อนลถลกข้อมือเสื้อของเขาเพื่อดูนาฬิกา
“ผมมีนัดตอนเที่ยง และไม่คิดจะพลาดนัดหมายครั้งนี้ซะด้วย”
“และฉันก็มีงานต้องทำ”
ฤดีเอ่ยขึ้นห้วนๆ
“เพราะงั้น ถ้าคุณ...”
อยู่ๆ อนลหัวเราะขึ้นมา ทำให้ฤดีหันขวับไปหา ดวงตาเธอลุกวาว
“มันน่าขันนักหรือไง คุณอนล กับการที่คนเรา ต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงตัวเองน่ะ”
“เปล่าเลย คุณฤดี ผมเพียงแต่สงสัยเท่านั้นว่า... เอ้อ... แต่งตัวแบบนี้... แล้วจะทำงานงานแบบไหน”“งานสุจริตไงล่ะยะ”
เธอย้อน
“งานแบบที่คนอย่างคุณไม่มีทางเข้าใจ ว่าทำไมต้องทำ!”
สายตาของอนลกวาดไปทั่วตัวหญิงสาวช้าๆ เส้นผมฤดีดูยุ่งเหยิงระใบหน้า เสื้อตัวนอกยังคงเปียกเป็นหย่อมๆ และส้นรองเท้าบู๊ตหักๆ ก็ยังคงทำให้การทรงตัวของเธอไม่มั่นคง
ถึงหญิงสาวจะดูพยศขนาดไหน แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอสวยบาดใจ
ชายหนุ่มยังจำได้รู้ดีว่า รู้สึกเช่นไรที่ได้โอบกอดเธอไว้ในวงแขน...
ขากรรไกรของเขาขบกันแน่น เวรจริงๆ อนลคิด ขณะหันไปหาทนายความชรา
“เธอพูดถูกนะ คุณวิโรจน์ คุณมีเวลาไม่มาก ไม่อย่างนั้น คงต้องพูดกับตัวของคุณเอง”
นายวิโรจน์ถอดแว่น วางลงบนโต๊ะ แล้วถูสันจมูกไปมา
“เอาละครับ คุณฤดี อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่า เรามาที่นี่ก็เพื่อดำเนินการกับพินัยกรรมและความประสงค์สุดท้ายของคุณลุงสฤษดิ์ผู้ล่วงลับไปแล้วของคุณ”
ทนายความชราหยุดไปครู่หนึ่ง
“สำหรับคุณอนล เขามาอยู่ที่นี่ ในฐานะตัวแทนบิดาผู้ล่วงลับไปของเขา เช่นกัน”
“ว้าว!!!.... อะไรมันจะขนาดนั้น...”
ฤดีกระแทกตัวนั่งลงอย่างหมดความอดทน ที่จะต่อล้อต่อเถียงต่อไป
“ทำไมเราถึงไม่ลงไปข้างล่าง แล้วชวนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วยล่ะ ฉันหมายความว่า ถ้าเราคิดจะจัดสังสรรค์... ก็เชิญญาติของเพื่อนของญาติเพื่อน อะไรต่อมิอะไรขึ้นมาซะเลยซีคะ”
“คุณควรต้องรับรู้ว่า คุณอนลเป็นตัวแทน ที่ยิ่งกว่าเหมาะสมซะอีกนะ ฤดี คุณอนลคนนี้ เขาเป็นที่ยอมรับอย่างดีในสังคม...”
“เชอะ!”
“และ เป็นนักกฎหมาย”
“เขาเป็นทนายความ เขาบอกหนูแล้ว คุณลุงอยากให้ปรบมือให้ด้วยไหมล่ะ”
“ฤดี...”
“เอางี้นะคะ หนูจะช่วยประหยัดเวลาให้เอง หนูรู้ว่าหนูมาที่นี่ทำไม”
ฤดีสูดลมหายใจ นึกสงสัยว่า ทำไมสิ่งที่กำลังจะพูดถึง เกิดทำให้รู้สึกตีบตันในลำคอขึ้นมากะทันหัน
“คุณ... คุณต้องการบอกว่า ลุงของหนู ไม่ได้ทิ้งมรดกอะไรไว้ให้เลย”
ดวงตาของวิโรจน์เบิกกว้าง
“อะไรนะ ... โอ... ไม่ใช่นะ ฤดี”
“แต่มันก็ดีแล้วละ หนูไม่ได้หวังอะไรอยู่แล้ว รู้ดีว่าเขารู้สึกยังไงกับหนู และ... และ...”
