บทที่ 10
http://pantip.com/topic/32135107
บทที่ 11
นับเป็นเรื่องโชคดีสำหรับเอเลน เพราะวันนี้ร้านกาแฟของเขามีลูกค้าเข้ามาจนแน่น ทำให้มิคาสะวุ่นอยู่กับการชงกาแฟ หยิบขนม คิดเงินตลอดทั้งวันจนลืมเรื่องที่เขานอนค้างกับรีไวไปสนิท
ตัวเอเลนเองก็วิ่งบริการลูกค้าจนหัวปั่น ไหนจะต้องคอยหยิบของกินใส่ถุงสำหรับผู้ที่ต้องการนำกลับไปทานที่บ้าน พอถึงเวลาหกโมงเย็นจำนวนของลูกค้าจึงซาลง ทำให้ทั้งสองมีโอกาสหายใจหายคอกันได้บ้าง
“เหนื่อยเป็นบ้าเลย” เอเลนบ่นพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ภายในร้าน มิคาสะซึ่งกำลังล้างเครื่องชงกาแฟจึงเอ่ยเตือน
“ทำความสะอาดไปด้วยสิเอเลน”
“ผมขอพักก่อน” เด็กหนุ่มอ้อนวอนแต่ต้องลุกพรวดเมื่อมิคาสะแกล้งกระแทกหัวชงดังปัง! เขารีบคว้าไม้ถูมาทำความสะอาดพื้นทันที
“ใจร้ายจัง ขอพักหน่อยก็ไม่ได้”
เอเลนบ่นอุบและหุบปากเงียบเมื่อหญิงสาวเคาะอะไรสักอย่างดัง บึ้ก!
“ถ้าเกิดมีลูกค้าเข้ามาในร้านตอนนายนั่งพักล่ะ” เธอถาม เอเลนยักไหล่และตอบโดยไม่มองหน้า
“ผมก็เข้าไปบริการเขาเหมือนเคยแหละครับ”
“โดยมีเศษของขนมกระจายเต็มพื้นไปหมดน่ะเหรอ” หญิงสาวย้อนเสียงห้วน “ลองสมมติดูว่าถ้าเป็นตัวเธอเองจะทำยัง ถ้าเข้าไปในร้านอาหารที่สกปรกแบบนี้”
เอเลนเงียบ เถียงไม่ออก เขาเหลือบตามองมิคาสะที่กำลังยืนเท้าสะเอวอยู่ในเคาท์เตอร์แวบหนึ่งก่อนพูดพอให้ได้ยิน
“ขอโทษครับ”
“สำนึกได้ก็ดี” หญิงสาวพูด “เช็ดหน้าร้านเสร็จแล้วอย่าลืมไปล้างถ้วยในครัว”
“ครับ”
เอเลนรับคำเสียงอ่อยและก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดร้านตามสั่ง แต่ทำไปได้แค่ครึ่งเดียวก็หยุดเพราะมีลูกค้าเข้ามาในร้าน เด็กหนุ่มรีบนำไม้ถูพื้นกับถังน้ำไปวางไว้ด้านในและล้างมือจนสะอาดก่อนออกมารับออร์เดอร์ โต๊ะแรกเป็นชายหญิงซึ่งน่าจะเป็นคู่รัก ส่วนโต๊ะที่สองเหมือนนักธุรกิจที่มาทำธุระแถวนั้น พอนำรายการชุดแรกไปส่งให้มิคาสะ เด็กหนุ่มจึงเดินไปลูกค้าคนสุดท้ายที่นั่งอยู่โต๊ะด้านในสุด
“รับอะไรดีครับ” เขาถามอย่างสุภาพ และขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นลูกค้าคนนี้สวมเสื้อผ้าค่อนข้างมิดชิด แถมสวมฮู้ดปิดหน้าของตัวเองเอาไว้ด้วย
“คาปูชิโน่”
เสียงตอบเบาจนแทบไม่ได้ยิน พอจดเรียบร้อยแล้วเอเลนจึงถามต่อตามประสาพนักงานที่ดี
“รับขนมเพิ่มไหมครับ”
อีกฝ่ายส่ายหน้า เด็กหนุ่มจึงเดินไปส่งรายการเครื่องดื่มให้มิคาสะ และรอจนนำขนมและเครื่องดื่มไปเสิร์ฟให้ลูกค้าจนครบ จึงหยิบผ้ามาทำความสะอาดโต๊ะที่เหลือ
ต่อจากนั้นไปจนกระทั่งถึงสามทุ่ม ก็มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาตลอดเวลา แต่ไม่ได้แน่นเหมือนตอนกลางวัน และกลุ่มสุดท้ายที่เปิดประตูร้านก็คือทีมของเอลวิน
