หน้าแรก
คอมมูนิตี้
ห้อง
แท็ก
คลับ
ห้อง
แก้ไขปักหมุด
ดูทั้งหมด
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
แท็ก
แก้ไขปักหมุด
ดูเพิ่มเติม
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
{room_name}
{name}
{description}
กิจกรรม
แลกพอยต์
อื่นๆ
ตั้งกระทู้
เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก
เว็บไซต์ในเครือ
Bloggang
Pantown
PantipMarket
Maggang
ติดตามพันทิป
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้
เกี่ยวกับเรา
กฎ กติกา และมารยาท
คำแนะนำการโพสต์แสดงความเห็น
นโยบายเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
สิทธิ์การใช้งานของสมาชิก
ติดต่อทีมงาน Pantip
ติดต่อลงโฆษณา
ร่วมงานกับ Pantip
Download App Pantip
Pantip Certified Developer
การเดินทางเพื่อตามหาลมหายใจของเทพเจ้า ณ.อินโดนีเซีย
กระทู้สนทนา
เที่ยวต่างประเทศ
Backpack
ภาพถ่าย
ประเทศอินโดนีเซีย
วันทำงานปกติก็เหมือนทุกวันที่น่าเบื่อและจำเจ แต่เมื่อเสียงโทรศัพย์ดังจากเบอร์ปลายทางที่ไม่ค่อยจะโทรมาหา ชักชวนไปยังอินโดนีเซีย
ความคิดแรกของผมก็คือ อินโดมีอะไรวะ ที่คิดออกก็คือบาหลีเท่านั้น
ผมแทบจะไม่มีเวลาเตรียมตัวอะไรมากเลย เก็บของก็ใกล้ๆวันจะไปจ่ายเงินค่าเดินทางเรียบร้อยก็รีบเคลียร์งานล่วงหน้าหกวันให้จบ แล้วก็ออกเดินทาง
โทรถามเพื่อนว่าอากาศหนาวไหวต้องเอาอะไรไปบ้าง ค่าเงินคืออะไร เขากินอาหารยังไง ใช้ไฟบ้านเท่าไหร่ต้องพูดภาษาอะไร
ผมไม่รู้ว่าทริปนี้ต้องไปที่ไหนบ้างลุ้นเอาข้างหน้าว่าไปเจออะไรก็ถ่ายแล้วกัน เตรียมกล้องดิจิตอลกับกล้องฟิลม์ไปเท่านั้นพกฟิลม์ไปสามม้วน ขากลับทำหายหนึ่งม้วน(เสียดายแทบแย่)
เกือบจะพลาดก็เพราะว่านึกว่าต้องขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง เพราะปกติขึ้นที่นี่ประจำ ดีที่ว่าเพื่อนบอกทันว่าเจอกันสุวรรณภูมิเพราะเราไม่ได้ไปแอร์เอเชีย แต่ไปกับสายการบินการูด้าแอร์ ผมจึงรีบเก็บของนั่งรถไปทันที บอกตรงๆผมไม่เคยขึ้นเครื่องที่นี่มาก่อนเลยทุกอย่างเลยเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงไม่รู้จะไปทางไหนมันใหญ่โตไปหมด สุดท้ายก็นอนรอขึ้นเครื่อง 6.00 เช้า นอนรอกันที่สนามบิน
เรานั่งเครื่องมาลงที่จากาต้าร์ใช้เวลาบินทั้งหมด เกือบ 4 ชั่วโมงแล้วรอเปลี่ยนเครื่องอีก 2.5 ชั่วโมงจึงจะนั่งเครื่องไปลง สุบารายาเพื่อไปยังภูเขาไฟโบรโม่
