My Spy ฉันขอหัวใจของนายนะ บทที่ 11

กระทู้สนทนา
บทที่ 10

http://pantip.com/topic/32135107

บทที่ 11
นับเป็นเรื่องโชคดีสำหรับเอเลน เพราะวันนี้ร้านกาแฟของเขามีลูกค้าเข้ามาจนแน่น  ทำให้มิคาสะวุ่นอยู่กับการชงกาแฟ หยิบขนม คิดเงินตลอดทั้งวันจนลืมเรื่องที่เขานอนค้างกับรีไวไปสนิท

ตัวเอเลนเองก็วิ่งบริการลูกค้าจนหัวปั่น ไหนจะต้องคอยหยิบของกินใส่ถุงสำหรับผู้ที่ต้องการนำกลับไปทานที่บ้าน พอถึงเวลาหกโมงเย็นจำนวนของลูกค้าจึงซาลง ทำให้ทั้งสองมีโอกาสหายใจหายคอกันได้บ้าง

“เหนื่อยเป็นบ้าเลย” เอเลนบ่นพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ภายในร้าน มิคาสะซึ่งกำลังล้างเครื่องชงกาแฟจึงเอ่ยเตือน

“ทำความสะอาดไปด้วยสิเอเลน”

“ผมขอพักก่อน” เด็กหนุ่มอ้อนวอนแต่ต้องลุกพรวดเมื่อมิคาสะแกล้งกระแทกหัวชงดังปัง! เขารีบคว้าไม้ถูมาทำความสะอาดพื้นทันที

“ใจร้ายจัง ขอพักหน่อยก็ไม่ได้”

เอเลนบ่นอุบและหุบปากเงียบเมื่อหญิงสาวเคาะอะไรสักอย่างดัง บึ้ก!

“ถ้าเกิดมีลูกค้าเข้ามาในร้านตอนนายนั่งพักล่ะ” เธอถาม เอเลนยักไหล่และตอบโดยไม่มองหน้า

“ผมก็เข้าไปบริการเขาเหมือนเคยแหละครับ”

“โดยมีเศษของขนมกระจายเต็มพื้นไปหมดน่ะเหรอ” หญิงสาวย้อนเสียงห้วน “ลองสมมติดูว่าถ้าเป็นตัวเธอเองจะทำยัง ถ้าเข้าไปในร้านอาหารที่สกปรกแบบนี้”

เอเลนเงียบ เถียงไม่ออก เขาเหลือบตามองมิคาสะที่กำลังยืนเท้าสะเอวอยู่ในเคาท์เตอร์แวบหนึ่งก่อนพูดพอให้ได้ยิน

“ขอโทษครับ”

“สำนึกได้ก็ดี” หญิงสาวพูด “เช็ดหน้าร้านเสร็จแล้วอย่าลืมไปล้างถ้วยในครัว”

“ครับ”

เอเลนรับคำเสียงอ่อยและก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดร้านตามสั่ง แต่ทำไปได้แค่ครึ่งเดียวก็หยุดเพราะมีลูกค้าเข้ามาในร้าน เด็กหนุ่มรีบนำไม้ถูพื้นกับถังน้ำไปวางไว้ด้านในและล้างมือจนสะอาดก่อนออกมารับออร์เดอร์ โต๊ะแรกเป็นชายหญิงซึ่งน่าจะเป็นคู่รัก ส่วนโต๊ะที่สองเหมือนนักธุรกิจที่มาทำธุระแถวนั้น พอนำรายการชุดแรกไปส่งให้มิคาสะ เด็กหนุ่มจึงเดินไปลูกค้าคนสุดท้ายที่นั่งอยู่โต๊ะด้านในสุด

“รับอะไรดีครับ” เขาถามอย่างสุภาพ และขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นลูกค้าคนนี้สวมเสื้อผ้าค่อนข้างมิดชิด แถมสวมฮู้ดปิดหน้าของตัวเองเอาไว้ด้วย

“คาปูชิโน่”

เสียงตอบเบาจนแทบไม่ได้ยิน พอจดเรียบร้อยแล้วเอเลนจึงถามต่อตามประสาพนักงานที่ดี

“รับขนมเพิ่มไหมครับ”

อีกฝ่ายส่ายหน้า เด็กหนุ่มจึงเดินไปส่งรายการเครื่องดื่มให้มิคาสะ และรอจนนำขนมและเครื่องดื่มไปเสิร์ฟให้ลูกค้าจนครบ จึงหยิบผ้ามาทำความสะอาดโต๊ะที่เหลือ

ต่อจากนั้นไปจนกระทั่งถึงสามทุ่ม ก็มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาตลอดเวลา แต่ไม่ได้แน่นเหมือนตอนกลางวัน และกลุ่มสุดท้ายที่เปิดประตูร้านก็คือทีมของเอลวิน