“สวัสดีครับ” เอเลนเอ่ยทักเสียงใส ตามองไล่ไปทีละคนและยิ้มกว้างขึ้นเมื่อเห็นคนสุดท้ายก้าวเข้ามา “สวัสดีครับคุณรีไว”
“เออ” อีกฝ่ายตอบสั้นๆพร้อมกับหย่อนตัวนั่งและเอ่ยปากสั่งทันที “ขอกาแฟแก้วสิไอ้หนู”
“ได้ครับ” เอเลนรับคำอย่างร่าเริงโดยไม่ลืมรับรายการที่เหลือจากเอลวินและทีม พอเด็กหนุ่มเดินไปที่เคาท์เตอร์ แจนก็ยื่นหน้าเข้าไปหารีไว
“เจ้าหนูนั่นรู้หรือว่านายกินอะไร”
อีกฝ่ายมองด้วยหางตา
“รู้สิ กาแฟไง”
“กาแฟมันมีตั้งหลายอย่าง และฉันก็ไม่เคยได้ยินนายบอกเลยว่าชอบแบบไหน”
รีไวเบือนหน้าหนีเหมือนไม่อยากตอบคำถาม ฮันซี่จึงเป็นคนพูดแทน
“คนรู้ใจไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากหรอก”
“หมายความว่ายังไง” แจนตีหน้าเซ่อ ฮันซี่หัวเราะคิกคัก
“แหม อะไรกัน นี่นายยังไม่รู้อีกเหรอเนี่ย” เธอลดเสียงลงและทำเป็นกระซิบกระซาบ “รีไวเขาหลงรักเอเลน”
“เฮ้ยยย!!!” แจนร้องลั่น และรีบตะครุบปากเมื่อคนที่กำลังพูดถึงหันมามองตาวาว เขาแกล้งทำเป็นมองซ้ายมองขวาและก้มลงไปพูดกับฮันซี่เบาๆ
“แล้วเอเลนรู้หรือเปล่า”
“พูดยากนะ แต่พักหลังฉันเห็นเจ้าหนูนั่นทำท่าดีอกดีใจเวลารีไวมาด้วย” ฮันซี่ตอบและคงร่ายอีกยาวถ้ารีไวไม่ขัดขึ้นมา
“จะพูดเรื่องนี้กันอีกนานไหม”
“แหม เขินเป็นด้วย” เอฟบีไอหญิงกระเซ้า รีไวนิ่วหน้าก่อนพูดห้วนๆ
“ไม่ได้เขิน แต่รำคาญ” ชายหนุ่มหยุดพูดทันทีเมื่อเอเลนนำกาแฟมาวางให้กับทุกคน โดยของเขาเป็นถ้วยสุดท้าย
“เข้มแบบที่คุณรีไวชอบครับ” เด็กหนุ่มบอกและยืนยิ้มแป้นในแบบที่ทำให้คนเห็นใจเต้น
“ขอบใจ”
รีไวพูดสั้นๆพร้อมกับเลื่อนมือไปหยิบแต่พอเห็นว่าทุกคนพร้อมใจกันมองตรงมาที่เขา เอฟบีไอหนุ่มจึงชักมือกลับพร้อมกับพูดอย่างเป็นงานเป็นการ
“เรื่องคดีว่ายังไง”
“คดีไหนล่ะ” เอลวินแกล้งถาม รีไวมุ่นคิ้ว
“ก็เจ้ากุ๊ยสามตัวที่ฉันให้ลากคอเข้าตารางไปเมื่อคืน”
คำพูดของเขาทำให้เอเลนหูผึ่ง
“คุณจับสามคนนั่นไปแล้วเหรอครับ”
“ใช่”
“ตอนไหนครับ ทำไมผมไม่รู้”
รีไวขยับจะตอบแต่ช้ากว่าฮันซี่ที่ยื่นหน้าไปพูด
“เมื่อคืน พอหมอนี่เหยียบเจ้าสามตัวนั่นจนม้ามแลบแล้วก็โทร.เรียกตำรวจให้มาลากคอพวกมันไป เธอโชคดีมากนะเอเลนที่มีบอดี้การ์ดประจำตัวเก่งแบบนี้ ต่อไปใครกล้ามาแหยม โทร.เรียกหมอนี่ไปอัดมันได้เลย”
“พูดมากน่า” รีไวขัดด้วยความรำคาญก่อนหันกลับไปทางเด็กหนุ่ม “ถึงจะจับสามคนนั่นได้ นายก็ยังไม่ควรออกไปไหนตามลำพัง”
“บ้านคุณก็ไม่ได้หรือครับ” เอเลนพาซื่อถาม เสียงหัวเราะคิกคักจากคนข้างหลังทำให้รีไวต้องพยายามนับหนึ่งถึงสิบเพื่อไม่ให้ตัวเองลุกขึ้นไปเหยียบปากเพื่อน
“ไม่ได้!”