ด้วยความที่ไม่เคยเห็นภูเขาไฟจริงๆมาก่อนเลยรู้สึกเฉยๆไม่คิดอะไร แต่พระเจ้า......พอมาเจอของจริงมันใหญ่มาก กว้างใหญ่มีควันไฟที่ยังปล่อยออกมาในใจคิดเลยว่า รู้เลยว่าทำไมภูเขาไฟระเบิดทีนึงคนถึงกลัวกันนักหนา โชคดีที่พักของเราอยู่ติดกับภูเขาไฟเลย แค่เดินออกมาก็เห็นได้สบายทำให้ตอนกลางคืนเราสามารถเดินออกมาถ่ายทางช้างเผือกได้สบาย เที่ยวครั้งนี้เริ่มคึดถึงเลนส์ระยะต่างๆมากขึ้นเพราะโอกาสของการได้ภาพมีจำกัด
เราตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อนั่งรถจี๊ปที่เช่าไว้ เดินทางขึ้นเขาเพื่อไปถ่ายแสงเช้าที่จุดชมวิว ซึ่งจะมีสามจุดหลักๆคืนแรกเราไปที่จุดสองมุมนี้จะโล่งเห็นชัดแต่โบรโม่โดนภูเขาบาต็อกบัง เลยต้องไปอีกในคืนที่สองไปยังจุดหนึ่งซึ่งเป็นจุดที่ดีที่สุด เห็นภูเขาไฟทั้งสามลูกได้อย่างชัดเจน ที่บนเขาอากาศหนาวเย็นจนมือชาไปหมดไม่มีแรงแม้จะกดชัทเตอร์ โชคดีที่เราไปก่อนคนไม่ค่อยจะมีเลยได้เลือกตั้งขาตั้งในจุดที่ดีที่สุดแล้วยืนรอแสงอีกสองสามชั่วโมงโดยมีความหนาวเย็นเป็นเพื่อน
หลังจากสองวันที่สุบารายา เราก็เก็บของเดินทางไปยัง คาวาอีเจี๊ยน ภูเขาไฟที่ทำเหมืองแร่กำมะถัน เดินทางกันเกือบห้าชั่วโมงนั่งรถจนขาแข็ง เราไปถึงที่พักก็เกือบทุ่มกว่า ลืมบอกไปว่าที่อินโดจะมืดเร็วมาก ห้าโมงก็มืดแล้วแต่จะเช้าเร็วทำให้เราไม่เคยไปทันถ่ายแสงเย็นเลยสักที่ ใครที่คิดจะไปต้องเช็คเวลาดีๆในการเดินทาง
ที่เหมืองอีเจี๊ยน ต้องบอกว่าโหดสุดๆ ตื่นตีหนึ่งเพื่อนั่งรถไปยังหน้าอุทธยาน จ่ายค่าเข้าคนละ 150000 รูปี แล้วเดินขึ้นเขาสูงชันประมาณ 3-4 กิโล จึงจะถึงปากปล่องภูเขาไฟ แล้วก็ไต่ลงไปยังก้นภูเขาไฟ ทำไมต้องมาตีสอง ก็เพราะว่าเขาเปิดให้เดินขึ้นตีสอง ถึงห้าโมงเย็นเท่านั้น เรามากลางคืนเพื่อมาดูบลูไฟ หรือไฟสีน้ำเงิน ซึ่งเกิดจากความร้อนใต้ผิวโลกเผากำมะถันจนเกิดเปลวไฟสีน้ำเงินนั่นเอง มันจะติดไฟอยู่ตลอดเวลาแต่จะเห็นได้ก็กลางคืนมืดๆเท่านั้น เช้ามาแสงหายไปเลยเพราะมองไม่เห็น
เปลวไฟร้อนแรงมากได้ยินเสียงเหมือนใครเปิดเตาแก๊สอันใหญ่ๆทิ้งเอาไว้เลยมันร้อนและเหม็นกลิ่นกำมะถันมากๆทั้งควันที่พุ่งเข้ามาไม่หยุด ถ่ายทีนึงต้องกลั้นลมหายใจ วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ตลอดเวลา