ฤดีกัดริมฝีปาก เกิดอะไรขึ้นกันนี่ เธอไม่ได้ต้องการอะไรจากนายสฤษดิ์ผู้เป็นลุงจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ หรือตายจากไปแล้วนี้ด้วยก็ตาม
แล้วทำไมเสียงของเธอ ถึงต้องสั่นระริกขนาดนี้
เธอมันโง่ที่เชื่อว่า ตัวเองจะเก่งกล้าสามารถ กับการกล้าเผชิญหน้าแบบตัวต่อตัว ที่กำลังเกิดขึ้นนี้
การมาที่นี่ ดั้นด้นมาตรงที่นี้ มีแต่จะเพิ่มความอับอาย
พอกันที!
“เอาละ”
ฤดีเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“มาทำให้มันจบๆ กันไปเสียที โอเค ดีไหมคะ อ่านสิ่งที่คุณลุงจะต้องอ่าน หรือจะให้หนูเซ็นชื่อรับทราบตรงไหน ก็เอามาเลย และจากนั้น...”
“ฤดี ช่วยใจเย็นๆ แล้วฟังก่อนนะ”
ใบหน้าของชายชราดูเข้มขึ้น เขาคงอยากระเบิดอารมณ์ดุเดือดออกมาบ้างแล้วเหมือนกัน
“ฤดี มันเป็นหน้าที่ของลุง ที่จะต้องบอกให้รู้ว่า หนูเป็นเพียงคนเดียว ที่ได้รับมรดก ทรัพย์สินทั้งหมดของคุณสฤษดิ์ วงศาสราญ”
คำพูดนั้นดูคล้ายสะท้อนก้องไปทั่วห้อง
เธอเป็นอะไรนะ...
ฤดีไม่เชื่อหูตัวเอง คิดพลางจ้องหน้าทนายความชรา
“ว่าไงนะคะ”
ฤดีพึมพำออกมา
“ทั้งหมดเป็นของหนู นางสาวฤดี วงศาสราญ”
ทนายวิโรจน์กล่าวด้วยรอยยิ้มจอมปลอมอีกครั้ง
“ทั้งบ้าน ทั้งหุ้น และพันธบัตร กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินต่างๆ หนูเพิ่งกลายเป็นสาวน้อยร้อยล้านนะ”
ฤดีผงะ แทบตกจากเก้าอี้ จนต้องใช้สองมือยึดโต๊ะตรงหน้าเพื่อช่วยพยุงตัว
“แต่... แต่มันเป็นไปไม่ได้”
เสียงเธอแผ่วเบาราวกระซิบ
“ลุงไม่เคยรักหนูเลย ไม่เคยชอบหน้าหนูด้วยซ้ำ เขาคิดว่า... คิดว่าหนูเป็นพวก...”
“จะว่าไปแล้ว...”
ทนายความเอ่ยขึ้นอีก เขายังคงยิ้ม แต่น้ำเสียงเริ่มเจือไปด้วยความไม่ชอบใจ
“ไม่ว่าอย่างไร หนูก็เป็นทายาทโดยตรงคนสุดท้าย ของสายเลือดวงศาสราญ คุณลุงของหนูคงไม่อาจตัดใจยกทรัพย์สมบัติ ที่ตระกูลวงศาสราญเพียรสะสมมา ให้แก่คนแปลกหน้าได้หรอก จริงไหมล่ะ”
“ใจกว้างจนวินาทีสุดท้ายเลยนะคะนั่น”
ฤดีจบคำด้วยเสียงหัวเราะเย้ยหยัน ก่อนจะสูดลมหายใจลึก และมองชายชราอีกครั้ง
“หนูก็ยังไม่อยากเชื่ออยู่ดี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ”
“ไม่มีอะไรผิดพลาดหรอก ฤดี”
เขาเลียริมฝีปาก
“แต่มันมีเงื่อนไข...”