“ใจร้ายจัง” เสียงฮันซี่เปรยเบาๆและทำเป็นดื่มกาแฟอย่างไม่รู้ไม่ชี้ รีไวชำเลืองมองเธอด้วยหางตาแต่ไม่ได้พูดตอบโต้อะไร เพราะยังคงสนใจอยู่กับเอเลน
“ถึงจะจับสามคนนั่นไป นายยังต้องระวังตัว” เขาหันไปพูดกับเด็กหนุ่มอย่างเป็นงานเป็นการ อีกฝ่ายขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ทำไมล่ะครับ ในเมื่อคุณจับโจรสามคนนั่นไปได้ ผมก็น่าจะปลอดภัยแล้วไม่ใช่เหรอ”
คราวนี้รีไวถึงกับถอนใจกับความอ่อนต่อโลกของเอเลน
“โลกนี้ไม่ได้มีโจรแค่สามคน ถึงจับพวกนี้ไปก็ยังมีคนอื่นอยู่อีก” เขามองหน้าเด็กหนุ่ม “เข้าใจที่ฉันพูดหรือเปล่า”
เอเลนมีท่าทางลังเล
“ครับ”
“ดี” รีไวหลุดปากอย่างโล่งใจก่อนหันไปหยิบกาแฟขึ้นมาดื่ม เสียงฮันซี่พูดพอให้ได้ยิน
“เชื่อฟังแบบนี้ต้องเป็นศรีภรรยาที่ดีแน่”
ชายหนุ่มสำลักกาแฟพรวดออกมาทันที
“ยัยฮันซี่!”
*/*/*/*/*
นับเป็นปรากฏการณ์ประหลาดอีกเรื่อง ที่วันนี้เอลวินสั่งให้ลูกน้องทุกคนออกจากร้านของมิคาสะเร็วกว่าทุกครั้ง ทั้งที่โดยปรกติแล้วทั้งหมดมักจะนั่งพูดคุยกันจนเลยเวลาเสมอ
พอเอ่ยปากบอกให้แยกย้ายกันกลับบ้าน ทุกคนต่างลุกขึ้นพร้อมกัน ยกเว้นรีไวที่ยังคงนั่งนิ่งจนเอลวินต้องบีบไหล่เป็นการเตือน
“กลับได้แล้วรีไว”
“แต่ฉันยัง...”ชายหนุ่มจะแย้งแต่ต้องหยุดเมื่อเห็นสายตาเชิงปรามจากคนเป็นหัวหน้า “ก็ได้”
เขาเหลือบมองเอเลนด้วยหางตาและพบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องตรงมาเช่นเดียวกัน เขาจึงแตะแขนเสื้อเอลวินเหมือนบอกว่าให้รอเดี๋ยวก่อนเดินไปหาคนที่อยู่ด้านใน
“อย่าออกไปไหนเป็นอันขาด”
ถึงไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วง เอเลนจึงพยักหน้ารับ
“ครับ”
“ดี”
พูดแค่นั้นก็หมุนตัวเดินจากมาแต่พอออกจากประตูเขาก็หยุดและหันกลับไปมองด้วยความกังวล เอลวินจึงพลอยชะงักตาม
“มีอะไร”
“ไม่รู้เหมือนกัน” รีไวพูดและถอนใจออกมา “ช่างเถอะ บางทีฉันอาจคิดมากไปเอง”
พูดจบก็เดินไปที่รถและขับออกไป
พอทุกคนออกไปกันหมดแล้วมิคาสะจึงสั่งให้เอเลนปิดร้าน หลังจากทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างรวมถึงนำถุงขยะออกไปทิ้งแล้ว เด็กหนุ่มจึงปิดไฟทุกดวงจากนั้นก็ขึ้นชั้นบน อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เข้าห้องนอน เนื่องจากห้องของเขาอยู่ด้านมุมจึงเห็นถนนได้บางส่วนรวมถึงทางลัดตรงไปยังอพาร์ตเมนต์ของรีไว เด็กหนุ่มจึงนั่งริมหน้าต่างและทอดสายตามองออกไปพร้อมกับปล่อยใจให้ล่องลอยไปหาคนที่เขากำลังคิดถึง
“ป่านนี้คุณรีไวกำลังทำอะไรอยู่นะ” เขาพูดเบาๆเหมือนถามตัวเองและเอนตัวเท้าคางกับขอบหน้าต่าง “ไม่รู้ว่ากินอะไรแล้วหรือยัง ในตู้เย็นก็ไม่มีอะไรเหลือแล้วด้วย”