หลังจากนั้นเราก็ไปยังบูโรพุทโธ ที่เมืองยอกย่า เราโชคดีจองที่พักที่อุทธยานไว้ได้ทันจึงสะดวกสบายในการเดินไปถ่ายรูปมากเพราะอยู่ติดกัน แถมค่าเข้าก็ไม่ต้องจ่าย ยังมีสิทธิ์พิเศษก็คือเราจะสามารถเดินออกประตูด้านหน้าได้เลย ซึ่งปกติไม่ได้พักที่นี่จะไม่ให้เดินออก ต้องอ้อมหลังไปไกล
ที่บูโรพุทโธ ตามประวัติชาวฮอลแลนด์มาสำรวจถ่ายรูปเอาไว้ ของเดิมชำรุดทรุดโทรมมากเสียหายจากแรงแผ่นดินไหว
ที่เห็นว่าสวยคือก่อสร้างใหม่และบูรณะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีรูปถ่ายประกอบให้เราดูด้วย
จบแล้วครับ ขอบคุณที่ติดตามรับชม ผมลงรูปเพื่อให้คนที่สนใจอยากไปได้เห็นตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ เพื่อการเตรียมตัวและเลือกสถานที่ไปให้เหมาะสม
ซึ่งผมไม่ค่อยได้เตรียมไปขนาดนี้ เลยมีปัญหานิดหน่อยแต่ก็ลุยจนจบครบทริปกลับมาครับ
ลาไปก่อนครับ เอาไว้คราวหน้าไปเที่ยวจะหาข้อมูลมาเพิ่มให้อีกครับ
▼
กำลังโหลดข้อมูล...
▼
แสดงความคิดเห็น
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
การเดินทางครั้งใหม่ ครั้งแรกที่ได้เหยียบภูเขาไฟ ที่ขึ้นชื่อว่า ลมหายใจของเทพเจ้า Bromo - Kawah Ijen
นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ที่ผมโทรศัพท์ไปหา พ่อ กับ แม่ แล้วบอกท่านว่า เดี๋ยวอาทิตย์หน้าจะไม่อยู่สัก 4-5 วันนะคับ พ่อมักจะพูดแทรกขึ้นมาว่า “ไปเที่ยวอีกแล้วละสิ ไปไหนละคราวนี้” ส่
ทารก มิว
โบรโม่ - คาวาอิเจียน Part 2.0 ลมหายใจแห่งเทพเจ้า
"ภูเขาไฟโบรโม่" คือภูเขาไฟที่ยังดับไม่สนิทจากในรูปคือภูเขาที่กำลังพ่นควันอยู่ ตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติโบรโม่เทงเกอร์เซเมรู เกาะชวาตะวันออก ประเทศอินโดนีเซีย มีความสูง 2,329 เมตร จากระดับน้ำ
แสงจันทร์ (Sangchan)
Bromo,Kawah Ijen and Bali, Indonesia - JuckKajarn พาเที่ยว
ภูเขาไฟโบรโม (อินโดนีเซีย: Gunung Bromo) ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติโบรโมเทงเกอร์เซเมรู เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาเทงเกอร์มาสซีฟ บนเกาะชวาตะวันออก ประเทศอินโดนีเซีย ยอดภูเขาไฟนี้มีความสูง 2,329 เมตร ซึ่งไม
สมาชิกหมายเลข 2597591
ผจญภัยในดินแดนแห่ง "The Ring of Fire" ที่ภูเขาไฟ Bromo - Kawah Ijen อินโดนีเซีย