เสียงหัวเราะดังลั่นของอนลทะลุขึ้นกลางปล้อง ทำให้ฤดีหันไปมองหน้า
“โทษที”
เขาออกตัว แต่เธอบอกได้เลยว่า เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจกับการไร้มรรยาทนั่นเลยสักนิด
“พูดต่อไปเถอะ คุณวิโรจน์ บอกให้ละเอียดเลยนะ”
ทนายความชรากระแอมไล่เสียง ก่อนจะพูดต่อไปว่า
“มันไม่ใช่เงื่อนไขที่ประหลาดพิสดารอะไรหรอกนะฤดี พินัยกรรมส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินจำนวนมากขนาดนี้ ย่อมต้องมีข้อกำหนดที่คล้ายๆ แบบนี้ และ...”
มีบางอย่างเย็นยะเยือก เหมือนจะปั่นป่วนอยู่ภายในช่องท้องของเธอ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่กำลังจะเกิดขึ้น เธอต้องไม่ชอบมันแน่ๆ
“ข้อกำหนดอะไรคะ”
ทนายความหยิบแว่นขึ้นมา ค่อยๆ สวมมัน แล้วจึงมองหน้าหญิงสาว
“คุณอนล เลิศไตรภพ จะต้องเป็นผู้ปกครองของหนู”
ที่ไหนสักแห่งภายในห้องทำงานส่วนตัวของทนายความชรา มีเสียงผู้หญิงหัวเราะดังลั่น ฤดีต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะตระหนักได้ว่า ที่แท้เสียงหัวเราะนั้น ดังมาจากลำคอของเธอเอง
เรื่องตลกแน่ๆ เธอคิด พลางจ้องมองไปที่ทนายของคุณลุงด้วยสายตาว่างเปล่า
มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เป็นแค่ตลกร้ายเรื่องหนึ่งเท่านั้น
“พวกคุณมี... มีมุกตลกที่ฝืดมากเลยนะคะ คุณลุงทนาย เรื่องทั้งหมดนี้ คุณลุงกุขึ้นมาเพื่อล้อเล่นเท่านั้นใช่ไหมคะ”
“ฤดี ลุงยืนยันกับหนูได้ว่า...”
“เอาละ ให้หนูบอกอะไรอีกสักอย่างนะคะ”
เก้าอี้ของฤดีกระดอนไปข้างหลัง ตอนที่เธอผุดลุกขึ้นยืน
“หนูไม่คิดว่า มันจะตลกเลยสักนิด”
“เชื่อลุงเถอะ”
ชายชราเอ่ยเสียงเครียด
“ลุงก็ไม่เห็นว่าเรื่องนี้ มันน่าตลกที่ตรงไหนเหมือนกัน”
“ถ้างั้น... อะไร...”
“สิ่งที่ลุงบอกหนูเป็นความจริง ฤดี คุณลุงของหนู ยกทุกสิ่งทุกอย่างให้หนูจริงๆ”
“แล้ว... แล้วไอ้เงื่อนไขบ้าๆ นั่นล่ะคะ เรื่องที่... ที่...ผู้ชายคนนี้ต้องเป็นผู้ปกครอง...”
ฤดีกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ
“มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ ทำไมถึง.... หนูหมายความว่า จะเป็นไปได้ยังไง...”
“ให้ตายสิ”
เธอหันไปมองตามเสียงสบถ เมื่ออนลเดินเข้ามาหา
ดวงตาของเขาราบเรียบและเย็นชา ริมฝีปากเม้มเครียด เขาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ เรือนร่างอันทรงพลังของเขา บดบังทุกสิ่งทุกอย่าง
“ผมจะแปลให้ฟังชัดๆ ก็แล้วกันนะ คุณฤดี วงศาสราญ คุณลุงของคุณกลัวว่า คุณผลาญเงินของเขาจนเกลี้ยงน่ะสิ ถูกต้องไหม คุณวิโรจน์”
“ก็... คล้ายจะใช่อย่างนั้นครับ เขาเป็นห่วงว่าหลานสาว ซึ่งก็คือฤดี ยังขาดวุฒิภาวะที่จะ...”