เด็กหนุ่มบ่นด้วยความเป็นห่วงและคิดว่าเขาควรเอาของสดที่มีอยู่ในร้านทำมื้อเย็นให้รีไวดีหรือไม่ แต่พอนึกได้ว่าโดนสั่งห้ามออกจากบ้านเขาก็ถอนใจดังเฮือก
“อยู่ที่นี่มาตั้งนาน ไม่เคยมีเรื่องอะไรเลยสักครั้ง ห้ามทำไมก็ไม่รู้” พูดพลางเคาะคางตัวเองเบาๆและยิ้ม “เราแวบออกไปแป๊บเดียวก็ได้นี่นา คุณรีไวคงไม่ว่าอะไรหรอก”
เอเลนยิ้มให้กับแผนการอันชาญฉลาดของตัวเองก่อนลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า พอดูจนแน่ใจว่ามิคาสะหลับไปแล้วจึงย่องลงไปยังชั้นล่าง หยิบของในตู้เย็นใส่ถุงเพื่อนำไปให้รีไว
ร่างเล็กๆก้าวออกจากร้าน มือดึงฮู้ดให้กระชับกับศีรษะขณะที่เจ้าตัวมองซ้ายขวาเหมือนจะดูว่ามีคนเห็นหรือไม่จากนั้นก็เดินก้มหน้า ข้ามถนนเข้าไปในตรอกซึ่งเป็นทางลัด เด็กหนุ่มเดินไปเรื่อยๆอยางสุขใจ มือกอดถุงใส่อาหารแน่นในขณะที่เจ้าตัวร้องเพลงออกมาเบาๆ
“มีความสุขจังนะ” เสียงห้าวของใครคนหนึ่งดังขึ้น คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือกยืนตัวแข็งนิ่ง คนทักสะบัดมีดปลายแหลมออกจากซองและเดินเข้าไปหา
“ฉันเกลียดคนที่มีความสุข” มันพูดพึมพำพลางเลื่อนมือไปแตะฮู้ดของเอเลนและลูบไล้ไปมา “โดยเฉพาะไอ้พวกเด็กกำพร้าที่ชอบทำเหมือนกับว่าตัวเองมีความสุขเสียเต็มประดา”
คนตัวโตจ้องคนที่กำลังยืนตัวสั่นเขม็ง และลากคมมีดไล่ตั้งแต่ศีรษะลงไปยังลำคอก่อนจะวนรอบแผ่นหลังเหมือนต้องการขู่ให้อีกฝ่ายเสียขวัญ
“ไม่ร้องหน่อยเหรอ” เจ้าคนชั่วถามและโน้มตัวลงไปกระซิบ “เมื่อวานแกยังส่งเสียงดังกว่านี้เลยนี่นา”
มันจ้องเด็กหนุ่มด้วยดวงตาอาฆาตราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ พอเห็นว่าไม่ยอมพูดอะไรออกมาแน่ เจ้าคนชั่วจึงตวัดมีดไปจ่อไว้ที่คอ
“พูดถึงเมื่อวานแล้วยังเจ็บใจไม่หาย ไอ้สามคนนั่นมันดีแต่ปาก ตัวใหญ่เสียเปล่าแต่กลับไม่มีปัญญาทำอะไรเด็กตัวเล็กๆ”
เสียงพูดเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง มันมองเอเลนอย่างชิงชังและเขย่าจนตัวโคลง
“เอ้า! รีบร้องออกมาซะทีสิ ร้องก่อนที่หลอดลมของแกจะโดนเชือด” มันขู่พร้อมกับกดคมมีดให้ลึกลงไปกว่าเดิมและหรี่ตาลง “หรือจะตะโกนเรียกเจ้านั่นให้มาช่วยก็ได้ ฉันจะได้ปาดคอไปทีเดียวพร้อมกัน”
พูดจบก็หัวเราะออกมาดังลั่นและหยุดคิด
“ไม่สิ ฉันจะเชือดแขนขาเจ้าเตี้ยรีไวนั่นก่อน จากนั้นก็กรีดเปลือกตาออก ให้มันนอนจมกองเลือดดูแกถูกหั่นเป็นชิ้นเสร็จแล้วค่อยส่งไปลงนรก”
มันพูดพล่ามราวคนเสียสติแต่พอเห็นเอเลนยืนนิ่งก็นิ่วหน้า “เป็นอะไรไป กลัวจนพูดอะไรไม่ออกเลยเหรอ”
คิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อคนตัวเล็กกว่าไม่ยอมตอบ มือหนาคว้าไหล่หมับบังคับให้หมุนตัวหันกลับมา
