              “ท่านถามว่าข้า ‘รู้จักเรมิเรสไหม’ สินะ”

              ร่างเล็กเตี้ยแทรกผ่านพ่อมดหนุ่มเข้ามาประชิดและเกาะกุมแขนข้างหนึ่งของสการ์เล็ต เขาเขย่งกายจรดริมฝีปากแนบใบหูนุ่มนิ่มของนาง

              “เจ้านั่นอยู่ในกรรมสิทธิ์ของข้า เป็นสิ่งต้องห้ามมิให้ใครแตะโดยที่ข้าไม่อนุญาต ต้องทำตามคำสั่งข้าทุกประการ แม้ว่าข้าจะสั่งให้พลีชีวิตก็ตาม ใช่ไหม” ประโยคสุดท้ายไซอากล่าวกับเรมิเรส

              จอมเวทผมขาวยืนนิ่งไม่ปฏิเสธสักคำ ทำให้สการ์เล็ตต้องมองไซอาด้วยแววตาประหลาดใจ นางถอยห่างเด็กชายสองก้าวเพื่อพิจารณาเขาอย่างเต็มตาและพูด

              “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร มีอำนาจแค่ไหนในสถานที่แห่งนี้ แต่เรมิเรสเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ถึงเขาจะเป็นสมาชิกขององค์กรกิลด์มิสทิค แต่ก็ยังนับเป็นประชาชนของเรสทอเรีย หากไม่ใช่ด้วยหน้าที่อันหลีกเลี่ยงไม่ได้ตามเหตุสมควรหรือถูกลงทัณฑ์เพราะความผิดที่ก่อไว้ ก็ไม่ควรมีใครจะมีสิทธิ์สั่งเขาให้ทำในเรื่องที่ฝืนใจ เสี่ยงอันตรายหรือพลีชีวิตได้” นางเว้นระยะคำพูดและมองพ่อมดผมขาวด้วยสายตาอาทร “ข้าไม่ยอมเด็ดขาด”

              “โอหัง”

              ไซอาพูดเสียงเบา จ้องหญิงสาวด้วยแววตาถมิงทึง หากก่อนที่เด็กชายจะทำอะไรมากกว่าการมองอย่างมาดร้าย เรมิเรสก็ขยับมาขวางหน้าเอาไว้เสียก่อน

              “กรุณาอย่าแตะต้องนาง ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่อภัยให้เด็ดขาด”

              เรมิเรสกล่าวหนักแน่น ไซอาเหลือบตามองเขาและเอ่ยลอดไรฟัน

              “เจ้าจะทำอะไรได้”

              ชายหนุ่มไม่ตอบคำ แต่จ้องกลับไม่หลบตา ครู่หนึ่งไซอาจึงเป็นฝ่ายยอมถอย

              “ก็ได้ ครั้งนี้ข้าจะไม่แตะ”

              เด็กชายเชิดหน้าและเหยียดยิ้ม ราวกับจะบอกว่าคราวต่อไปอาจไม่รับประกัน

              สการ์เล็ตยืนมองเด็กชายก้าวถอยไปจนลับสายตาก่อนหันมากล่าวกับเรมิเรส

              “เขาเป็นใครกัน ดูกดดันน่ากลัวเกินเด็กเสียเหลือเกิน”

              “เขาไม่ใช่เด็ก... ” เรมิเรสตอบเสียงเบาก่อนหันกลับมาด้วยรอยยิ้ม “ไปเถอะครับ ข้าจะพาท่านไปพบอาจารย์”

              พ่อมดหนุ่มพาหญิงสาวออกจากที่ทำการองค์กรทางประตูลัดซึ่งไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านมากนัก เหมือนทำไว้ใช้เฉพาะบุคคลมากกว่า เขาพานางเดินไปบนถนนปูอิฐสายเล็กปลอดเปลี่ยวในป่าซึ่งยังนับว่าเป็นอาณาบริเวณขององค์กรแห่งเวทมนตร์