“สวัสดีครับ” เอเลนเอ่ยทักเสียงใส ตามองไล่ไปทีละคนและยิ้มกว้างขึ้นเมื่อเห็นคนสุดท้ายก้าวเข้ามา “สวัสดีครับคุณรีไว”

“เออ” อีกฝ่ายตอบสั้นๆพร้อมกับหย่อนตัวนั่งและเอ่ยปากสั่งทันที “ขอกาแฟแก้วสิไอ้หนู”

“ได้ครับ” เอเลนรับคำอย่างร่าเริงโดยไม่ลืมรับรายการที่เหลือจากเอลวินและทีม พอเด็กหนุ่มเดินไปที่เคาท์เตอร์ แจนก็ยื่นหน้าเข้าไปหารีไว

“เจ้าหนูนั่นรู้หรือว่านายกินอะไร”

อีกฝ่ายมองด้วยหางตา

“รู้สิ กาแฟไง”

“กาแฟมันมีตั้งหลายอย่าง และฉันก็ไม่เคยได้ยินนายบอกเลยว่าชอบแบบไหน”

รีไวเบือนหน้าหนีเหมือนไม่อยากตอบคำถาม ฮันซี่จึงเป็นคนพูดแทน

“คนรู้ใจไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากหรอก”

“หมายความว่ายังไง” แจนตีหน้าเซ่อ ฮันซี่หัวเราะคิกคัก

“แหม อะไรกัน นี่นายยังไม่รู้อีกเหรอเนี่ย” เธอลดเสียงลงและทำเป็นกระซิบกระซาบ “รีไวเขาหลงรักเอเลน”

“เฮ้ยยย!!!” แจนร้องลั่น และรีบตะครุบปากเมื่อคนที่กำลังพูดถึงหันมามองตาวาว เขาแกล้งทำเป็นมองซ้ายมองขวาและก้มลงไปพูดกับฮันซี่เบาๆ

“แล้วเอเลนรู้หรือเปล่า”

“พูดยากนะ แต่พักหลังฉันเห็นเจ้าหนูนั่นทำท่าดีอกดีใจเวลารีไวมาด้วย” ฮันซี่ตอบและคงร่ายอีกยาวถ้ารีไวไม่ขัดขึ้นมา

“จะพูดเรื่องนี้กันอีกนานไหม”

“แหม เขินเป็นด้วย” เอฟบีไอหญิงกระเซ้า รีไวนิ่วหน้าก่อนพูดห้วนๆ

“ไม่ได้เขิน แต่รำคาญ” ชายหนุ่มหยุดพูดทันทีเมื่อเอเลนนำกาแฟมาวางให้กับทุกคน โดยของเขาเป็นถ้วยสุดท้าย

“เข้มแบบที่คุณรีไวชอบครับ” เด็กหนุ่มบอกและยืนยิ้มแป้นในแบบที่ทำให้คนเห็นใจเต้น

“ขอบใจ”

รีไวพูดสั้นๆพร้อมกับเลื่อนมือไปหยิบแต่พอเห็นว่าทุกคนพร้อมใจกันมองตรงมาที่เขา เอฟบีไอหนุ่มจึงชักมือกลับพร้อมกับพูดอย่างเป็นงานเป็นการ

“เรื่องคดีว่ายังไง”

“คดีไหนล่ะ” เอลวินแกล้งถาม รีไวมุ่นคิ้ว

“ก็เจ้ากุ๊ยสามตัวที่ฉันให้ลากคอเข้าตารางไปเมื่อคืน”

คำพูดของเขาทำให้เอเลนหูผึ่ง

“คุณจับสามคนนั่นไปแล้วเหรอครับ”

“ใช่”

“ตอนไหนครับ ทำไมผมไม่รู้”

รีไวขยับจะตอบแต่ช้ากว่าฮันซี่ที่ยื่นหน้าไปพูด

“เมื่อคืน พอหมอนี่เหยียบเจ้าสามตัวนั่นจนม้ามแลบแล้วก็โทร.เรียกตำรวจให้มาลากคอพวกมันไป เธอโชคดีมากนะเอเลนที่มีบอดี้การ์ดประจำตัวเก่งแบบนี้ ต่อไปใครกล้ามาแหยม โทร.เรียกหมอนี่ไปอัดมันได้เลย”

“พูดมากน่า” รีไวขัดด้วยความรำคาญก่อนหันกลับไปทางเด็กหนุ่ม “ถึงจะจับสามคนนั่นได้ นายก็ยังไม่ควรออกไปไหนตามลำพัง”

“บ้านคุณก็ไม่ได้หรือครับ” เอเลนพาซื่อถาม เสียงหัวเราะคิกคักจากคนข้างหลังทำให้รีไวต้องพยายามนับหนึ่งถึงสิบเพื่อไม่ให้ตัวเองลุกขึ้นไปเหยียบปากเพื่อน

“ไม่ได้!”

