บทที่ 9
http://pantip.com/topic/32133231
บทที่ 10
รีไวมักคิดเสมอว่า ทุกเช้าของแต่ละวัน นอกจากคดีแล้วทุกอย่างเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นแสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่าง เสียงนกพิราบที่มาขออาหาร หรือแม้แต่กิจวัตรที่เขาต้องทำเป็นประจำ
ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลง
ยกเว้นวันนี้
ชายหนุ่มแน่ใจว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง ที่รุ่งอรุณของวันใหม่เริ่มต้นด้วยความงดงามและอบอุ่น ไม่ว่าจะเป็นแสงสีทองที่ปรากฏบนขอบฟ้า หรือแดดอ่อนๆที่ส่องผ่านกระจกไปกระทบกับที่นอนอันขาวสะอาดสร้างบรรยากาศนุ่มละมุนรับกับใบหน้างามที่กำลังพริ้มตาหลับอย่างเป็นสุขอยู่บนเตียง
ใบหน้าอันงดงาม
รีไวนอนเท้าคางมองคนที่นอนข้างตัวแล้วอมยิ้มน้อยๆ ช่างเป็นคำที่เหมาะสมกับเจ้าหนูอย่างที่สุด ไม่ว่าจะเป็นโครงหน้าที่สวยได้รูปราวตุ๊กตา ดวงตากลมโตกับแผงขนตางอนสีดำขลับ แก้มสีชมพูใสรับกับริมฝีปากจิ้มลิ้มน่ารักสีเดียวกัน
ช่างเป็นปากที่น่าจูบเหลือเกิน
เอฟบีไอหนุ่มรู้สึกเหมือนหน้าตัวเองร้อนผ่าว ใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก เขาอยากจะหันหน้ามองไปทางอื่นเพื่อที่ตัดความคิดดังกล่าวแต่ตาเจ้ากรรมกลับไปยอมทำตาม ซ้ำยังสร้างภาพหลอนเหมือนปากของเจ้าหนูนั่นกำลังลอยเข้ามาใกล้ๆ
ก๊อกๆ
เสียงนกพิราบเคาะกระจกดังขึ้นมากลางคัน ทำให้รีไวสะดุ้งสุดตัวและพบว่าแท้จริงแล้วหนุ่มน้อยกำลังนอนหลับสบายอยู่ในท่าเดิม เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายโน้มตัวลงไปเอง
นี่เราทำบ้าอะไรกัน !
เขานึกด้วยความโมโหและรีบหันหน้ามองไปทางอื่นพร้อมกับเพ่งสมาธิถึงคดีที่กำลังทำ แต่ใจกลับฟุ้งซ่านจนคิดอะไรไม่ออก ที่สุดชายหนุ่มจึงตัดสินใจลุกขึ้นเพื่ออาบน้ำแต่งตัว
“คุณรีไวครับ”
เสียงเอเลนพึมพำออกมาเบาๆ รีไวหยุดชะงักหันไปมอง และใจเต้นอีกครั้งเมื่อเห็นปากแสนสวยนั่นกำลังเผยอน้อยๆราวเชื้อเชิญ
เจ้าเด็กบ้านี่กำลังแกล้งเราหรือไงนะ
เขาคิดพลางบดกรามแน่นเพื่อระงับอารมณ์บางอย่างที่กำลังวิ่งพล่านอยู่ในอก เสียงร้องห้ามภายในใจว่า ‘อย่าทำ’ ดังกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล ชายหนุ่มจึงจำต้องใช้วิธีสุดท้ายคืออาบน้ำเย็น เพื่อดับเพลิงปรารถนาของตัวเอง
พอจะลุก ชายเสื้อกลับรั้งเหมือนโดนอะไรยึดเอาไว้ พอเปิดผ้าห่มดูจึงรู้ว่ามันก็คือมือของเอเลนนั่นเอง แสดงว่าเจ้าหนูนี่ยังตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น รีไวคิดพลางมองหน้าเด็กหนุ่มซึ่งยังคงหลับอย่างเป็นสุขและถอนใจออกมาเบาๆก่อนจะโน้มตัวลงไปกระซิบ
“ไม่ต้องกลัว ฉันจะปกป้องนายเอง”
จุมพิตแสนอบอุ่นประทับอย่างอ่อนโยนบนหน้าผากของเอเลน เสียงครางฮือดังขึ้นมาเบาๆพร้อมกับร่างที่เริ่มขยับตัว ดวงตาสีสวยกะพริบสองสามครั้งก่อนเปิดขึ้น คิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความงุนงงเมื่อพบว่าตนเองกำลังนอนอยูในห้องที่ไม่คุ้นตา
“ไง”
เสียงห้วนคุ้นหูเอ่ยทัก เด็กหนุ่มไหวตัวเล็กน้อยและเหลือบตามอง พอเห็นว่าใครเป็นคนเรียกเขาก็ลุกพรวดทันที
“คุณรีไว”
“เออ” เสียงตอบห้วนสั้นตามแบบฉบับ “ลุกได้แล้วฉันจะรีบไปทำงาน”
