การเดินทางเพื่อตามหาลมหายใจของเทพเจ้า ณ.อินโดนีเซีย

วันทำงานปกติก็เหมือนทุกวันที่น่าเบื่อและจำเจ    แต่เมื่อเสียงโทรศัพย์ดังจากเบอร์ปลายทางที่ไม่ค่อยจะโทรมาหา ชักชวนไปยังอินโดนีเซีย  
ความคิดแรกของผมก็คือ อินโดมีอะไรวะ  ที่คิดออกก็คือบาหลีเท่านั้น

ผมแทบจะไม่มีเวลาเตรียมตัวอะไรมากเลย เก็บของก็ใกล้ๆวันจะไปจ่ายเงินค่าเดินทางเรียบร้อยก็รีบเคลียร์งานล่วงหน้าหกวันให้จบ แล้วก็ออกเดินทาง
โทรถามเพื่อนว่าอากาศหนาวไหวต้องเอาอะไรไปบ้าง ค่าเงินคืออะไร  เขากินอาหารยังไง ใช้ไฟบ้านเท่าไหร่ต้องพูดภาษาอะไร

ผมไม่รู้ว่าทริปนี้ต้องไปที่ไหนบ้างลุ้นเอาข้างหน้าว่าไปเจออะไรก็ถ่ายแล้วกัน   เตรียมกล้องดิจิตอลกับกล้องฟิลม์ไปเท่านั้นพกฟิลม์ไปสามม้วน ขากลับทำหายหนึ่งม้วน(เสียดายแทบแย่)  

เกือบจะพลาดก็เพราะว่านึกว่าต้องขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง เพราะปกติขึ้นที่นี่ประจำ  ดีที่ว่าเพื่อนบอกทันว่าเจอกันสุวรรณภูมิเพราะเราไม่ได้ไปแอร์เอเชีย แต่ไปกับสายการบินการูด้าแอร์   ผมจึงรีบเก็บของนั่งรถไปทันที   บอกตรงๆผมไม่เคยขึ้นเครื่องที่นี่มาก่อนเลยทุกอย่างเลยเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงไม่รู้จะไปทางไหนมันใหญ่โตไปหมด    สุดท้ายก็นอนรอขึ้นเครื่อง 6.00 เช้า นอนรอกันที่สนามบิน

เรานั่งเครื่องมาลงที่จากาต้าร์ใช้เวลาบินทั้งหมด เกือบ 4 ชั่วโมงแล้วรอเปลี่ยนเครื่องอีก 2.5 ชั่วโมงจึงจะนั่งเครื่องไปลง สุบารายาเพื่อไปยังภูเขาไฟโบรโม่
ด้วยความที่ไม่เคยเห็นภูเขาไฟจริงๆมาก่อนเลยรู้สึกเฉยๆไม่คิดอะไร   แต่พระเจ้า......พอมาเจอของจริงมันใหญ่มาก กว้างใหญ่มีควันไฟที่ยังปล่อยออกมาในใจคิดเลยว่า รู้เลยว่าทำไมภูเขาไฟระเบิดทีนึงคนถึงกลัวกันนักหนา     โชคดีที่พักของเราอยู่ติดกับภูเขาไฟเลย  แค่เดินออกมาก็เห็นได้สบายทำให้ตอนกลางคืนเราสามารถเดินออกมาถ่ายทางช้างเผือกได้สบาย   เที่ยวครั้งนี้เริ่มคึดถึงเลนส์ระยะต่างๆมากขึ้นเพราะโอกาสของการได้ภาพมีจำกัด






เราตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อนั่งรถจี๊ปที่เช่าไว้ เดินทางขึ้นเขาเพื่อไปถ่ายแสงเช้าที่จุดชมวิว   ซึ่งจะมีสามจุดหลักๆคืนแรกเราไปที่จุดสองมุมนี้จะโล่งเห็นชัดแต่โบรโม่โดนภูเขาบาต็อกบัง  เลยต้องไปอีกในคืนที่สองไปยังจุดหนึ่งซึ่งเป็นจุดที่ดีที่สุด  เห็นภูเขาไฟทั้งสามลูกได้อย่างชัดเจน     ที่บนเขาอากาศหนาวเย็นจนมือชาไปหมดไม่มีแรงแม้จะกดชัทเตอร์  โชคดีที่เราไปก่อนคนไม่ค่อยจะมีเลยได้เลือกตั้งขาตั้งในจุดที่ดีที่สุดแล้วยืนรอแสงอีกสองสามชั่วโมงโดยมีความหนาวเย็นเป็นเพื่อน