เป็นกระทู้แรก ผิดพลาดยังไงขออภัยไว้ด้วยนะคะ ติดตามข้อมูล รีวิวการเดินทาง พูดคุยกับผู้เขียนได้ที่Fanpage : https://www.facebook.com/Mytravelholicdiary/Instagram : https://www.instagram.com/my_trav
My Travelholic Diary
ขึ้นดอยเพื่อพบใจตนเอง
ขึ้นดอยเพื่อพบใจตนเอง การเดินทางสู่สันติสุขท่ามกลางธรรมชาติ ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและเสียงรบกวนจากเทคโนโลยี หลายคนกำลังแสวงหาความสงบสุขที่แท้จริง หนึ่งในสถานที่ที่ตอบโจทย์ผู้แสวงหาความสงบคือดอย
สมาชิกหมายเลข 8682673
จากบาหลีสู่ชวา, ออกตามหา >>วงแหวนแห่งไฟและลมหายใจของเทพเจ้า<<
หลังจากที่กลับมาจากการเดินทางรับผิดชอบความฝัน จากเทียนอันเหมินสู่จัตุรัสแดงที่มอสโคว์ (http://pantip.com/topic/33983438) ยังไม่ทันได้ซักเสื้อผ้า รื้อของออกจากกระเป๋า ก็เกิดอาการอยู่บ้านไม่ได้ ชีพจรลงเ
นักเดินทางใต้แสงดาว
👦 เพียงแค่ลมหายใจของเขา…ก็ทำให้หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้อบอุ่นกว่าที่เคย 🧒
🌬️ สายลมแผ่วเบา 🌤️ แสงแดดอุ่นละไม 🌾 และท้องทุ่งนาที่พลิ้วไหว คือมนต์เสน่ห์ที่จะทำให้ทุกคนหลงรักที่นี่ หวานใจผู้ใหญ่จอม ทุกคืนวันศุกร์ เวลา 21.30 น. ทางช่อง Workpoint หมายเลข 23 และดูย้อนหลังแบบ
สมาชิกหมายเลข 5555682
ช่วยปรับโคลงสี่สุภาพให้หน่อยค่ะ ผิดพลาด ตรงไหนช่วยปรับให้หน่อยนะคะ🥲
1.)อันตัวเราอ่อนช้อย เปรมปรีด์ นามสุธาสินี เพริดแพร้ว ฉีกยิ้มง
สมาชิกหมายเลข 8671693
จิตสงบเป็นสมาธิที่ละเอียดประณีตขึ้นพัฒนาจากรูปฌานเป็นอรูปฌาน
หลังจากบวชพระครั้งแรกกับพระอาจารย์โสภา วัดแสงธรรมวังเขาเขียวในปี 2553 ต้องสึกออกมาเพราะต้องทำงานเลี้ยงแม่ (ลูกคนเดียว) ได้งานทำงานที่ระยอง ตั้งใจซื้อบ้านอยู่ใกล้ๆ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรา
สมาชิกหมายเลข 2748147
ผีปอบ ความลับในร่างคน - Documentary
คืนฝนตกหนักในหมู่บ้านริมแม่น้ำ ฟ้าผ่าส่องเห็นชายชราผมขาวโพลน ก้าวขึ้นจากแพไม้เก่า ผิวซีดขาวเรืองแสง ร่างกายแข็งแรงเกินวัย ชาวบ้านมองเขาด้วยความสงสัย บางคนกระซิบว่า เขาไม่ใช่คนจากที่นี่ แต่ก็ชวนเขามาพั
น้ำเต้าฮวย 5 บาท
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
เที่ยวต่างประเทศ
Backpack
ภาพถ่าย
ประเทศอินโดนีเซีย
บนสุด
ล่างสุด
อ่านเฉพาะข้อความเจ้าของกระทู้