สั่งเสร็จก็เดินเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้เอเลนนั่งทำตาปริบๆด้วยความงงอยู่บนเตียง พอทบทวนดูเด็กหนุ่มก็นึกได้ว่าเมื่อคืนนี้เขาเอาแซนด์วิชมาให้รีไว แต่เกิดทะเลาะกัน ตอนวิ่งกลับออกไปเขาโดนคนจรจัดทำร้าย โชคดีที่รีไวไปช่วยได้ทัน และพากลับมาที่ห้องเขา จากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย
ไม่สิ จะบอกว่าไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะเขายังจำได้แม่นว่าโดนทำร้ายจนเจ็บไปทั้งตัว และรีไวก็เป็นคนรักษารอยช้ำกับบาดแผลให้ คิดพลางถอนใจออกมาเบาๆ ทั้งที่เมื่อคืนนี้เขาดูอ่อนโยนถึงขนาดนั้น ทำไมเช้าขึ้นมาถึงกลายร่างเป็นเจ้าเตี้ยปากเสียตามเดิมไปได้
พอย้อนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เด็กหนุ่มถึงกับตัวสั่น เขายังจำกลิ่นสาปเหงื่อกับใบหน้าหื่นกระหายและความกักขฬะของผู้ชายทั้งสามคนได้ดี ดูเหมือนว่ามันยังคงวนเวียนหลอกหลอนเขามาตลอดจนถึงตอนนี้
คิดพลางยกมือขึ้นแตะแก้มซึ่งยังคงมีรอยช้ำจางๆ แม้การรักษาของรีไวจะทำให้อาการเจ็บทุเลาลงไปบ้าง แต่มันก็ยังระบมอยู่
คุณรีไว
เอเลนทวนชื่อของชายหนุ่มและเม้มปากแน่น ถึงเขาจะบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุ แต่ถ้าไม่ตามไปช่วย ป่านนี้ข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งคงไม่ใช่พบศพชายปริศนา แต่เป็นร่างในสภาพอเนจอนาถของ เอเลน เยเกอร์ ไปแล้ว
คิดแล้วอดขนลุกไปทั้งตัวไม่ได้ เด็กหนุ่มรีบสะบัดหน้าเพื่อไล่ความกลัวออกไป ตอนนี้เขาอยู่กับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุด ต่อให้คนชั่วทั้งสามข้ามาหาเรื่องอีกครั้ง คงถูกลูกเตะของเจ้าเตี้ยมหากาฬซัดจนหมอบกระแต
เอเลนนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางมองไปที่ประตูห้องน้ำ เมื่อคืนคุณรีไวช่วยเราเอาไว้เพราะฉะนั้นต้องหาทางตอบแทน แต่จะด้วยอะไรดีล่ะ
กาแฟอร่อยดีนี่
คำที่ชายหนุ่มเคยเอ่ยปากชมเอาไว้ดังก้องขึ้นในหัว เด็กหนุ่มจึงโดดลงจากเตียงมุ่งเข้าครัวและสำรวจกาแฟเป็นอย่างแรก พอเห็นว่ามีเต็มขวดเขาก็ติดไฟต้มน้ำทันทีจากนั้นก็เปิดตู้เย็นเพื่อหาดูว่ามีอะไรพอจะทำเป็นอาหารเช้าได้บ้าง จึงพบถุงแซนด์วิชที่เอามาตั้งแต่เมื่อคืน พอเปิดดูถึงได้รู้ว่ามันไม่พร่องเลยสักนิด ไม่มีแม้รอยกัดสักคำ แสดงว่ารีไวยังไม่ได้แตะต้องมันเลย
เอเลนนิ่งคิดก่อนตัดสินใจดัดแปลงให้มันกลายเป็นมื้อเช้าที่ดูพิถีพิถันกว่านั้น ระหว่างกำลังทำเสียงรีไวก็ดังมาจากห้อง
“ห้องน้ำว่างแล้วไอ้หนู”
“ครับ” เด็กหนุ่มขานรับพร้อมกับพลิกแผ่นขนมปังในกระทะ อีกฝ่ายคงเห็นว่าเงียบไปนานเลยชะโงกหน้าออกมาดู
“ทำอะไรน่ะ”
“อาหารเช้าครับ” เอเลนตอบพร้อมกับส่งรอยยิ้มที่คนเห็นแทบอยากพุ่งเข้าไปกอด
“ฉันมีแซนด์วิชอยู่ในตู้”
“ผมเห็นแล้วครับ แต่กลัวไม่อร่อยเพราะทำไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เลยเอามาดัดแปลงนิดหน่อย” พูดพลางตักขนมปังที่ย่างพอเกรียมใส่จาน ตามด้วยแฮม ไข่กับชีส จากนั้นก็หยิบผักที่พอหาได้ในตู้เย็นมาประดับอีกสองสามชิ้น เสร็จแล้วก็ยกไปวางไว้ที่โต๊ะ
“เรียบร้อยแล้วครับ” เด็กหนุ่มพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พอรีไวมานั่งเขาก็รินกาแฟให้ “ทานตอนร้อนๆเลยนะครับ”
“แล้วนายล่ะ” รีไวถาม เอเลนส่ายหน้า
“ผมยังไมหิวครับ”