              เรมิเรสกุมมือเจ้าหญิงแน่น แต่ไม่เอ่ยอะไรสักคำ เขาจูงมือเดินนำไปเรื่อย ๆ โดยไม่หันกลับมาสักครั้ง แม้ก่อนหน้านี้จะมีรอยยิ้มให้นาง หากก็ไร้ร่องรอยของความยินดี

              “เจ้าไม่อยากให้ข้ามาที่นี่หรือ เรมิเรส”

              จอมเวทหนุ่มชะงักเท้า ผ้าคลุมศีรษะทำให้มองไม่เห็นว่าตอนนี้ใบหน้าของเขาแสดงความรู้สึกเช่นไร

              “ใช่ครับ ข้าไม่อยากให้ท่านมาที่นี่”

              ในที่สุดเขาก็หันกลับมา ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าดูฝืดฝืนเต็มที

              “ไม่อยากให้ท่านเห็นข้าตอนที่น่าสังเวช”

              “เด็กน้อย... “ หญิงสาวกล่าวเสียงอ่อนแล้วผ่อนลมหายใจออกมา

              เรมิเรสเบิกตาโพลงเมื่อเจ้าหญิงทำในสิ่งที่เขาไม่คาดคิดว่าจะทำ ด้วยการขยับเข้ามาใกล้ ใช้สองแขนโอบศีรษะเขาให้โน้มลงบนบ่าบอบบาง

              “เจ้าก็น่าจะรู้ว่าข้าไม่เคยรังเกียจ ต่อให้เจ้าเป็นอย่างไรก็ตาม ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่ชอบเด็กนิสัยเสียอย่างเจ้าได้”

              นางลืม...ที่เขาเคยเตือน ว่าอย่ามองเขาเป็นเด็กอยู่ร่ำไป

              แต่ก็ช่างเถอะ ครั้งนี้เขาจะยอมปล่อยผ่าน ไม่ตักเตือนนางอีกครั้งก็ได้

              ผู้ใช้อาคมแย้มยิ้มบางใต้วงแขนซึ่งโอบรอบศีรษะตน ก่อนจะสอดมือทั้งสองข้างโอบรอบเอวคอดกิ่วเอาไว้บ้าง

              “ขอบคุณครับ ที่ช่วยปกป้องข้า”

              จอมเวทหนุ่มหลับตา ซบหน้าลงบนบ่าโดยหันปลายจมูกไปยังซอกคอซึ่งถูกปกปิดด้วยผ้าเนื้อดีสีหวาน สูดกลิ่นหอมเจือกรุ่นเบาบางที่ช่วยให้จิตใจได้รู้สึกผ่อนคลาย

              อยากจะอยู่อย่างนี้ต่อไปอีกนานเท่านาน

              แม้มันจะเป็นไปไม่ได้

              อ้อมแขนแข็งแกร่งภายใต้เสื้อคลุมของจอมเวทซึ่งโอบรอบเอวสการ์เล็ตไว้เพียงหลวม ๆ ขยับกระชับขึ้น แนบแน่นจนหัวใจหญิงสาวเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ แต่เพียงครู่เดียวก็คลายออกจนนางแทบจะปรับอารมณ์ตามไม่ทัน

              เขายังไม่อยากให้อากาศอบอุ่นแสนสบายยามเช้าแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนรุ่มรวดเร็วเกินไป

              “ดีใจที่ได้พบท่านอีกนะครับ ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ทำตามสัญญา”

              ฝ่ามือเรมิเรสยกขึ้นแตะแผ่วบนนวลปราง นางวางมือซ้อนบนหลังมือของเขาแล้วแนบรับสัมผัสอุ่น

              “เพราะเจ้าไม่ยอมไปหา ข้าก็เลยต้องเป็นฝ่ายมายังไงล่ะ”

              ในที่สุดแววตาของเรมิเรสก็สดใสขึ้น รอยยิ้มของเขาดูเจิดจ้าเมื่ออยู่ท่ามกลางแสงตะวันสีทองยามเช้า

              “มาเถอะ ข้าจะพาไปพบอาจารย์” เขากุมมือนางอย่างสนิทแนบแน่นแล้วออกเดินเคียงคู่ไปพร้อมกัน

              “ไปที่บ้านของพวกเรา”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่