“เขาจึงตัดสินใจ ในการจะวางมาตรการป้องกันทรัพย์สมบัติของเขา”
รอยยิ้มเยือกเย็น และแสดงชัดถึงความสะใจ ปรากฏอยู่บนริมฝีปากของอนล
“...และนั่นทำให้ผมต้องมามีเอี่ยวอยู่ด้วยนี่ไงล่ะ”
“คุณเนี่ยนะ”
ฤดีพยายามควบคุมตัวเอง ไม่ให้ตะกุยใบหน้ายียวนด้วยกรงเล็บของตน
“เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่รู้จักคุณด้วยซ้ำ แล้วฉันก็ไม่ใช่เด็กๆ คุณพูดเองว่า คุณคิดว่า ฉันเป็นเด็กอายุสิบสอง แต่...”
“ช่างหัวมันเถอะ ว่าผมจะคิดอะไร”
ดวงตาของอนลเป็นประกายจัดจ้า
“คุณเพิ่งกลายมาเป็นเด็กในปกครองของผม และจะเป็นไปจนกว่าจะถึงวันเกิดครบอายุยี่สิบเอ็ด”
ฤดีจ้องมองใบหน้าแข็งกระด้างของอนล คุณพระ! เธอคิด เขาไม่ได้ล้อเล่นเลยสักนิด
โทสะแล่นพล่านไปทั่ว เธอผลักไสความตกใจ ให้หายวับไปในทันที
“ถ้ายอมก็บ้าแล้ว!”
ฤดีเอ่ยลอดไรฟัน ดวงตาลุกวาว ขณะที่หันไปหาผู้เป็นทนายความ
“ไม่มีทางหรอกค่ะ คุณลุง หนูไม่ใช่ผู้เยาว์ แล้วก็ไม่ใช่คนสติไม่สมประกอบด้วย หนูจะไม่ยอมถูกบังคับแบบนั้น ไม่มีกฎหมายที่กำหนดว่า...”
“เรากำลังคุยกันถึงข้อกำหนดในพินัยกรรมนะฤดี คุณลุงของคุณมีสิทธิ์ ที่จะตั้งข้อกำหนดใดๆ ก็ได้ที่เขาเห็นควร สำหรับมรดกที่หนูจะได้รับ ก็เป็นเงินของเขา”
“แต่มันเป็นชีวิตของหนูนะคะ หรือพวกคุณ... จะลืมคิดถึงเรื่องนี้”
นายวิโรจน์พยายามยิ้มให้เธออย่างรอมชอม
“คุณอนลจะเพียงให้คำชี้แนะ...”
“คำชี้แนะ จากเขาเนี่ยนะ อีกหน่อยหนูคงต้องขอคำชี้แนะจาก... จากไอ้พวกหัวงูอสรพิษแน่ๆ”
“ฤดี ได้โปรดเถอะ นี่ก็เพื่อผลประโยชน์ของตัวหนูเอง คุณลุงของหนูหวังว่าวุฒิภาวะจะเกิดขึ้นจากสติปัญญา และ...”
“สติปัญญางั้นหรือคะ”
เธอหัวเราะเสียงต่ำ
“หนูจะเกิดมีสติปัญญา ขึ้นมาภายในสามเดือนนี่เลยหรือไง เพราะว่าถึงตอนนั้นหนูจะอายุครบยี่สิบเอ็ดแล้วค่ะ คุณลุงคะ มันแค่อีกเพียงสามเดือนเท่านั้น”
“นั่นสิ สามเดือน ก็เป็นเวลาที่สั้นมากเลย”
(มีต่อ)
มรดก(ร้าย)รัก บทที่ 6
มรดก(ร้าย)รัก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่าน มรดก(ร้าย)รัก นะครับ
ขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับ ถูกใจ จากคุณ PuPaKae , คุณ Su_jeong, คุณ มาโซคิส , คุณ Inverness และคุณป้าทุยบ้านทุ่ง
ขอบคุณทุกความคิดเห็น ขอบคุณทุกคำทักทาย ทั้งในบทที่ผ่านๆ มา หรือในบทนี้ และในบทต่อๆ ไป
*****************************************************
มรดก(ร้าย)รัก
บทที่ 6
อนลถลกข้อมือเสื้อของเขาเพื่อดูนาฬิกา
“ผมมีนัดตอนเที่ยง และไม่คิดจะพลาดนัดหมายครั้งนี้ซะด้วย”
“และฉันก็มีงานต้องทำ”
ฤดีเอ่ยขึ้นห้วนๆ
“เพราะงั้น ถ้าคุณ...”