“ฉันไม่เชื่อ” รีไวพูดเสียงดุ “นั่งลงเดี๋ยวนี้ แล้วกินด้วยกัน”
เด็กหนุ่มทำหน้าลังเล แต่พออีกฝ่ายจ้องด้วยสายตาเชิงบังคับเขาจึงพูดอ่อยๆ
“ผมขอไปอาบน้ำก่อนได้ไหมครับ”
“เร็วๆหน่อยก็แล้วกัน ฉันหิว” เอฟบีไอหนุ่มพูดเสียงกระด้าง เอเลนจึงวิ่งตื๋อกลับเข้าห้องและหายไปชั่วอึดใจจึงกลับออกมาพร้อมกับสวมเสื้อตัวใหม่ที่รีไววางไว้ให้บนเตียง
“นั่งสิ” ชายหนุ่มพูด พออีกฝ่ายนั่งลงตามสั่งแล้วเขาก็รินน้ำส้มให้ “นายไม่ดื่มกาแฟใช่ไหม”
“ครับ แต่คุณรีไวรู้ได้ยังไง”
“ฉันไม่ได้กลิ่นมันในตัวของนาย” รีไวตอบด้วยใบหน้านิ่งเฉยคล้ายเป็นเรื่องปรกติธรรมดา แต่คนฟังกลับขนลุก
“คุณดมตัวผมด้วยเหรอครับ” ถามด้วยใบหน้าแดงจัด ชายหนุ่มตัดขนมปังขนาดพอดีคำก่อนส่งเข้าปาก
“ไม่ใช่ดม แต่ได้กลิ่น ความหมายมันต่างกันมาก ไอ้หนู”
“ต่างกันยังไงหรือครับ” เอเลนซักขณะเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำส้ม แต่ต้องสะดุ้งเมื่อรีไวยื่นส้อมที่เสียบแฮมเอาไว้มาจ่อตรงจมูก
“นี่คือการได้กลิ่น” เขาวางส้อมลง “ส่วนนี่” มือคว้าหมับที่คอเสื้อดึงเด็กหนุ่มเข้าไปหอมแก้มเบาๆ “คือดม”
เลือดฝาดสีแดงสดวิ่งพล่านไปทั่วทั้งหน้าที่ร้อนจัด ในขณะที่เจ้าตัวนั่งแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก ส่วนคนอธิบายพอพูดจบก็ดันเอเลนออกไปและหันไปก้มหน้าก้มตากินต่อ แต่พอเห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่งไม่ขยับเขาก็หันมาถาม
“เป็นอะไร”
“อะ...เอ้อ” เอเลนพยายามตอบแต่กลับไม่รู้จะพูดอะไร เพราะกำลังตกใจกับการจู่โจมแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว รีไวเลยเลิกคิ้วสูง
“ยังงงเรื่องที่ฉันพูดไปเมื่อกี้อยู่เหรอ” เขาเอียงหน้าและอมยิ้มน้อยๆอย่างเจ้าเล่ห์ “จะให้อธิบายอีกครั้งก็ได้นะ”
“ม...ไม่ต้องแล้วครับ” เด็กหนุ่มรีบปฏิเสธพร้อมกับโบกมือและขยับถอยห่างพร้อมกับก้มหน้าลงเหมือนการทำเช่นนั้นจะช่วยให้รอดจากคนอันตรายในตอนนี้ได้ ดูเหมือนรีไวจะรู้ทันความคิดเพราะเขาหันกลับไปที่อาหารตรงหน้าพร้อมกับพูดเสียงเข้มเหมือนเตือน
“อย่ามัวแต่เล่น รีบกิน ฉันจะได้ไปทำงาน”
ใครกันแน่ที่เอาแต่เล่น เอเลนเถียงในใจและชำเลืองมองอีกฝ่ายด้วยหางตา พอเห็นเขาก้มหน้าก้มตากินเหมือนไม่สนใจอะไร เด็กหนุ่มจึงลงมือจัดการกับมื้อเช้าของตัวเองบ้าง ระหว่างตักอาหารเข้าปาก ก็แอบมองชายหนุ่มเป็นระยะ มีหลายครั้งที่เผลอยิ้มเมื่อเห็นท่าทางการกินของรีไวคล้ายกับเด็กตัวเล็กๆ
“อย่าเขี่ยผักออกสิครับ” เอเลนพูดเมื่อเห็นรีไวใช้ส้อมเขี่ยผักใส่ถังขยะ อีกฝ่ายนิ่วหน้า
“ฉันไม่ชอบ”
“ไม่ชอบก็ต้องกินครับ เพราะผักมีประโยชน์” ไม่พูดเปล่ายังเขี่ยผักของตัวเองใส่จานชายหนุ่ม เขาเบ้หน้าอย่างไม่ชอบใจ
“ไม่กินได้ไหม”
“ไม่ได้ครับ” เอเลนพูดเสียงเข้มเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็ก พอเห็นรีไวทำเป็นเขี่ยผักเลี่ยงไปเลี่ยงมาไม่ยอมกิน เด็กหนุ่มจึงใช้ส้อมของตัวเองจิ้มผักชิ้นนั้นไปจ่อไว้ที่ปากของรีไว “อ้าปากสิครับ”
รีไวหน้าบึ้ง นั่งนิ่งไม่ยอมทำตาม เอเลนจึงแกล้งหาคำพูดยั่ว
“ก็ว่าทำไมถึงตัวเตี้ย ไม่ยอมกินผักนี่เอง”
“เฮ้ย...”ร้องออกมาได้แค่นั้นก็ต้องเงียบเพราะโดนผักทั้งชิ้นยัดเข้าไปในปาก ครั้นจะบ้วนออกมาก็ถูกมือของเด็กหนุ่มอุดเอาไว้ เขาจึงจำต้องฝืนใจเคี้ยวและกลืนลงคอ
“เจ้าเด็กบะ...”