“เป็นใบ้หรือไง พูดอะไรออกมาบ้าง...!” มันชะงักคำพูดค้างเมื่อฮู้ดที่สวมอยู่หลุดจากศีรษะ แต่คนที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่เอเลน
My Spy ฉันขอหัวใจของนายนะ บทที่ 11
http://pantip.com/topic/32135107
บทที่ 11
นับเป็นเรื่องโชคดีสำหรับเอเลน เพราะวันนี้ร้านกาแฟของเขามีลูกค้าเข้ามาจนแน่น ทำให้มิคาสะวุ่นอยู่กับการชงกาแฟ หยิบขนม คิดเงินตลอดทั้งวันจนลืมเรื่องที่เขานอนค้างกับรีไวไปสนิท
ตัวเอเลนเองก็วิ่งบริการลูกค้าจนหัวปั่น ไหนจะต้องคอยหยิบของกินใส่ถุงสำหรับผู้ที่ต้องการนำกลับไปทานที่บ้าน พอถึงเวลาหกโมงเย็นจำนวนของลูกค้าจึงซาลง ทำให้ทั้งสองมีโอกาสหายใจหายคอกันได้บ้าง
“เหนื่อยเป็นบ้าเลย” เอเลนบ่นพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ภายในร้าน มิคาสะซึ่งกำลังล้างเครื่องชงกาแฟจึงเอ่ยเตือน
“ทำความสะอาดไปด้วยสิเอเลน”
“ผมขอพักก่อน” เด็กหนุ่มอ้อนวอนแต่ต้องลุกพรวดเมื่อมิคาสะแกล้งกระแทกหัวชงดังปัง! เขารีบคว้าไม้ถูมาทำความสะอาดพื้นทันที
“ใจร้ายจัง ขอพักหน่อยก็ไม่ได้”
เอเลนบ่นอุบและหุบปากเงียบเมื่อหญิงสาวเคาะอะไรสักอย่างดัง บึ้ก!
“ถ้าเกิดมีลูกค้าเข้ามาในร้านตอนนายนั่งพักล่ะ” เธอถาม เอเลนยักไหล่และตอบโดยไม่มองหน้า
“ผมก็เข้าไปบริการเขาเหมือนเคยแหละครับ”
“โดยมีเศษของขนมกระจายเต็มพื้นไปหมดน่ะเหรอ” หญิงสาวย้อนเสียงห้วน “ลองสมมติดูว่าถ้าเป็นตัวเธอเองจะทำยัง ถ้าเข้าไปในร้านอาหารที่สกปรกแบบนี้”
เอเลนเงียบ เถียงไม่ออก เขาเหลือบตามองมิคาสะที่กำลังยืนเท้าสะเอวอยู่ในเคาท์เตอร์แวบหนึ่งก่อนพูดพอให้ได้ยิน
“ขอโทษครับ”
“สำนึกได้ก็ดี” หญิงสาวพูด “เช็ดหน้าร้านเสร็จแล้วอย่าลืมไปล้างถ้วยในครัว”
“ครับ”
เอเลนรับคำเสียงอ่อยและก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดร้านตามสั่ง แต่ทำไปได้แค่ครึ่งเดียวก็หยุดเพราะมีลูกค้าเข้ามาในร้าน เด็กหนุ่มรีบนำไม้ถูพื้นกับถังน้ำไปวางไว้ด้านในและล้างมือจนสะอาดก่อนออกมารับออร์เดอร์ โต๊ะแรกเป็นชายหญิงซึ่งน่าจะเป็นคู่รัก ส่วนโต๊ะที่สองเหมือนนักธุรกิจที่มาทำธุระแถวนั้น พอนำรายการชุดแรกไปส่งให้มิคาสะ เด็กหนุ่มจึงเดินไปลูกค้าคนสุดท้ายที่นั่งอยู่โต๊ะด้านในสุด
“รับอะไรดีครับ” เขาถามอย่างสุภาพ และขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นลูกค้าคนนี้สวมเสื้อผ้าค่อนข้างมิดชิด แถมสวมฮู้ดปิดหน้าของตัวเองเอาไว้ด้วย
“คาปูชิโน่”
เสียงตอบเบาจนแทบไม่ได้ยิน พอจดเรียบร้อยแล้วเอเลนจึงถามต่อตามประสาพนักงานที่ดี
“รับขนมเพิ่มไหมครับ”
อีกฝ่ายส่ายหน้า เด็กหนุ่มจึงเดินไปส่งรายการเครื่องดื่มให้มิคาสะ และรอจนนำขนมและเครื่องดื่มไปเสิร์ฟให้ลูกค้าจนครบ จึงหยิบผ้ามาทำความสะอาดโต๊ะที่เหลือ