อยู่ๆ อนลหัวเราะขึ้นมา ทำให้ฤดีหันขวับไปหา ดวงตาเธอลุกวาว
“มันน่าขันนักหรือไง คุณอนล กับการที่คนเรา ต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงตัวเองน่ะ”
“เปล่าเลย คุณฤดี ผมเพียงแต่สงสัยเท่านั้นว่า... เอ้อ... แต่งตัวแบบนี้... แล้วจะทำงานงานแบบไหน”“งานสุจริตไงล่ะยะ”
เธอย้อน
“งานแบบที่คนอย่างคุณไม่มีทางเข้าใจ ว่าทำไมต้องทำ!”
สายตาของอนลกวาดไปทั่วตัวหญิงสาวช้าๆ เส้นผมฤดีดูยุ่งเหยิงระใบหน้า เสื้อตัวนอกยังคงเปียกเป็นหย่อมๆ และส้นรองเท้าบู๊ตหักๆ ก็ยังคงทำให้การทรงตัวของเธอไม่มั่นคง
ถึงหญิงสาวจะดูพยศขนาดไหน แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอสวยบาดใจ
ชายหนุ่มยังจำได้รู้ดีว่า รู้สึกเช่นไรที่ได้โอบกอดเธอไว้ในวงแขน...
ขากรรไกรของเขาขบกันแน่น เวรจริงๆ อนลคิด ขณะหันไปหาทนายความชรา
“เธอพูดถูกนะ คุณวิโรจน์ คุณมีเวลาไม่มาก ไม่อย่างนั้น คงต้องพูดกับตัวของคุณเอง”
นายวิโรจน์ถอดแว่น วางลงบนโต๊ะ แล้วถูสันจมูกไปมา
“เอาละครับ คุณฤดี อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่า เรามาที่นี่ก็เพื่อดำเนินการกับพินัยกรรมและความประสงค์สุดท้ายของคุณลุงสฤษดิ์ผู้ล่วงลับไปแล้วของคุณ”
ทนายความชราหยุดไปครู่หนึ่ง
“สำหรับคุณอนล เขามาอยู่ที่นี่ ในฐานะตัวแทนบิดาผู้ล่วงลับไปของเขา เช่นกัน”
“ว้าว!!!.... อะไรมันจะขนาดนั้น...”
ฤดีกระแทกตัวนั่งลงอย่างหมดความอดทน ที่จะต่อล้อต่อเถียงต่อไป
“ทำไมเราถึงไม่ลงไปข้างล่าง แล้วชวนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วยล่ะ ฉันหมายความว่า ถ้าเราคิดจะจัดสังสรรค์... ก็เชิญญาติของเพื่อนของญาติเพื่อน อะไรต่อมิอะไรขึ้นมาซะเลยซีคะ”
“คุณควรต้องรับรู้ว่า คุณอนลเป็นตัวแทน ที่ยิ่งกว่าเหมาะสมซะอีกนะ ฤดี คุณอนลคนนี้ เขาเป็นที่ยอมรับอย่างดีในสังคม...”
“เชอะ!”
“และ เป็นนักกฎหมาย”
“เขาเป็นทนายความ เขาบอกหนูแล้ว คุณลุงอยากให้ปรบมือให้ด้วยไหมล่ะ”
“ฤดี...”