“น้ำครับ” เอเลนรีบขัดพร้อมกับส่งแก้วน้ำให้ พออีกฝ่ายรับไปดื่มเขาก็ยิ้ม
“เห็นไหมครับ ผักน่ะอร่อยจะตายไป”
ใบหน้าใสซื่อที่กำลังยิ้มแย้มอย่างไร้เดียงสาทำให้ใจของรีไวเต้นแรง นิ้วมือขยับไปมาเหมือนอยากจะคว้าคนตรงหน้าแล้วดึงเข้ามาจูบให้หนำใจ ขณะที่ความคิดกำลังเปิดเปิงไปจนกู่ไม่กลับอยู่นั้น เสียงเอเลนก็ดังขึ้น
“อ๊ะ มีผักติดปากชิ้นนึงแน่ะครับ” ไม่พูดเปล่ายังยื่นมือมาเช็ดให้ พอสะอาดดีแล้วก็ยิ้มแป้นและเอียงคออย่างน่ารัก “เรียบร้อยแล้วครับ”
รีไวตาลุกวาวนั่งคอแข็งทันที
เปลี่ยนจากจูบเป็นลากขึ้นเตียงเถอะ !
*/*/*/*/*
มื้อเช้าจบลงเร็วกว่าที่กะเอาไว้ เพราะจู่ๆรีไวก็ลุกขึ้นใส่เสื้อนอก หยิบกระเป๋าลากเอเลนออกจากห้อง โดยทิ้งอาหารคาไว้ในจาน พอส่งเด็กหนุ่มที่ร้านแล้วเขาก็ขับรถบึ่งออกไปทันที ท่ามกลางความงงงันของทั้งเอเลนและมิคาสะ
“เขาเป็นอะไรของเขา”
“ไม่ทราบครับ” เอเลนตอบและเดินกลับเข้าไปในร้าน หญิงสาวก้าวตามไปติดๆ
“เดี๋ยวก่อนสิเอเลน”
“ครับ” อีกฝ่ายขานรับพร้อมกับหมุนตัวหันกลับมา มิคาสะจึงหยุดยืนกอดอก
“เธอยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าเมื่อคืนนี้ออกไปไหน แล้วทำไมตอนเช้าถึงกลับมาพร้อมกับเขา”
“ผมเขียนโน้ตบอกไว้แล้วนี่ครับ” เด็กหนุ่มพูด “ที่มาตอนเช้าเพราะคุณรีไวเป็นห่วง กลัวผมถูกพวกอันธพาลทำร้ายเลยให้ค้างคืนที่นั่น”
“แล้วรอยช้ำนี่มันอะไร” มิคาสะถามพร้อมกับใช้นิ้วไปที่แก้ม เอเลนสะดุ้งและถอยออกห่างโดยไม่รู้ตัว
“ผมตกบันไดครับ”
เขาแก้ตัวไปตามเหตุผลที่เตรียมไว้ แต่มิคาสะไม่เชื่อเลยสักนิด
“โกหก” เธอดึงมือเอเลนและถลกแขนเสื้อขึ้น “ตกบันไดท่าไหนทำไมแขนถึงไม่มีรอยช้ำเลยสักนิด อีกอย่าง” เธอจ้องชุดที่เด็กหนุ่มสวมอยู่เขม็ง “ฉันจำได้ว่าเมื่อวานเสื้อที่เธอใส่สีน้ำเงิน แล้วไปเอาตัวนี้มาจากไหน”
“ของคุณรีไวน่ะครับ” เอเลนตอบไปตามตรง “เสื้อผมเปื้อนตอนตกบันได เขาเลยให้ยืม”
“เจ้าเปี๊ยกปากเสียเนี่ยนะให้เธอยืมเสื้อ” มิคาสะพูดเสียงดังพลางจ้องเด็กหนุ่มเขม็งอย่างจับพิรุธ “ไม่ใช่ว่าหมอนั่นทำอะไรประหลาดกับเธอนะ”
“เขาไม่ทำอะไรพิลึกแบบนั้นหรอกครับ” เด็กหนุ่มร้องพร้อมกับกระแทกลมหายใจค่อนข้างแรง “อย่าคิดมากสิครับคุณมิคาสะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอไปทำความสะอาดร้านก่อนนะครับ”
พูดจบก็เดินไปหลังร้านเพื่อหยิบไม้ถูพื้นกับถังน้ำ แต่เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือกลับขัดขึ้นมาเสียก่อน พอหยิบออกมาดูเขาก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะไม่คุ้นกับหมายเลข ถึงอย่างนั้นก็ยังกดรับ
My Spy ฉันขอหัวใจของนายนะ บทที่ 10
http://pantip.com/topic/32133231
บทที่ 10
รีไวมักคิดเสมอว่า ทุกเช้าของแต่ละวัน นอกจากคดีแล้วทุกอย่างเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นแสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่าง เสียงนกพิราบที่มาขออาหาร หรือแม้แต่กิจวัตรที่เขาต้องทำเป็นประจำ
ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลง
ยกเว้นวันนี้