หน้า:
หน้า
จาก
แชร์ :
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ยอมรับ
การเดินทางเพื่อตามหาลมหายใจของเทพเจ้า ณ.อินโดนีเซีย
ความคิดแรกของผมก็คือ อินโดมีอะไรวะ ที่คิดออกก็คือบาหลีเท่านั้น
ผมแทบจะไม่มีเวลาเตรียมตัวอะไรมากเลย เก็บของก็ใกล้ๆวันจะไปจ่ายเงินค่าเดินทางเรียบร้อยก็รีบเคลียร์งานล่วงหน้าหกวันให้จบ แล้วก็ออกเดินทาง
โทรถามเพื่อนว่าอากาศหนาวไหวต้องเอาอะไรไปบ้าง ค่าเงินคืออะไร เขากินอาหารยังไง ใช้ไฟบ้านเท่าไหร่ต้องพูดภาษาอะไร
ผมไม่รู้ว่าทริปนี้ต้องไปที่ไหนบ้างลุ้นเอาข้างหน้าว่าไปเจออะไรก็ถ่ายแล้วกัน เตรียมกล้องดิจิตอลกับกล้องฟิลม์ไปเท่านั้นพกฟิลม์ไปสามม้วน ขากลับทำหายหนึ่งม้วน(เสียดายแทบแย่)
เกือบจะพลาดก็เพราะว่านึกว่าต้องขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง เพราะปกติขึ้นที่นี่ประจำ ดีที่ว่าเพื่อนบอกทันว่าเจอกันสุวรรณภูมิเพราะเราไม่ได้ไปแอร์เอเชีย แต่ไปกับสายการบินการูด้าแอร์ ผมจึงรีบเก็บของนั่งรถไปทันที บอกตรงๆผมไม่เคยขึ้นเครื่องที่นี่มาก่อนเลยทุกอย่างเลยเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงไม่รู้จะไปทางไหนมันใหญ่โตไปหมด สุดท้ายก็นอนรอขึ้นเครื่อง 6.00 เช้า นอนรอกันที่สนามบิน
เรานั่งเครื่องมาลงที่จากาต้าร์ใช้เวลาบินทั้งหมด เกือบ 4 ชั่วโมงแล้วรอเปลี่ยนเครื่องอีก 2.5 ชั่วโมงจึงจะนั่งเครื่องไปลง สุบารายาเพื่อไปยังภูเขาไฟโบรโม่
ด้วยความที่ไม่เคยเห็นภูเขาไฟจริงๆมาก่อนเลยรู้สึกเฉยๆไม่คิดอะไร แต่พระเจ้า......พอมาเจอของจริงมันใหญ่มาก กว้างใหญ่มีควันไฟที่ยังปล่อยออกมาในใจคิดเลยว่า รู้เลยว่าทำไมภูเขาไฟระเบิดทีนึงคนถึงกลัวกันนักหนา โชคดีที่พักของเราอยู่ติดกับภูเขาไฟเลย แค่เดินออกมาก็เห็นได้สบายทำให้ตอนกลางคืนเราสามารถเดินออกมาถ่ายทางช้างเผือกได้สบาย เที่ยวครั้งนี้เริ่มคึดถึงเลนส์ระยะต่างๆมากขึ้นเพราะโอกาสของการได้ภาพมีจำกัด
เราตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อนั่งรถจี๊ปที่เช่าไว้ เดินทางขึ้นเขาเพื่อไปถ่ายแสงเช้าที่จุดชมวิว ซึ่งจะมีสามจุดหลักๆคืนแรกเราไปที่จุดสองมุมนี้จะโล่งเห็นชัดแต่โบรโม่โดนภูเขาบาต็อกบัง เลยต้องไปอีกในคืนที่สองไปยังจุดหนึ่งซึ่งเป็นจุดที่ดีที่สุด เห็นภูเขาไฟทั้งสามลูกได้อย่างชัดเจน ที่บนเขาอากาศหนาวเย็นจนมือชาไปหมดไม่มีแรงแม้จะกดชัทเตอร์ โชคดีที่เราไปก่อนคนไม่ค่อยจะมีเลยได้เลือกตั้งขาตั้งในจุดที่ดีที่สุดแล้วยืนรอแสงอีกสองสามชั่วโมงโดยมีความหนาวเย็นเป็นเพื่อน