หลังจากสองวันที่สุบารายา  เราก็เก็บของเดินทางไปยัง คาวาอีเจี๊ยน ภูเขาไฟที่ทำเหมืองแร่กำมะถัน เดินทางกันเกือบห้าชั่วโมงนั่งรถจนขาแข็ง เราไปถึงที่พักก็เกือบทุ่มกว่า  ลืมบอกไปว่าที่อินโดจะมืดเร็วมาก  ห้าโมงก็มืดแล้วแต่จะเช้าเร็วทำให้เราไม่เคยไปทันถ่ายแสงเย็นเลยสักที่   ใครที่คิดจะไปต้องเช็คเวลาดีๆในการเดินทาง















ที่เหมืองอีเจี๊ยน  ต้องบอกว่าโหดสุดๆ ตื่นตีหนึ่งเพื่อนั่งรถไปยังหน้าอุทธยาน จ่ายค่าเข้าคนละ 150000 รูปี  แล้วเดินขึ้นเขาสูงชันประมาณ 3-4 กิโล จึงจะถึงปากปล่องภูเขาไฟ แล้วก็ไต่ลงไปยังก้นภูเขาไฟ   ทำไมต้องมาตีสอง ก็เพราะว่าเขาเปิดให้เดินขึ้นตีสอง ถึงห้าโมงเย็นเท่านั้น    เรามากลางคืนเพื่อมาดูบลูไฟ หรือไฟสีน้ำเงิน ซึ่งเกิดจากความร้อนใต้ผิวโลกเผากำมะถันจนเกิดเปลวไฟสีน้ำเงินนั่นเอง  มันจะติดไฟอยู่ตลอดเวลาแต่จะเห็นได้ก็กลางคืนมืดๆเท่านั้น   เช้ามาแสงหายไปเลยเพราะมองไม่เห็น  
เปลวไฟร้อนแรงมากได้ยินเสียงเหมือนใครเปิดเตาแก๊สอันใหญ่ๆทิ้งเอาไว้เลยมันร้อนและเหม็นกลิ่นกำมะถันมากๆทั้งควันที่พุ่งเข้ามาไม่หยุด   ถ่ายทีนึงต้องกลั้นลมหายใจ วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ตลอดเวลา









หลังจากนั้นเราก็ไปยังบูโรพุทโธ  ที่เมืองยอกย่า   เราโชคดีจองที่พักที่อุทธยานไว้ได้ทันจึงสะดวกสบายในการเดินไปถ่ายรูปมากเพราะอยู่ติดกัน  แถมค่าเข้าก็ไม่ต้องจ่าย ยังมีสิทธิ์พิเศษก็คือเราจะสามารถเดินออกประตูด้านหน้าได้เลย ซึ่งปกติไม่ได้พักที่นี่จะไม่ให้เดินออก ต้องอ้อมหลังไปไกล
ที่บูโรพุทโธ ตามประวัติชาวฮอลแลนด์มาสำรวจถ่ายรูปเอาไว้   ของเดิมชำรุดทรุดโทรมมากเสียหายจากแรงแผ่นดินไหว  

ที่เห็นว่าสวยคือก่อสร้างใหม่และบูรณะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  มีรูปถ่ายประกอบให้เราดูด้วย  











จบแล้วครับ  ขอบคุณที่ติดตามรับชม  ผมลงรูปเพื่อให้คนที่สนใจอยากไปได้เห็นตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ  เพื่อการเตรียมตัวและเลือกสถานที่ไปให้เหมาะสม
ซึ่งผมไม่ค่อยได้เตรียมไปขนาดนี้ เลยมีปัญหานิดหน่อยแต่ก็ลุยจนจบครบทริปกลับมาครับ


ลาไปก่อนครับ  เอาไว้คราวหน้าไปเที่ยวจะหาข้อมูลมาเพิ่มให้อีกครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่