“เอางี้นะคะ หนูจะช่วยประหยัดเวลาให้เอง หนูรู้ว่าหนูมาที่นี่ทำไม”
ฤดีสูดลมหายใจ นึกสงสัยว่า ทำไมสิ่งที่กำลังจะพูดถึง เกิดทำให้รู้สึกตีบตันในลำคอขึ้นมากะทันหัน
“คุณ... คุณต้องการบอกว่า ลุงของหนู ไม่ได้ทิ้งมรดกอะไรไว้ให้เลย”
ดวงตาของวิโรจน์เบิกกว้าง
“อะไรนะ ... โอ... ไม่ใช่นะ ฤดี”
“แต่มันก็ดีแล้วละ หนูไม่ได้หวังอะไรอยู่แล้ว รู้ดีว่าเขารู้สึกยังไงกับหนู และ... และ...”
ฤดีกัดริมฝีปาก เกิดอะไรขึ้นกันนี่ เธอไม่ได้ต้องการอะไรจากนายสฤษดิ์ผู้เป็นลุงจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ หรือตายจากไปแล้วนี้ด้วยก็ตาม
แล้วทำไมเสียงของเธอ ถึงต้องสั่นระริกขนาดนี้
เธอมันโง่ที่เชื่อว่า ตัวเองจะเก่งกล้าสามารถ กับการกล้าเผชิญหน้าแบบตัวต่อตัว ที่กำลังเกิดขึ้นนี้
การมาที่นี่ ดั้นด้นมาตรงที่นี้ มีแต่จะเพิ่มความอับอาย
พอกันที!
“เอาละ”
ฤดีเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“มาทำให้มันจบๆ กันไปเสียที โอเค ดีไหมคะ อ่านสิ่งที่คุณลุงจะต้องอ่าน หรือจะให้หนูเซ็นชื่อรับทราบตรงไหน ก็เอามาเลย และจากนั้น...”
“ฤดี ช่วยใจเย็นๆ แล้วฟังก่อนนะ”
ใบหน้าของชายชราดูเข้มขึ้น เขาคงอยากระเบิดอารมณ์ดุเดือดออกมาบ้างแล้วเหมือนกัน
“ฤดี มันเป็นหน้าที่ของลุง ที่จะต้องบอกให้รู้ว่า หนูเป็นเพียงคนเดียว ที่ได้รับมรดก ทรัพย์สินทั้งหมดของคุณสฤษดิ์ วงศาสราญ”
คำพูดนั้นดูคล้ายสะท้อนก้องไปทั่วห้อง
เธอเป็นอะไรนะ...
ฤดีไม่เชื่อหูตัวเอง คิดพลางจ้องหน้าทนายความชรา
“ว่าไงนะคะ”
ฤดีพึมพำออกมา
“ทั้งหมดเป็นของหนู นางสาวฤดี วงศาสราญ”
ทนายวิโรจน์กล่าวด้วยรอยยิ้มจอมปลอมอีกครั้ง
“ทั้งบ้าน ทั้งหุ้น และพันธบัตร กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินต่างๆ หนูเพิ่งกลายเป็นสาวน้อยร้อยล้านนะ”
ฤดีผงะ แทบตกจากเก้าอี้ จนต้องใช้สองมือยึดโต๊ะตรงหน้าเพื่อช่วยพยุงตัว
“แต่... แต่มันเป็นไปไม่ได้”
เสียงเธอแผ่วเบาราวกระซิบ
“ลุงไม่เคยรักหนูเลย ไม่เคยชอบหน้าหนูด้วยซ้ำ เขาคิดว่า... คิดว่าหนูเป็นพวก...”
“จะว่าไปแล้ว...”
ทนายความเอ่ยขึ้นอีก เขายังคงยิ้ม แต่น้ำเสียงเริ่มเจือไปด้วยความไม่ชอบใจ
“ไม่ว่าอย่างไร หนูก็เป็นทายาทโดยตรงคนสุดท้าย ของสายเลือดวงศาสราญ คุณลุงของหนูคงไม่อาจตัดใจยกทรัพย์สมบัติ ที่ตระกูลวงศาสราญเพียรสะสมมา ให้แก่คนแปลกหน้าได้หรอก จริงไหมล่ะ”
“ใจกว้างจนวินาทีสุดท้ายเลยนะคะนั่น”
ฤดีจบคำด้วยเสียงหัวเราะเย้ยหยัน ก่อนจะสูดลมหายใจลึก และมองชายชราอีกครั้ง
“หนูก็ยังไม่อยากเชื่ออยู่ดี มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ”
“ไม่มีอะไรผิดพลาดหรอก ฤดี”
เขาเลียริมฝีปาก
“แต่มันมีเงื่อนไข...”