ต่อจากนั้นไปจนกระทั่งถึงสามทุ่ม ก็มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาตลอดเวลา แต่ไม่ได้แน่นเหมือนตอนกลางวัน และกลุ่มสุดท้ายที่เปิดประตูร้านก็คือทีมของเอลวิน
“สวัสดีครับ” เอเลนเอ่ยทักเสียงใส ตามองไล่ไปทีละคนและยิ้มกว้างขึ้นเมื่อเห็นคนสุดท้ายก้าวเข้ามา “สวัสดีครับคุณรีไว”
“เออ” อีกฝ่ายตอบสั้นๆพร้อมกับหย่อนตัวนั่งและเอ่ยปากสั่งทันที “ขอกาแฟแก้วสิไอ้หนู”
“ได้ครับ” เอเลนรับคำอย่างร่าเริงโดยไม่ลืมรับรายการที่เหลือจากเอลวินและทีม พอเด็กหนุ่มเดินไปที่เคาท์เตอร์ แจนก็ยื่นหน้าเข้าไปหารีไว
“เจ้าหนูนั่นรู้หรือว่านายกินอะไร”
อีกฝ่ายมองด้วยหางตา
“รู้สิ กาแฟไง”
“กาแฟมันมีตั้งหลายอย่าง และฉันก็ไม่เคยได้ยินนายบอกเลยว่าชอบแบบไหน”
รีไวเบือนหน้าหนีเหมือนไม่อยากตอบคำถาม ฮันซี่จึงเป็นคนพูดแทน
“คนรู้ใจไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากหรอก”
“หมายความว่ายังไง” แจนตีหน้าเซ่อ ฮันซี่หัวเราะคิกคัก
“แหม อะไรกัน นี่นายยังไม่รู้อีกเหรอเนี่ย” เธอลดเสียงลงและทำเป็นกระซิบกระซาบ “รีไวเขาหลงรักเอเลน”
“เฮ้ยยย!!!” แจนร้องลั่น และรีบตะครุบปากเมื่อคนที่กำลังพูดถึงหันมามองตาวาว เขาแกล้งทำเป็นมองซ้ายมองขวาและก้มลงไปพูดกับฮันซี่เบาๆ
“แล้วเอเลนรู้หรือเปล่า”
“พูดยากนะ แต่พักหลังฉันเห็นเจ้าหนูนั่นทำท่าดีอกดีใจเวลารีไวมาด้วย” ฮันซี่ตอบและคงร่ายอีกยาวถ้ารีไวไม่ขัดขึ้นมา
“จะพูดเรื่องนี้กันอีกนานไหม”
“แหม เขินเป็นด้วย” เอฟบีไอหญิงกระเซ้า รีไวนิ่วหน้าก่อนพูดห้วนๆ
“ไม่ได้เขิน แต่รำคาญ” ชายหนุ่มหยุดพูดทันทีเมื่อเอเลนนำกาแฟมาวางให้กับทุกคน โดยของเขาเป็นถ้วยสุดท้าย
“เข้มแบบที่คุณรีไวชอบครับ” เด็กหนุ่มบอกและยืนยิ้มแป้นในแบบที่ทำให้คนเห็นใจเต้น
“ขอบใจ”
รีไวพูดสั้นๆพร้อมกับเลื่อนมือไปหยิบแต่พอเห็นว่าทุกคนพร้อมใจกันมองตรงมาที่เขา เอฟบีไอหนุ่มจึงชักมือกลับพร้อมกับพูดอย่างเป็นงานเป็นการ
“เรื่องคดีว่ายังไง”
“คดีไหนล่ะ” เอลวินแกล้งถาม รีไวมุ่นคิ้ว
“ก็เจ้ากุ๊ยสามตัวที่ฉันให้ลากคอเข้าตารางไปเมื่อคืน”
คำพูดของเขาทำให้เอเลนหูผึ่ง
“คุณจับสามคนนั่นไปแล้วเหรอครับ”
“ใช่”
“ตอนไหนครับ ทำไมผมไม่รู้”
รีไวขยับจะตอบแต่ช้ากว่าฮันซี่ที่ยื่นหน้าไปพูด
“เมื่อคืน พอหมอนี่เหยียบเจ้าสามตัวนั่นจนม้ามแลบแล้วก็โทร.เรียกตำรวจให้มาลากคอพวกมันไป เธอโชคดีมากนะเอเลนที่มีบอดี้การ์ดประจำตัวเก่งแบบนี้ ต่อไปใครกล้ามาแหยม โทร.เรียกหมอนี่ไปอัดมันได้เลย”
“พูดมากน่า” รีไวขัดด้วยความรำคาญก่อนหันกลับไปทางเด็กหนุ่ม “ถึงจะจับสามคนนั่นได้ นายก็ยังไม่ควรออกไปไหนตามลำพัง”
“บ้านคุณก็ไม่ได้หรือครับ” เอเลนพาซื่อถาม เสียงหัวเราะคิกคักจากคนข้างหลังทำให้รีไวต้องพยายามนับหนึ่งถึงสิบเพื่อไม่ให้ตัวเองลุกขึ้นไปเหยียบปากเพื่อน
“ไม่ได้!”