หลังจากสองวันที่สุบารายา เราก็เก็บของเดินทางไปยัง คาวาอีเจี๊ยน ภูเขาไฟที่ทำเหมืองแร่กำมะถัน เดินทางกันเกือบห้าชั่วโมงนั่งรถจนขาแข็ง เราไปถึงที่พักก็เกือบทุ่มกว่า ลืมบอกไปว่าที่อินโดจะมืดเร็วมาก ห้าโมงก็มืดแล้วแต่จะเช้าเร็วทำให้เราไม่เคยไปทันถ่ายแสงเย็นเลยสักที่ ใครที่คิดจะไปต้องเช็คเวลาดีๆในการเดินทาง
ที่เหมืองอีเจี๊ยน ต้องบอกว่าโหดสุดๆ ตื่นตีหนึ่งเพื่อนั่งรถไปยังหน้าอุทธยาน จ่ายค่าเข้าคนละ 150000 รูปี แล้วเดินขึ้นเขาสูงชันประมาณ 3-4 กิโล จึงจะถึงปากปล่องภูเขาไฟ แล้วก็ไต่ลงไปยังก้นภูเขาไฟ ทำไมต้องมาตีสอง ก็เพราะว่าเขาเปิดให้เดินขึ้นตีสอง ถึงห้าโมงเย็นเท่านั้น เรามากลางคืนเพื่อมาดูบลูไฟ หรือไฟสีน้ำเงิน ซึ่งเกิดจากความร้อนใต้ผิวโลกเผากำมะถันจนเกิดเปลวไฟสีน้ำเงินนั่นเอง มันจะติดไฟอยู่ตลอดเวลาแต่จะเห็นได้ก็กลางคืนมืดๆเท่านั้น เช้ามาแสงหายไปเลยเพราะมองไม่เห็น
เปลวไฟร้อนแรงมากได้ยินเสียงเหมือนใครเปิดเตาแก๊สอันใหญ่ๆทิ้งเอาไว้เลยมันร้อนและเหม็นกลิ่นกำมะถันมากๆทั้งควันที่พุ่งเข้ามาไม่หยุด ถ่ายทีนึงต้องกลั้นลมหายใจ วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ตลอดเวลา
หลังจากนั้นเราก็ไปยังบูโรพุทโธ ที่เมืองยอกย่า เราโชคดีจองที่พักที่อุทธยานไว้ได้ทันจึงสะดวกสบายในการเดินไปถ่ายรูปมากเพราะอยู่ติดกัน แถมค่าเข้าก็ไม่ต้องจ่าย ยังมีสิทธิ์พิเศษก็คือเราจะสามารถเดินออกประตูด้านหน้าได้เลย ซึ่งปกติไม่ได้พักที่นี่จะไม่ให้เดินออก ต้องอ้อมหลังไปไกล
ที่บูโรพุทโธ ตามประวัติชาวฮอลแลนด์มาสำรวจถ่ายรูปเอาไว้ ของเดิมชำรุดทรุดโทรมมากเสียหายจากแรงแผ่นดินไหว
ที่เห็นว่าสวยคือก่อสร้างใหม่และบูรณะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีรูปถ่ายประกอบให้เราดูด้วย
จบแล้วครับ ขอบคุณที่ติดตามรับชม ผมลงรูปเพื่อให้คนที่สนใจอยากไปได้เห็นตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ เพื่อการเตรียมตัวและเลือกสถานที่ไปให้เหมาะสม
ซึ่งผมไม่ค่อยได้เตรียมไปขนาดนี้ เลยมีปัญหานิดหน่อยแต่ก็ลุยจนจบครบทริปกลับมาครับ
ลาไปก่อนครับ เอาไว้คราวหน้าไปเที่ยวจะหาข้อมูลมาเพิ่มให้อีกครับ