เสียงหัวเราะดังลั่นของอนลทะลุขึ้นกลางปล้อง ทำให้ฤดีหันไปมองหน้า
“โทษที”
เขาออกตัว แต่เธอบอกได้เลยว่า เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจกับการไร้มรรยาทนั่นเลยสักนิด
“พูดต่อไปเถอะ คุณวิโรจน์ บอกให้ละเอียดเลยนะ”
ทนายความชรากระแอมไล่เสียง ก่อนจะพูดต่อไปว่า
“มันไม่ใช่เงื่อนไขที่ประหลาดพิสดารอะไรหรอกนะฤดี พินัยกรรมส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินจำนวนมากขนาดนี้ ย่อมต้องมีข้อกำหนดที่คล้ายๆ แบบนี้ และ...”
มีบางอย่างเย็นยะเยือก เหมือนจะปั่นป่วนอยู่ภายในช่องท้องของเธอ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่กำลังจะเกิดขึ้น เธอต้องไม่ชอบมันแน่ๆ
“ข้อกำหนดอะไรคะ”
ทนายความหยิบแว่นขึ้นมา ค่อยๆ สวมมัน แล้วจึงมองหน้าหญิงสาว
“คุณอนล เลิศไตรภพ จะต้องเป็นผู้ปกครองของหนู”
ที่ไหนสักแห่งภายในห้องทำงานส่วนตัวของทนายความชรา มีเสียงผู้หญิงหัวเราะดังลั่น ฤดีต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะตระหนักได้ว่า ที่แท้เสียงหัวเราะนั้น ดังมาจากลำคอของเธอเอง
เรื่องตลกแน่ๆ เธอคิด พลางจ้องมองไปที่ทนายของคุณลุงด้วยสายตาว่างเปล่า
มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เป็นแค่ตลกร้ายเรื่องหนึ่งเท่านั้น
“พวกคุณมี... มีมุกตลกที่ฝืดมากเลยนะคะ คุณลุงทนาย เรื่องทั้งหมดนี้ คุณลุงกุขึ้นมาเพื่อล้อเล่นเท่านั้นใช่ไหมคะ”
“ฤดี ลุงยืนยันกับหนูได้ว่า...”
“เอาละ ให้หนูบอกอะไรอีกสักอย่างนะคะ”
เก้าอี้ของฤดีกระดอนไปข้างหลัง ตอนที่เธอผุดลุกขึ้นยืน
“หนูไม่คิดว่า มันจะตลกเลยสักนิด”
“เชื่อลุงเถอะ”
ชายชราเอ่ยเสียงเครียด
“ลุงก็ไม่เห็นว่าเรื่องนี้ มันน่าตลกที่ตรงไหนเหมือนกัน”
“ถ้างั้น... อะไร...”
“สิ่งที่ลุงบอกหนูเป็นความจริง ฤดี คุณลุงของหนู ยกทุกสิ่งทุกอย่างให้หนูจริงๆ”
“แล้ว... แล้วไอ้เงื่อนไขบ้าๆ นั่นล่ะคะ เรื่องที่... ที่...ผู้ชายคนนี้ต้องเป็นผู้ปกครอง...”
ฤดีกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ
“มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ ทำไมถึง.... หนูหมายความว่า จะเป็นไปได้ยังไง...”