“ใจร้ายจัง” เสียงฮันซี่เปรยเบาๆและทำเป็นดื่มกาแฟอย่างไม่รู้ไม่ชี้ รีไวชำเลืองมองเธอด้วยหางตาแต่ไม่ได้พูดตอบโต้อะไร เพราะยังคงสนใจอยู่กับเอเลน
“ถึงจะจับสามคนนั่นไป นายยังต้องระวังตัว” เขาหันไปพูดกับเด็กหนุ่มอย่างเป็นงานเป็นการ อีกฝ่ายขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ทำไมล่ะครับ ในเมื่อคุณจับโจรสามคนนั่นไปได้ ผมก็น่าจะปลอดภัยแล้วไม่ใช่เหรอ”
คราวนี้รีไวถึงกับถอนใจกับความอ่อนต่อโลกของเอเลน
“โลกนี้ไม่ได้มีโจรแค่สามคน ถึงจับพวกนี้ไปก็ยังมีคนอื่นอยู่อีก” เขามองหน้าเด็กหนุ่ม “เข้าใจที่ฉันพูดหรือเปล่า”
เอเลนมีท่าทางลังเล
“ครับ”
“ดี” รีไวหลุดปากอย่างโล่งใจก่อนหันไปหยิบกาแฟขึ้นมาดื่ม เสียงฮันซี่พูดพอให้ได้ยิน
“เชื่อฟังแบบนี้ต้องเป็นศรีภรรยาที่ดีแน่”
ชายหนุ่มสำลักกาแฟพรวดออกมาทันที
“ยัยฮันซี่!”
*/*/*/*/*
นับเป็นปรากฏการณ์ประหลาดอีกเรื่อง ที่วันนี้เอลวินสั่งให้ลูกน้องทุกคนออกจากร้านของมิคาสะเร็วกว่าทุกครั้ง ทั้งที่โดยปรกติแล้วทั้งหมดมักจะนั่งพูดคุยกันจนเลยเวลาเสมอ
พอเอ่ยปากบอกให้แยกย้ายกันกลับบ้าน ทุกคนต่างลุกขึ้นพร้อมกัน ยกเว้นรีไวที่ยังคงนั่งนิ่งจนเอลวินต้องบีบไหล่เป็นการเตือน
“กลับได้แล้วรีไว”
“แต่ฉันยัง...”ชายหนุ่มจะแย้งแต่ต้องหยุดเมื่อเห็นสายตาเชิงปรามจากคนเป็นหัวหน้า “ก็ได้”
เขาเหลือบมองเอเลนด้วยหางตาและพบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องตรงมาเช่นเดียวกัน เขาจึงแตะแขนเสื้อเอลวินเหมือนบอกว่าให้รอเดี๋ยวก่อนเดินไปหาคนที่อยู่ด้านใน
“อย่าออกไปไหนเป็นอันขาด”
ถึงไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วง เอเลนจึงพยักหน้ารับ
“ครับ”
“ดี”
พูดแค่นั้นก็หมุนตัวเดินจากมาแต่พอออกจากประตูเขาก็หยุดและหันกลับไปมองด้วยความกังวล เอลวินจึงพลอยชะงักตาม
“มีอะไร”
“ไม่รู้เหมือนกัน” รีไวพูดและถอนใจออกมา “ช่างเถอะ บางทีฉันอาจคิดมากไปเอง”
พูดจบก็เดินไปที่รถและขับออกไป
พอทุกคนออกไปกันหมดแล้วมิคาสะจึงสั่งให้เอเลนปิดร้าน หลังจากทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างรวมถึงนำถุงขยะออกไปทิ้งแล้ว เด็กหนุ่มจึงปิดไฟทุกดวงจากนั้นก็ขึ้นชั้นบน อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เข้าห้องนอน เนื่องจากห้องของเขาอยู่ด้านมุมจึงเห็นถนนได้บางส่วนรวมถึงทางลัดตรงไปยังอพาร์ตเมนต์ของรีไว เด็กหนุ่มจึงนั่งริมหน้าต่างและทอดสายตามองออกไปพร้อมกับปล่อยใจให้ล่องลอยไปหาคนที่เขากำลังคิดถึง
“ป่านนี้คุณรีไวกำลังทำอะไรอยู่นะ” เขาพูดเบาๆเหมือนถามตัวเองและเอนตัวเท้าคางกับขอบหน้าต่าง “ไม่รู้ว่ากินอะไรแล้วหรือยัง ในตู้เย็นก็ไม่มีอะไรเหลือแล้วด้วย”
เด็กหนุ่มบ่นด้วยความเป็นห่วงและคิดว่าเขาควรเอาของสดที่มีอยู่ในร้านทำมื้อเย็นให้รีไวดีหรือไม่ แต่พอนึกได้ว่าโดนสั่งห้ามออกจากบ้านเขาก็ถอนใจดังเฮือก