ชายหนุ่มแน่ใจว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง ที่รุ่งอรุณของวันใหม่เริ่มต้นด้วยความงดงามและอบอุ่น ไม่ว่าจะเป็นแสงสีทองที่ปรากฏบนขอบฟ้า หรือแดดอ่อนๆที่ส่องผ่านกระจกไปกระทบกับที่นอนอันขาวสะอาดสร้างบรรยากาศนุ่มละมุนรับกับใบหน้างามที่กำลังพริ้มตาหลับอย่างเป็นสุขอยู่บนเตียง
ใบหน้าอันงดงาม
รีไวนอนเท้าคางมองคนที่นอนข้างตัวแล้วอมยิ้มน้อยๆ ช่างเป็นคำที่เหมาะสมกับเจ้าหนูอย่างที่สุด ไม่ว่าจะเป็นโครงหน้าที่สวยได้รูปราวตุ๊กตา ดวงตากลมโตกับแผงขนตางอนสีดำขลับ แก้มสีชมพูใสรับกับริมฝีปากจิ้มลิ้มน่ารักสีเดียวกัน
ช่างเป็นปากที่น่าจูบเหลือเกิน
เอฟบีไอหนุ่มรู้สึกเหมือนหน้าตัวเองร้อนผ่าว ใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก เขาอยากจะหันหน้ามองไปทางอื่นเพื่อที่ตัดความคิดดังกล่าวแต่ตาเจ้ากรรมกลับไปยอมทำตาม ซ้ำยังสร้างภาพหลอนเหมือนปากของเจ้าหนูนั่นกำลังลอยเข้ามาใกล้ๆ
ก๊อกๆ
เสียงนกพิราบเคาะกระจกดังขึ้นมากลางคัน ทำให้รีไวสะดุ้งสุดตัวและพบว่าแท้จริงแล้วหนุ่มน้อยกำลังนอนหลับสบายอยู่ในท่าเดิม เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายโน้มตัวลงไปเอง
นี่เราทำบ้าอะไรกัน !
เขานึกด้วยความโมโหและรีบหันหน้ามองไปทางอื่นพร้อมกับเพ่งสมาธิถึงคดีที่กำลังทำ แต่ใจกลับฟุ้งซ่านจนคิดอะไรไม่ออก ที่สุดชายหนุ่มจึงตัดสินใจลุกขึ้นเพื่ออาบน้ำแต่งตัว
“คุณรีไวครับ”
เสียงเอเลนพึมพำออกมาเบาๆ รีไวหยุดชะงักหันไปมอง และใจเต้นอีกครั้งเมื่อเห็นปากแสนสวยนั่นกำลังเผยอน้อยๆราวเชื้อเชิญ
เจ้าเด็กบ้านี่กำลังแกล้งเราหรือไงนะ
เขาคิดพลางบดกรามแน่นเพื่อระงับอารมณ์บางอย่างที่กำลังวิ่งพล่านอยู่ในอก เสียงร้องห้ามภายในใจว่า ‘อย่าทำ’ ดังกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล ชายหนุ่มจึงจำต้องใช้วิธีสุดท้ายคืออาบน้ำเย็น เพื่อดับเพลิงปรารถนาของตัวเอง
พอจะลุก ชายเสื้อกลับรั้งเหมือนโดนอะไรยึดเอาไว้ พอเปิดผ้าห่มดูจึงรู้ว่ามันก็คือมือของเอเลนนั่นเอง แสดงว่าเจ้าหนูนี่ยังตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น รีไวคิดพลางมองหน้าเด็กหนุ่มซึ่งยังคงหลับอย่างเป็นสุขและถอนใจออกมาเบาๆก่อนจะโน้มตัวลงไปกระซิบ
“ไม่ต้องกลัว ฉันจะปกป้องนายเอง”
จุมพิตแสนอบอุ่นประทับอย่างอ่อนโยนบนหน้าผากของเอเลน เสียงครางฮือดังขึ้นมาเบาๆพร้อมกับร่างที่เริ่มขยับตัว ดวงตาสีสวยกะพริบสองสามครั้งก่อนเปิดขึ้น คิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความงุนงงเมื่อพบว่าตนเองกำลังนอนอยูในห้องที่ไม่คุ้นตา
“ไง”
เสียงห้วนคุ้นหูเอ่ยทัก เด็กหนุ่มไหวตัวเล็กน้อยและเหลือบตามอง พอเห็นว่าใครเป็นคนเรียกเขาก็ลุกพรวดทันที
“คุณรีไว”
“เออ” เสียงตอบห้วนสั้นตามแบบฉบับ “ลุกได้แล้วฉันจะรีบไปทำงาน”
สั่งเสร็จก็เดินเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้เอเลนนั่งทำตาปริบๆด้วยความงงอยู่บนเตียง พอทบทวนดูเด็กหนุ่มก็นึกได้ว่าเมื่อคืนนี้เขาเอาแซนด์วิชมาให้รีไว แต่เกิดทะเลาะกัน ตอนวิ่งกลับออกไปเขาโดนคนจรจัดทำร้าย โชคดีที่รีไวไปช่วยได้ทัน และพากลับมาที่ห้องเขา จากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย
ไม่สิ จะบอกว่าไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะเขายังจำได้แม่นว่าโดนทำร้ายจนเจ็บไปทั้งตัว และรีไวก็เป็นคนรักษารอยช้ำกับบาดแผลให้ คิดพลางถอนใจออกมาเบาๆ ทั้งที่เมื่อคืนนี้เขาดูอ่อนโยนถึงขนาดนั้น ทำไมเช้าขึ้นมาถึงกลายร่างเป็นเจ้าเตี้ยปากเสียตามเดิมไปได้
พอย้อนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เด็กหนุ่มถึงกับตัวสั่น เขายังจำกลิ่นสาปเหงื่อกับใบหน้าหื่นกระหายและความกักขฬะของผู้ชายทั้งสามคนได้ดี ดูเหมือนว่ามันยังคงวนเวียนหลอกหลอนเขามาตลอดจนถึงตอนนี้
คิดพลางยกมือขึ้นแตะแก้มซึ่งยังคงมีรอยช้ำจางๆ แม้การรักษาของรีไวจะทำให้อาการเจ็บทุเลาลงไปบ้าง แต่มันก็ยังระบมอยู่
คุณรีไว
เอเลนทวนชื่อของชายหนุ่มและเม้มปากแน่น ถึงเขาจะบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุ แต่ถ้าไม่ตามไปช่วย ป่านนี้ข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งคงไม่ใช่พบศพชายปริศนา แต่เป็นร่างในสภาพอเนจอนาถของ เอเลน เยเกอร์ ไปแล้ว
คิดแล้วอดขนลุกไปทั้งตัวไม่ได้ เด็กหนุ่มรีบสะบัดหน้าเพื่อไล่ความกลัวออกไป ตอนนี้เขาอยู่กับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุด ต่อให้คนชั่วทั้งสามข้ามาหาเรื่องอีกครั้ง คงถูกลูกเตะของเจ้าเตี้ยมหากาฬซัดจนหมอบกระแต
เอเลนนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางมองไปที่ประตูห้องน้ำ เมื่อคืนคุณรีไวช่วยเราเอาไว้เพราะฉะนั้นต้องหาทางตอบแทน แต่จะด้วยอะไรดีล่ะ
กาแฟอร่อยดีนี่
คำที่ชายหนุ่มเคยเอ่ยปากชมเอาไว้ดังก้องขึ้นในหัว เด็กหนุ่มจึงโดดลงจากเตียงมุ่งเข้าครัวและสำรวจกาแฟเป็นอย่างแรก พอเห็นว่ามีเต็มขวดเขาก็ติดไฟต้มน้ำทันทีจากนั้นก็เปิดตู้เย็นเพื่อหาดูว่ามีอะไรพอจะทำเป็นอาหารเช้าได้บ้าง จึงพบถุงแซนด์วิชที่เอามาตั้งแต่เมื่อคืน พอเปิดดูถึงได้รู้ว่ามันไม่พร่องเลยสักนิด ไม่มีแม้รอยกัดสักคำ แสดงว่ารีไวยังไม่ได้แตะต้องมันเลย
เอเลนนิ่งคิดก่อนตัดสินใจดัดแปลงให้มันกลายเป็นมื้อเช้าที่ดูพิถีพิถันกว่านั้น ระหว่างกำลังทำเสียงรีไวก็ดังมาจากห้อง
“ห้องน้ำว่างแล้วไอ้หนู”
“ครับ” เด็กหนุ่มขานรับพร้อมกับพลิกแผ่นขนมปังในกระทะ อีกฝ่ายคงเห็นว่าเงียบไปนานเลยชะโงกหน้าออกมาดู
“ทำอะไรน่ะ”
“อาหารเช้าครับ” เอเลนตอบพร้อมกับส่งรอยยิ้มที่คนเห็นแทบอยากพุ่งเข้าไปกอด
“ฉันมีแซนด์วิชอยู่ในตู้”
“ผมเห็นแล้วครับ แต่กลัวไม่อร่อยเพราะทำไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เลยเอามาดัดแปลงนิดหน่อย” พูดพลางตักขนมปังที่ย่างพอเกรียมใส่จาน ตามด้วยแฮม ไข่กับชีส จากนั้นก็หยิบผักที่พอหาได้ในตู้เย็นมาประดับอีกสองสามชิ้น เสร็จแล้วก็ยกไปวางไว้ที่โต๊ะ
“เรียบร้อยแล้วครับ” เด็กหนุ่มพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พอรีไวมานั่งเขาก็รินกาแฟให้ “ทานตอนร้อนๆเลยนะครับ”
“แล้วนายล่ะ” รีไวถาม เอเลนส่ายหน้า
“ผมยังไมหิวครับ”
“ฉันไม่เชื่อ” รีไวพูดเสียงดุ “นั่งลงเดี๋ยวนี้ แล้วกินด้วยกัน”
เด็กหนุ่มทำหน้าลังเล แต่พออีกฝ่ายจ้องด้วยสายตาเชิงบังคับเขาจึงพูดอ่อยๆ
“ผมขอไปอาบน้ำก่อนได้ไหมครับ”
