ช่วงนี้มีเวลาว่างเยอะ เพราะธุรกิจหยุดนิ่งอยู่กับที่มาหลายเดือนแล้วค่ะ
ช่วงเวลาเช่นนี้ จึงเป็นเวลาของการตรวจสอบความมุ่งมั่นและความทนทานของตัวเอง
ต้องประคองตัวให้ผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้ เหมือนหลายๆวิกฤติที่ผ่านมา เพื่อรอวันฟ้าใสอีกครั้ง
หน้าที่ของเรา เพียงทำให้แต่ละเดือนสามารถเลี้ยงลูกน้องไปได้จนถึงวันที่สถานการณ์คลี่คลาย
แล้วเมื่อวันนั้นมาถึง เราก็จะกลับมารุ่งเรืองได้เหมือนเดิม เหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมา
คิดแล้วก็นึกย้อนไปถึงช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง และอีกหลายๆวิกฤติที่เราผ่านมันมาได้
และมันก็ทำให้เรากลับมายิ่งใหญ่มากกว่าเดิม เพราะคู่แข่งล้มหายตายจากไปหมด จากการไม่อึดพอ
จากเวลาว่างที่มี ก็เลยคิดว่า เอาประสบการณ์ชีวิตในบางแง่มุม มาเล่าให้น้องๆ ลูกๆ หลานๆ ฟัง เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้างก็น่าจะดี
.
.
.
.
ดิฉันเริ่มทำธุรกิจเป็นของตัวเอง เมื่อปี 2537 โดยเริ่มจากเงินทุนไม่มากนัก
โชคดีที่พื้นฐานไม่ใช่คนรวย มีเงินน้อย จึงทำให้ระมัดระวัง และรอบคอบพอสมควร
จังหวะดี ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีข้อเสียที่ทำให้เงินทุนหมุนเวียนขาดสภาพคล่องอยู่บ่อยๆ
เพราะยอดขายที่โตเร็วเกินไป คือเฉลี่ยยอดขายโตปีละ 100 %
(ขายเครดิต 30-60 วัน รวมวางบิล อีก 30 วัน แต่ซื้อได้เครดิต 60 วัน ทำให้ต้องใส่เงินเพิ่มทุกครั้งที่ยอดขายก้าวกระโดด)
ทำให้บางช่วงต้องหาวิธีลดยอดขายอย่างมีชั้นเชิงไม่ให้เสียลูกค้า
เพื่อจะได้ไม่ต้องหาเงินเพิ่มเข้ามาในระบบมากนัก
ซึ่งวิธีนี้ คนอื่นจะไม่ค่อยนำมาใช้ แต่ดิฉันกลับมองว่า SME ขนาดเล็กที่มีเงินหมุนเวียนจำกัด
จำเป็นต้องใช้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการเงินทั้งระบบ (เอาไว้มีเวลาจะเขียนเล่าโดยละเอียดอีกครั้ง)
ต้นปี 2540 มีแผนจะแต่งงาน และกำหนดแต่งงานช่วงเดือนพฤศจิกายน ของปีนั้น (ดิฉันแต่งงานช้าค่ะ)
ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี การค้าราบรื่น ความรักก็ชื่นมื่นดี
จนกระทั่งถึง กลางปี 2540 ที่รัฐบาลประกาศลดค่าเงินบาท
เกิดวิกฤติการณ์ค่าเงินลามจากเมืองไทยขยายไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนทั่วโลกเรียกวิกฤติค่าเงินในครั้งนั้นว่า
“วิกฤติต้มยำกุ้ง”
เหมือนสายฟ้าฟาดเปรี้ยงกลางหัวใจ
วัตถุดิบที่เคยซื้อได้เครดิต 60 วัน...ปรับราคาเป็น 2 เท่าตามค่าเงินบาททันที โดยไม่ทันตั้งตัว
ไม่มีโอกาสวางแผนรองรับ หรือหาวิธีป้องกันล่วงหน้า
เหมือนผีซ้ำด้ามพลอย...