“อยู่ที่นี่มาตั้งนาน ไม่เคยมีเรื่องอะไรเลยสักครั้ง ห้ามทำไมก็ไม่รู้” พูดพลางเคาะคางตัวเองเบาๆและยิ้ม “เราแวบออกไปแป๊บเดียวก็ได้นี่นา คุณรีไวคงไม่ว่าอะไรหรอก”
เอเลนยิ้มให้กับแผนการอันชาญฉลาดของตัวเองก่อนลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า พอดูจนแน่ใจว่ามิคาสะหลับไปแล้วจึงย่องลงไปยังชั้นล่าง หยิบของในตู้เย็นใส่ถุงเพื่อนำไปให้รีไว
ร่างเล็กๆก้าวออกจากร้าน มือดึงฮู้ดให้กระชับกับศีรษะขณะที่เจ้าตัวมองซ้ายขวาเหมือนจะดูว่ามีคนเห็นหรือไม่จากนั้นก็เดินก้มหน้า ข้ามถนนเข้าไปในตรอกซึ่งเป็นทางลัด เด็กหนุ่มเดินไปเรื่อยๆอยางสุขใจ มือกอดถุงใส่อาหารแน่นในขณะที่เจ้าตัวร้องเพลงออกมาเบาๆ
“มีความสุขจังนะ” เสียงห้าวของใครคนหนึ่งดังขึ้น คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือกยืนตัวแข็งนิ่ง คนทักสะบัดมีดปลายแหลมออกจากซองและเดินเข้าไปหา
“ฉันเกลียดคนที่มีความสุข” มันพูดพึมพำพลางเลื่อนมือไปแตะฮู้ดของเอเลนและลูบไล้ไปมา “โดยเฉพาะไอ้พวกเด็กกำพร้าที่ชอบทำเหมือนกับว่าตัวเองมีความสุขเสียเต็มประดา”
คนตัวโตจ้องคนที่กำลังยืนตัวสั่นเขม็ง และลากคมมีดไล่ตั้งแต่ศีรษะลงไปยังลำคอก่อนจะวนรอบแผ่นหลังเหมือนต้องการขู่ให้อีกฝ่ายเสียขวัญ
“ไม่ร้องหน่อยเหรอ” เจ้าคนชั่วถามและโน้มตัวลงไปกระซิบ “เมื่อวานแกยังส่งเสียงดังกว่านี้เลยนี่นา”
มันจ้องเด็กหนุ่มด้วยดวงตาอาฆาตราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ พอเห็นว่าไม่ยอมพูดอะไรออกมาแน่ เจ้าคนชั่วจึงตวัดมีดไปจ่อไว้ที่คอ
“พูดถึงเมื่อวานแล้วยังเจ็บใจไม่หาย ไอ้สามคนนั่นมันดีแต่ปาก ตัวใหญ่เสียเปล่าแต่กลับไม่มีปัญญาทำอะไรเด็กตัวเล็กๆ”
เสียงพูดเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง มันมองเอเลนอย่างชิงชังและเขย่าจนตัวโคลง
“เอ้า! รีบร้องออกมาซะทีสิ ร้องก่อนที่หลอดลมของแกจะโดนเชือด” มันขู่พร้อมกับกดคมมีดให้ลึกลงไปกว่าเดิมและหรี่ตาลง “หรือจะตะโกนเรียกเจ้านั่นให้มาช่วยก็ได้ ฉันจะได้ปาดคอไปทีเดียวพร้อมกัน”
พูดจบก็หัวเราะออกมาดังลั่นและหยุดคิด
“ไม่สิ ฉันจะเชือดแขนขาเจ้าเตี้ยรีไวนั่นก่อน จากนั้นก็กรีดเปลือกตาออก ให้มันนอนจมกองเลือดดูแกถูกหั่นเป็นชิ้นเสร็จแล้วค่อยส่งไปลงนรก”
มันพูดพล่ามราวคนเสียสติแต่พอเห็นเอเลนยืนนิ่งก็นิ่วหน้า “เป็นอะไรไป กลัวจนพูดอะไรไม่ออกเลยเหรอ”
คิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อคนตัวเล็กกว่าไม่ยอมตอบ มือหนาคว้าไหล่หมับบังคับให้หมุนตัวหันกลับมา
“เป็นใบ้หรือไง พูดอะไรออกมาบ้าง...!” มันชะงักคำพูดค้างเมื่อฮู้ดที่สวมอยู่หลุดจากศีรษะ แต่คนที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่เอเลน