“เร็วๆหน่อยก็แล้วกัน ฉันหิว” เอฟบีไอหนุ่มพูดเสียงกระด้าง เอเลนจึงวิ่งตื๋อกลับเข้าห้องและหายไปชั่วอึดใจจึงกลับออกมาพร้อมกับสวมเสื้อตัวใหม่ที่รีไววางไว้ให้บนเตียง
“นั่งสิ” ชายหนุ่มพูด พออีกฝ่ายนั่งลงตามสั่งแล้วเขาก็รินน้ำส้มให้ “นายไม่ดื่มกาแฟใช่ไหม”
“ครับ แต่คุณรีไวรู้ได้ยังไง”
“ฉันไม่ได้กลิ่นมันในตัวของนาย” รีไวตอบด้วยใบหน้านิ่งเฉยคล้ายเป็นเรื่องปรกติธรรมดา แต่คนฟังกลับขนลุก
“คุณดมตัวผมด้วยเหรอครับ” ถามด้วยใบหน้าแดงจัด ชายหนุ่มตัดขนมปังขนาดพอดีคำก่อนส่งเข้าปาก
“ไม่ใช่ดม แต่ได้กลิ่น ความหมายมันต่างกันมาก ไอ้หนู”
“ต่างกันยังไงหรือครับ” เอเลนซักขณะเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำส้ม แต่ต้องสะดุ้งเมื่อรีไวยื่นส้อมที่เสียบแฮมเอาไว้มาจ่อตรงจมูก
“นี่คือการได้กลิ่น” เขาวางส้อมลง “ส่วนนี่” มือคว้าหมับที่คอเสื้อดึงเด็กหนุ่มเข้าไปหอมแก้มเบาๆ “คือดม”
เลือดฝาดสีแดงสดวิ่งพล่านไปทั่วทั้งหน้าที่ร้อนจัด ในขณะที่เจ้าตัวนั่งแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก ส่วนคนอธิบายพอพูดจบก็ดันเอเลนออกไปและหันไปก้มหน้าก้มตากินต่อ แต่พอเห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่งไม่ขยับเขาก็หันมาถาม
“เป็นอะไร”
“อะ...เอ้อ” เอเลนพยายามตอบแต่กลับไม่รู้จะพูดอะไร เพราะกำลังตกใจกับการจู่โจมแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว รีไวเลยเลิกคิ้วสูง
“ยังงงเรื่องที่ฉันพูดไปเมื่อกี้อยู่เหรอ” เขาเอียงหน้าและอมยิ้มน้อยๆอย่างเจ้าเล่ห์ “จะให้อธิบายอีกครั้งก็ได้นะ”
“ม...ไม่ต้องแล้วครับ” เด็กหนุ่มรีบปฏิเสธพร้อมกับโบกมือและขยับถอยห่างพร้อมกับก้มหน้าลงเหมือนการทำเช่นนั้นจะช่วยให้รอดจากคนอันตรายในตอนนี้ได้ ดูเหมือนรีไวจะรู้ทันความคิดเพราะเขาหันกลับไปที่อาหารตรงหน้าพร้อมกับพูดเสียงเข้มเหมือนเตือน
“อย่ามัวแต่เล่น รีบกิน ฉันจะได้ไปทำงาน”
ใครกันแน่ที่เอาแต่เล่น เอเลนเถียงในใจและชำเลืองมองอีกฝ่ายด้วยหางตา พอเห็นเขาก้มหน้าก้มตากินเหมือนไม่สนใจอะไร เด็กหนุ่มจึงลงมือจัดการกับมื้อเช้าของตัวเองบ้าง ระหว่างตักอาหารเข้าปาก ก็แอบมองชายหนุ่มเป็นระยะ มีหลายครั้งที่เผลอยิ้มเมื่อเห็นท่าทางการกินของรีไวคล้ายกับเด็กตัวเล็กๆ
“อย่าเขี่ยผักออกสิครับ” เอเลนพูดเมื่อเห็นรีไวใช้ส้อมเขี่ยผักใส่ถังขยะ อีกฝ่ายนิ่วหน้า
“ฉันไม่ชอบ”
“ไม่ชอบก็ต้องกินครับ เพราะผักมีประโยชน์” ไม่พูดเปล่ายังเขี่ยผักของตัวเองใส่จานชายหนุ่ม เขาเบ้หน้าอย่างไม่ชอบใจ
“ไม่กินได้ไหม”
“ไม่ได้ครับ” เอเลนพูดเสียงเข้มเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็ก พอเห็นรีไวทำเป็นเขี่ยผักเลี่ยงไปเลี่ยงมาไม่ยอมกิน เด็กหนุ่มจึงใช้ส้อมของตัวเองจิ้มผักชิ้นนั้นไปจ่อไว้ที่ปากของรีไว “อ้าปากสิครับ”
รีไวหน้าบึ้ง นั่งนิ่งไม่ยอมทำตาม เอเลนจึงแกล้งหาคำพูดยั่ว
“ก็ว่าทำไมถึงตัวเตี้ย ไม่ยอมกินผักนี่เอง”
“เฮ้ย...”ร้องออกมาได้แค่นั้นก็ต้องเงียบเพราะโดนผักทั้งชิ้นยัดเข้าไปในปาก ครั้นจะบ้วนออกมาก็ถูกมือของเด็กหนุ่มอุดเอาไว้ เขาจึงจำต้องฝืนใจเคี้ยวและกลืนลงคอ
“เจ้าเด็กบะ...”
