เจาะยอดขายรถ 8 เดือนปี 68 เช็กเลยรถยนต์แบรนด์ใดขายดี 10 อันดับแรก

เจาะยอดขายรถยนต์ไทย 8 เดือนปี 2568 เช็กเลยยี่ห้อใดขายดีสุด 10 อันดับแรก พร้อมประเมินสถานการณ์ตลาดทิศทางแนวโน้มรุ่งหรือร่วง!

ตลาดรถยนต์ในไทย 8 เดือนแรกปี 2568 (มกราคม -สิงหาคม 2568)ตัวเลขยอดขายกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย โดยรถยนต์รวมขายได้ทั้งสิ้น 399,945 คัน เพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อมาดูยอดขายในเซกเมนต์ต่างๆพบว่า รถยนต์นั่ง มียอดขายรวม 154,766 คัน เพิ่มขึ้น 0.4% ส่วนตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ มียอดขาย 245,179 คัน เพิ่มขึ้น 0.2% และเมื่อมาดูยอดขายในกลุ่มรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV) 8 เดือนแรกของปีนี้มียอดขาย 124,156 คัน ลดลง 11% ส่วนยอดขายเฉพาะรถกระบะ Pure Pick up มียอดขาย 96,046 คัน ลดลง 16.5%

ขณะที่ยอดขายรถยนต์รวมในเดือนสิงหาคม 2568 พบว่าตลาดรวมขายได้ทั้งสิ้น 47,622 คัน เพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อมาดูเซกเมนต์ต่างๆพบว่า กลุ่มตลาดรถยนต์นั่ง ทำยอดขายได้ 18,168 คัน ลดลง 0.7% ส่วนตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปรับตัวดีขึ้น ด้วยยอดขาย 29,454 คัน เพิ่มขึ้น 12.3% และตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน ยอดขาย 14,599 คัน ลดลง 2.5% ในส่วนของรถยนต์ในกลุ่ม HEV มียอดขาย 11,230 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 26% และมียอดขายสะสมแปดเดือนแรกถึง 89,598 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 50.6% ของตลาด xEV ทั้งหมด

เมื่อมาเจาะลึกยอดขายของแต่ละแบรนด์ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาของปี 2568 พบว่า 3 อันดับแรกยังคงเป็นแบรนด์ญี่ปุ่น นำโดยโตโยต้า อีซูซุ ฮอนด้า ขณะที่อันดับ 4 ตกเป็นของแบรนด์จีนอย่าง บีวายดี ส่วนอันดับ 5 ยังคงเป็นแบรนด์จากญี่ปุ่นคือมิตซูบิชิ อย่างไรก็ดีเมื่อดูอัตราการเติบโต จะพบว่าแบรนด์จากจีนที่มีรถยนต์ไฟฟ้าเป็นหัวหอกมียอดขายที่เติบโต ไม่ว่าจะเป็นบีวายดี เอ็มจี GWM ฉางอัน 
 
ยี่ห้อรถขายดี 10 อันดับแรกประจำเดือนม.ค.-ส.ค. 68
โตโยต้า 149,328 คัน ลดลง 1.7 % ส่วนแบ่งตลาด 37.3 %
อีซูซุ 48,572 คัน ลดลง 17.9 %ส่วนแบ่งตลาด 12.1%
ฮอนด้า 45,917 คัน ลดลง 14.9 %ส่วนแบ่งตลาด 11.5%
บีวายดี 30,045 คัน เพิ่มขึ้น 43.9% ส่วนแบ่งตลาด 7.5%
มิตซูบิชิ 17,923 คัน ลดลง 1.9 %ส่วนแบ่งตลาด 4.5%
เอ็มจี 15,726 คัน เพิ่มขึ้น 34.7% ส่วนแบ่งตลาด 3.9%
ฟอร์ด 12,432 คัน ลดลง 15.8 %ส่วนแบ่งตลาด 3.1%
GWM 10,308 คัน เพิ่มขึ้น 114.8 %ส่วนแบ่งตลาด 2.6%
ฉางอัน 8,826 คัน เพิ่มขึ้น 50.7%ส่วนแบ่งตลาด 2.2 %
นิสสัน 6,145 คัน ลดลง 9.2 % ส่วนแบ่งตลาด 1.5 %
 
นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า โตโยต้ายังคงครองอันดับหนึ่งตลาดรถยนต์ ด้วยยอดขายสะสมแปดเดือนแรก149,328 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดที่ 37.3% โดยมีรถยอดนิยมอย่าง Yaris ATIV ที่ขายได้ 35,017 คัน และ Hilux REVO 25,182 คัน ส่วนรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่ได้มีการแนะนำ ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า โดย New Yaris ATIV HEV น้องใหม่ล่าสุดสายไฮบริด ทำยอดจองสะสมหลังจากการเปิดตัวในช่วงปลายเดือนสิงหาคม จนถึงวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา มากกว่า 3,700 คัน ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้า BEV อเนกประสงค์ รุ่น NEW bZ4X ที่เปิดรับจองสิทธิ์ผ่านช่องทางออนไลน์ มีผู้สนใจลงทะเบียนที่ 1,890 คัน 
ส่วนแนวโน้มตลาดรถยนต์ในเดือนกันยายน 2568 คาดว่าจะทรงตัวเนื่องจากผู้บริโภครอความชัดเจนของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ อาจส่งผลให้ชะลอการซื้อ ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันที่ผันผวน และอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงิน ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการใช้จ่าย

ส.อ.ท.ชงรัฐบาลใหม่ ตั้งกองทุนค้ำประกันรถกระบะ
ด้านกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)ได้เสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อรัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกุล โดยได้เสนอรัฐบาลตั้งกองทุนห้าพันล้านบาทเพื่อค้ำประกันผลขาดทุนจากการยึดรถกระบะแล้วขายขาดทุน โดยจ่ายผลขาดทุนตามจริงแต่ไม่เกินคันละห้าหมื่นบาทให้กับสถาบันการเงิน โดยมีข้อแลกเปลี่ยนหรือเงื่อนใขว่า สถาบันการเงินต้องปล่อยกู้ให้มียอดขายรถกระบะมากขึ้นจากปีที่ผ่านมาอย่างน้อย 30% 

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์  ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)กล่าวว่า ข้อเสนอนี้เป็นของ กกร.ปีที่แล้วที่ได้ให้กับรัฐบาล โดยจะขอยกตัวอย่าง สมมติปีที่แล้วขายรถกระบะ 130,000 คัน ถ้าขายมากกว่าปีที่แล้วอย่างน้อย 30% ปีนี้ต้องปล่อยสินเชื่อให้ขายรถกระบะให้ได้ 170,000 คัน 

โดยตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 40,000 คันนี้ รัฐบาลจะค้ำประกันผลขาดทุนจากการยึดรถคันละไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงตั้งกองทุนค้ำประกันผลขาดทุนจากรถยึดรถกระบะเพียง 2,000 ล้านบาท (40,000คัน × 50,000 บาทค่อคัน) แต่รัฐบาลเก็บภาษีสรรพสามิตรถกระบะ 3% × 24,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 720 ล้านบาท  (ถ้าเฉลี่ยรถกระบะคันละ 600,000 บาท x 40,000 คันที่เพิ่มขึ้น)เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%ของยอด 24,000 ล้านบาท ได้เงิน 1,680 ล้านบาท รวมเก็บภาษีสองประเภทนี้"เพิ่มขึ้น" 2,400 ล้านบาท มากกว่าเงินกองทุน 2,000 ล้านบาท

อีกทั้งยังเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ซัพพลายเชนขายได้มากขึ้น กำไรสุทธิมากขึ้น เช่น บริษัทผลิตยางล้อรถยนต์ขายยางล้อได้มากขึ้น160,000 เส้น กระจกขายได้มากขึ้น 40,000 แผ่น เครื่องปรับอากาศรถยนต์ขายมากขึ้น 40,000 เครื่อง บริษัทขายท่อไอเสียมากขึ้น 40,000 ชิ้นฯลฯ  และยังเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นจากรายได้พนักงานสถาบันการเงิน บริษัทประกันภัยและพนักงานขายรถกระบะรวมทั้งคนงานทำงานในบริษัทซัพพลายเชนที่มีรายได้เพื่มขึ้น ทำให้กลุ่มบริษัทลงทุนเพิ่ม จ้างงานเพิ่ม 

คนงานเหล่านี้มีรายได้มากขึ้นชำระหนี้ได้มากขึ้น(หนี้ครัวเรือนลดลงอย่างแท้จริง) ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้น ทานอาหารมากขึ้น เดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจเติบโตมากขึ้น สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างประเทศและในประเทศลงทุนมากขึ้นและเร็วขึ้น ผลิตสินค้าส่งออกมากขึ้น เศรษฐกิจของประเทศไทยจะได้เติบโตเป็นวงจรขาขึ้นในอัตราที่สูงขึ้นเสียที

ส่วนเงินกองทุน 2,000 หรือ 5,000 ล้านบาทขึ้นกับเป้าหมายที่จะให้ขายรถกระบะเพิ่มขึ้นกี่หมื่นคันในแต่ละปี ซึ่งรัฐบาลจะจ่ายในอีกสองปีข้างหน้าเมื่อยึดรถกระบะมาแล้วและประมูลขายขาดทุนแล้วเท่านั้น



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่