“ใจร้ายจัง” เสียงฮันซี่เปรยเบาๆและทำเป็นดื่มกาแฟอย่างไม่รู้ไม่ชี้ รีไวชำเลืองมองเธอด้วยหางตาแต่ไม่ได้พูดตอบโต้อะไร เพราะยังคงสนใจอยู่กับเอเลน

“ถึงจะจับสามคนนั่นไป นายยังต้องระวังตัว” เขาหันไปพูดกับเด็กหนุ่มอย่างเป็นงานเป็นการ อีกฝ่ายขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“ทำไมล่ะครับ ในเมื่อคุณจับโจรสามคนนั่นไปได้ ผมก็น่าจะปลอดภัยแล้วไม่ใช่เหรอ”

คราวนี้รีไวถึงกับถอนใจกับความอ่อนต่อโลกของเอเลน

“โลกนี้ไม่ได้มีโจรแค่สามคน ถึงจับพวกนี้ไปก็ยังมีคนอื่นอยู่อีก” เขามองหน้าเด็กหนุ่ม “เข้าใจที่ฉันพูดหรือเปล่า”

เอเลนมีท่าทางลังเล

“ครับ”

“ดี” รีไวหลุดปากอย่างโล่งใจก่อนหันไปหยิบกาแฟขึ้นมาดื่ม เสียงฮันซี่พูดพอให้ได้ยิน

“เชื่อฟังแบบนี้ต้องเป็นศรีภรรยาที่ดีแน่”

ชายหนุ่มสำลักกาแฟพรวดออกมาทันที

“ยัยฮันซี่!”

*/*/*/*/*

นับเป็นปรากฏการณ์ประหลาดอีกเรื่อง ที่วันนี้เอลวินสั่งให้ลูกน้องทุกคนออกจากร้านของมิคาสะเร็วกว่าทุกครั้ง ทั้งที่โดยปรกติแล้วทั้งหมดมักจะนั่งพูดคุยกันจนเลยเวลาเสมอ

พอเอ่ยปากบอกให้แยกย้ายกันกลับบ้าน ทุกคนต่างลุกขึ้นพร้อมกัน ยกเว้นรีไวที่ยังคงนั่งนิ่งจนเอลวินต้องบีบไหล่เป็นการเตือน

“กลับได้แล้วรีไว”

“แต่ฉันยัง...”ชายหนุ่มจะแย้งแต่ต้องหยุดเมื่อเห็นสายตาเชิงปรามจากคนเป็นหัวหน้า “ก็ได้”

เขาเหลือบมองเอเลนด้วยหางตาและพบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องตรงมาเช่นเดียวกัน เขาจึงแตะแขนเสื้อเอลวินเหมือนบอกว่าให้รอเดี๋ยวก่อนเดินไปหาคนที่อยู่ด้านใน

“อย่าออกไปไหนเป็นอันขาด”

ถึงไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วง เอเลนจึงพยักหน้ารับ

“ครับ”

“ดี”

พูดแค่นั้นก็หมุนตัวเดินจากมาแต่พอออกจากประตูเขาก็หยุดและหันกลับไปมองด้วยความกังวล เอลวินจึงพลอยชะงักตาม

“มีอะไร”

“ไม่รู้เหมือนกัน” รีไวพูดและถอนใจออกมา “ช่างเถอะ บางทีฉันอาจคิดมากไปเอง”

พูดจบก็เดินไปที่รถและขับออกไป

พอทุกคนออกไปกันหมดแล้วมิคาสะจึงสั่งให้เอเลนปิดร้าน หลังจากทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างรวมถึงนำถุงขยะออกไปทิ้งแล้ว เด็กหนุ่มจึงปิดไฟทุกดวงจากนั้นก็ขึ้นชั้นบน อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เข้าห้องนอน เนื่องจากห้องของเขาอยู่ด้านมุมจึงเห็นถนนได้บางส่วนรวมถึงทางลัดตรงไปยังอพาร์ตเมนต์ของรีไว เด็กหนุ่มจึงนั่งริมหน้าต่างและทอดสายตามองออกไปพร้อมกับปล่อยใจให้ล่องลอยไปหาคนที่เขากำลังคิดถึง

“ป่านนี้คุณรีไวกำลังทำอะไรอยู่นะ” เขาพูดเบาๆเหมือนถามตัวเองและเอนตัวเท้าคางกับขอบหน้าต่าง “ไม่รู้ว่ากินอะไรแล้วหรือยัง ในตู้เย็นก็ไม่มีอะไรเหลือแล้วด้วย”