“น้ำครับ” เอเลนรีบขัดพร้อมกับส่งแก้วน้ำให้ พออีกฝ่ายรับไปดื่มเขาก็ยิ้ม
“เห็นไหมครับ ผักน่ะอร่อยจะตายไป”
ใบหน้าใสซื่อที่กำลังยิ้มแย้มอย่างไร้เดียงสาทำให้ใจของรีไวเต้นแรง นิ้วมือขยับไปมาเหมือนอยากจะคว้าคนตรงหน้าแล้วดึงเข้ามาจูบให้หนำใจ ขณะที่ความคิดกำลังเปิดเปิงไปจนกู่ไม่กลับอยู่นั้น เสียงเอเลนก็ดังขึ้น
“อ๊ะ มีผักติดปากชิ้นนึงแน่ะครับ” ไม่พูดเปล่ายังยื่นมือมาเช็ดให้ พอสะอาดดีแล้วก็ยิ้มแป้นและเอียงคออย่างน่ารัก “เรียบร้อยแล้วครับ”
รีไวตาลุกวาวนั่งคอแข็งทันที
เปลี่ยนจากจูบเป็นลากขึ้นเตียงเถอะ !
*/*/*/*/*
มื้อเช้าจบลงเร็วกว่าที่กะเอาไว้ เพราะจู่ๆรีไวก็ลุกขึ้นใส่เสื้อนอก หยิบกระเป๋าลากเอเลนออกจากห้อง โดยทิ้งอาหารคาไว้ในจาน พอส่งเด็กหนุ่มที่ร้านแล้วเขาก็ขับรถบึ่งออกไปทันที ท่ามกลางความงงงันของทั้งเอเลนและมิคาสะ
“เขาเป็นอะไรของเขา”
“ไม่ทราบครับ” เอเลนตอบและเดินกลับเข้าไปในร้าน หญิงสาวก้าวตามไปติดๆ
“เดี๋ยวก่อนสิเอเลน”
“ครับ” อีกฝ่ายขานรับพร้อมกับหมุนตัวหันกลับมา มิคาสะจึงหยุดยืนกอดอก
“เธอยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าเมื่อคืนนี้ออกไปไหน แล้วทำไมตอนเช้าถึงกลับมาพร้อมกับเขา”
“ผมเขียนโน้ตบอกไว้แล้วนี่ครับ” เด็กหนุ่มพูด “ที่มาตอนเช้าเพราะคุณรีไวเป็นห่วง กลัวผมถูกพวกอันธพาลทำร้ายเลยให้ค้างคืนที่นั่น”
“แล้วรอยช้ำนี่มันอะไร” มิคาสะถามพร้อมกับใช้นิ้วไปที่แก้ม เอเลนสะดุ้งและถอยออกห่างโดยไม่รู้ตัว
“ผมตกบันไดครับ”
เขาแก้ตัวไปตามเหตุผลที่เตรียมไว้ แต่มิคาสะไม่เชื่อเลยสักนิด
“โกหก” เธอดึงมือเอเลนและถลกแขนเสื้อขึ้น “ตกบันไดท่าไหนทำไมแขนถึงไม่มีรอยช้ำเลยสักนิด อีกอย่าง” เธอจ้องชุดที่เด็กหนุ่มสวมอยู่เขม็ง “ฉันจำได้ว่าเมื่อวานเสื้อที่เธอใส่สีน้ำเงิน แล้วไปเอาตัวนี้มาจากไหน”
“ของคุณรีไวน่ะครับ” เอเลนตอบไปตามตรง “เสื้อผมเปื้อนตอนตกบันได เขาเลยให้ยืม”
“เจ้าเปี๊ยกปากเสียเนี่ยนะให้เธอยืมเสื้อ” มิคาสะพูดเสียงดังพลางจ้องเด็กหนุ่มเขม็งอย่างจับพิรุธ “ไม่ใช่ว่าหมอนั่นทำอะไรประหลาดกับเธอนะ”
“เขาไม่ทำอะไรพิลึกแบบนั้นหรอกครับ” เด็กหนุ่มร้องพร้อมกับกระแทกลมหายใจค่อนข้างแรง “อย่าคิดมากสิครับคุณมิคาสะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอไปทำความสะอาดร้านก่อนนะครับ”
พูดจบก็เดินไปหลังร้านเพื่อหยิบไม้ถูพื้นกับถังน้ำ แต่เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือกลับขัดขึ้นมาเสียก่อน พอหยิบออกมาดูเขาก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะไม่คุ้นกับหมายเลข ถึงอย่างนั้นก็ยังกดรับ