“ให้ตายสิ”
เธอหันไปมองตามเสียงสบถ เมื่ออนลเดินเข้ามาหา
ดวงตาของเขาราบเรียบและเย็นชา ริมฝีปากเม้มเครียด เขาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ เรือนร่างอันทรงพลังของเขา บดบังทุกสิ่งทุกอย่าง
“ผมจะแปลให้ฟังชัดๆ ก็แล้วกันนะ คุณฤดี วงศาสราญ คุณลุงของคุณกลัวว่า คุณผลาญเงินของเขาจนเกลี้ยงน่ะสิ ถูกต้องไหม คุณวิโรจน์”
“ก็... คล้ายจะใช่อย่างนั้นครับ เขาเป็นห่วงว่าหลานสาว ซึ่งก็คือฤดี ยังขาดวุฒิภาวะที่จะ...”
“เขาจึงตัดสินใจ ในการจะวางมาตรการป้องกันทรัพย์สมบัติของเขา”
รอยยิ้มเยือกเย็น และแสดงชัดถึงความสะใจ ปรากฏอยู่บนริมฝีปากของอนล
“...และนั่นทำให้ผมต้องมามีเอี่ยวอยู่ด้วยนี่ไงล่ะ”
“คุณเนี่ยนะ”
ฤดีพยายามควบคุมตัวเอง ไม่ให้ตะกุยใบหน้ายียวนด้วยกรงเล็บของตน
“เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่รู้จักคุณด้วยซ้ำ แล้วฉันก็ไม่ใช่เด็กๆ คุณพูดเองว่า คุณคิดว่า ฉันเป็นเด็กอายุสิบสอง แต่...”
“ช่างหัวมันเถอะ ว่าผมจะคิดอะไร”
ดวงตาของอนลเป็นประกายจัดจ้า
“คุณเพิ่งกลายมาเป็นเด็กในปกครองของผม และจะเป็นไปจนกว่าจะถึงวันเกิดครบอายุยี่สิบเอ็ด”
ฤดีจ้องมองใบหน้าแข็งกระด้างของอนล คุณพระ! เธอคิด เขาไม่ได้ล้อเล่นเลยสักนิด
โทสะแล่นพล่านไปทั่ว เธอผลักไสความตกใจ ให้หายวับไปในทันที
“ถ้ายอมก็บ้าแล้ว!”
ฤดีเอ่ยลอดไรฟัน ดวงตาลุกวาว ขณะที่หันไปหาผู้เป็นทนายความ
“ไม่มีทางหรอกค่ะ คุณลุง หนูไม่ใช่ผู้เยาว์ แล้วก็ไม่ใช่คนสติไม่สมประกอบด้วย หนูจะไม่ยอมถูกบังคับแบบนั้น ไม่มีกฎหมายที่กำหนดว่า...”
“เรากำลังคุยกันถึงข้อกำหนดในพินัยกรรมนะฤดี คุณลุงของคุณมีสิทธิ์ ที่จะตั้งข้อกำหนดใดๆ ก็ได้ที่เขาเห็นควร สำหรับมรดกที่หนูจะได้รับ ก็เป็นเงินของเขา”
“แต่มันเป็นชีวิตของหนูนะคะ หรือพวกคุณ... จะลืมคิดถึงเรื่องนี้”
นายวิโรจน์พยายามยิ้มให้เธออย่างรอมชอม
“คุณอนลจะเพียงให้คำชี้แนะ...”
“คำชี้แนะ จากเขาเนี่ยนะ อีกหน่อยหนูคงต้องขอคำชี้แนะจาก... จากไอ้พวกหัวงูอสรพิษแน่ๆ”
“ฤดี ได้โปรดเถอะ นี่ก็เพื่อผลประโยชน์ของตัวหนูเอง คุณลุงของหนูหวังว่าวุฒิภาวะจะเกิดขึ้นจากสติปัญญา และ...”
“สติปัญญางั้นหรือคะ”
เธอหัวเราะเสียงต่ำ
“หนูจะเกิดมีสติปัญญา ขึ้นมาภายในสามเดือนนี่เลยหรือไง เพราะว่าถึงตอนนั้นหนูจะอายุครบยี่สิบเอ็ดแล้วค่ะ คุณลุงคะ มันแค่อีกเพียงสามเดือนเท่านั้น”
“นั่นสิ สามเดือน ก็เป็นเวลาที่สั้นมากเลย”