เด็กหนุ่มบ่นด้วยความเป็นห่วงและคิดว่าเขาควรเอาของสดที่มีอยู่ในร้านทำมื้อเย็นให้รีไวดีหรือไม่ แต่พอนึกได้ว่าโดนสั่งห้ามออกจากบ้านเขาก็ถอนใจดังเฮือก

“อยู่ที่นี่มาตั้งนาน ไม่เคยมีเรื่องอะไรเลยสักครั้ง ห้ามทำไมก็ไม่รู้” พูดพลางเคาะคางตัวเองเบาๆและยิ้ม “เราแวบออกไปแป๊บเดียวก็ได้นี่นา คุณรีไวคงไม่ว่าอะไรหรอก”  

เอเลนยิ้มให้กับแผนการอันชาญฉลาดของตัวเองก่อนลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า พอดูจนแน่ใจว่ามิคาสะหลับไปแล้วจึงย่องลงไปยังชั้นล่าง หยิบของในตู้เย็นใส่ถุงเพื่อนำไปให้รีไว

ร่างเล็กๆก้าวออกจากร้าน มือดึงฮู้ดให้กระชับกับศีรษะขณะที่เจ้าตัวมองซ้ายขวาเหมือนจะดูว่ามีคนเห็นหรือไม่จากนั้นก็เดินก้มหน้า ข้ามถนนเข้าไปในตรอกซึ่งเป็นทางลัด เด็กหนุ่มเดินไปเรื่อยๆอยางสุขใจ มือกอดถุงใส่อาหารแน่นในขณะที่เจ้าตัวร้องเพลงออกมาเบาๆ

“มีความสุขจังนะ” เสียงห้าวของใครคนหนึ่งดังขึ้น คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือกยืนตัวแข็งนิ่ง คนทักสะบัดมีดปลายแหลมออกจากซองและเดินเข้าไปหา

“ฉันเกลียดคนที่มีความสุข” มันพูดพึมพำพลางเลื่อนมือไปแตะฮู้ดของเอเลนและลูบไล้ไปมา “โดยเฉพาะไอ้พวกเด็กกำพร้าที่ชอบทำเหมือนกับว่าตัวเองมีความสุขเสียเต็มประดา”

คนตัวโตจ้องคนที่กำลังยืนตัวสั่นเขม็ง และลากคมมีดไล่ตั้งแต่ศีรษะลงไปยังลำคอก่อนจะวนรอบแผ่นหลังเหมือนต้องการขู่ให้อีกฝ่ายเสียขวัญ

“ไม่ร้องหน่อยเหรอ” เจ้าคนชั่วถามและโน้มตัวลงไปกระซิบ “เมื่อวานแกยังส่งเสียงดังกว่านี้เลยนี่นา”

มันจ้องเด็กหนุ่มด้วยดวงตาอาฆาตราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ พอเห็นว่าไม่ยอมพูดอะไรออกมาแน่ เจ้าคนชั่วจึงตวัดมีดไปจ่อไว้ที่คอ

“พูดถึงเมื่อวานแล้วยังเจ็บใจไม่หาย ไอ้สามคนนั่นมันดีแต่ปาก ตัวใหญ่เสียเปล่าแต่กลับไม่มีปัญญาทำอะไรเด็กตัวเล็กๆ”

เสียงพูดเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง มันมองเอเลนอย่างชิงชังและเขย่าจนตัวโคลง

“เอ้า! รีบร้องออกมาซะทีสิ ร้องก่อนที่หลอดลมของแกจะโดนเชือด” มันขู่พร้อมกับกดคมมีดให้ลึกลงไปกว่าเดิมและหรี่ตาลง “หรือจะตะโกนเรียกเจ้านั่นให้มาช่วยก็ได้ ฉันจะได้ปาดคอไปทีเดียวพร้อมกัน”

พูดจบก็หัวเราะออกมาดังลั่นและหยุดคิด

“ไม่สิ ฉันจะเชือดแขนขาเจ้าเตี้ยรีไวนั่นก่อน จากนั้นก็กรีดเปลือกตาออก ให้มันนอนจมกองเลือดดูแกถูกหั่นเป็นชิ้นเสร็จแล้วค่อยส่งไปลงนรก”

มันพูดพล่ามราวคนเสียสติแต่พอเห็นเอเลนยืนนิ่งก็นิ่วหน้า “เป็นอะไรไป กลัวจนพูดอะไรไม่ออกเลยเหรอ”

คิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อคนตัวเล็กกว่าไม่ยอมตอบ มือหนาคว้าไหล่หมับบังคับให้หมุนตัวหันกลับมา

“เป็นใบ้หรือไง พูดอะไรออกมาบ้าง...!” มันชะงักคำพูดค้างเมื่อฮู้ดที่สวมอยู่หลุดจากศีรษะ แต่คนที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่เอเลน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่