ผู้ขายวัตถุดิบ...แจ้งข่าวร้ายว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ต้องขายเงินสด
ไม่มีเครดิต 60 วัน เหมือนที่ผ่านมา
เอาล่ะซิ...ปกติได้เครดิต 60 วัน ก็รัดเข็มขัดกันแทบแย่ กว่าจะหมุนเงินให้ชนเดือน
ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ก็มัวแต่หลงดีใจกับยอดขายที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด
(แต่ตัวเองกลับไม่มีเงินใช้ส่วนตัว นอกจากเงินเดือนที่ได้รับจากบริษัทของตัวเอง
เนื่องจากเอากำไรส่วนที่ได้ทั้งหมด เติมเข้าไปเป็นเงินทุนของบริษัทที่เพิ่มขึ้น)
ไหนจะบ้านที่ดาวน์ไปหลายแสน จนถึงกำหนดต้องโอน (กู้แบ้งค์) ในอีกไม่กี่วัน...แบ้งค์ก็ผ่านแล้วด้วย
ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก อยากจะร้องเพลง
“โลกทั้งใบ กรูแบกไว้คนเดียว???”
หลังจากตั้งสติ และตัดสินใจว่า
“เดอะโชว์มัสโกออน” ...ชีวิตต้องเดินต่อไป
จึงโทรศัพท์ปรึกษากับว่าที่สามีซึ่งทำงานอยู่ต่างประเทศขณะนั้น
สรุปแนวทางการจัดการทุกๆปัญหาได้ว่า
เราต้องทำทุกอย่างให้เราก้าวผ่านวันนี้ไปให้ได้
เพราะ...
ถ้าเราข้ามไม่พ้นวันนี้ เราจะไม่มีโอกาสเห็นวันพรุ่งนี้...
สิ่งที่เราต้องทำคือ
1.ทิ้งดาวน์บ้านไปเฉยๆ โดยแจ้งให้โครงการรับทราบว่าไม่สามารถแบกรับการผ่อนระยะยาวได้
เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจ (ซึ่งทางโครงการก็งงมากว่า ทำไมไม่โอนในเมื่อกู้แบ้งค์ก็ผ่าน...
ขณะที่คนอื่นอยากโอน แต่กู้ไม่ผ่าน...โธ่...โครงการคงไม่รู้ว่าเรากล้ำกลืนน้ำตามากแค่ไหนที่ต้องทำอย่างนั้น...
พร้อมกับนึกในใจว่า สักวันหนึ่ง...เราจะมีบ้านใหม่...แน่นอน...ต้องหลังใหญ่กว่าเดิม...
ส่วนในวันนี้ แต่งงานแล้วก็อาศัยอยู่บ้านพ่อแม่ไปก่อนละกัน)
2.รวบรวมเงินสด และทรัพย์สินที่จะเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที ทั้งหมด...ทำการแปรสภาพเป็นเงินสดเก็บไว้
พร้อมทำบัญชีการใช้จ่าย และประมาณการเงินสดที่ต้องใช้ อย่างน้อย 1 ปี
3.จากข้อ 2. พบว่างบกระแสเงินสดมีไม่พอสำหรับการดำเนินธุรกิจในสภาพปกติในช่วง 1 ปี
จำเป็นต้องปรับแผนการทำงานโดยเร่งด่วน
4.การขายเครดิตให้ลูกค้า ไม่สามารถขอลดระยะเวลาการจ่ายเงินได้ เนื่องจากลูกค้า 95 %
เป็นบริษัทร่วมทุนต่างชาติขนาดใหญ่ ที่มีกำหนดการชำระเงินแน่นอน เปลี่ยนแปลงยาก
(ถ้าเข้าไปเจรจาในช่วงนั้น อาจถูกยกเลิกออร์เดอร์ในทันที...เสี่ยงเกินไป)
5.วิธีเดียวที่ทำได้ คือต้องขอเพิ่มเครดิตการซื้อวัตถุดิบ...แต่...ก็ไม่มีใครยอมให้ เนื่องจากวัตถุดิบ
เป็นสินค้าที่ต้องอิงการนำเข้าจากต่างประเทศ แล้วจะทำยังไงต่อไป???
6. ทางรอดเดียว คือดิฉันต้อง
ลดกำลังการผลิตลง 60% เพื่อให้เกิดความสมดุลของกระแสเงินสด
แล้วใช้วิธีไปเจรจาขอซื้อจากคู่ค้า ซึ่งผลิตสินค้าชนิดเดียวกัน และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
(ข้อนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าที่ผ่านมา เรามีแต่คู่แข่ง หรือ ศัตรูในธุรกิจเดียวกัน จนไม่มีมิตรเลย
ในวันที่เกิดวิกฤติ เราจะโดดเดี่ยวและหาทางออกไม่เจอ...ดังนั้น เป็นเรื่องที่เจ้าของธุรกิจหน้าใหม่ทุกคน
ควรตระหนัก และอย่าละเลยในข้อนี้ มันคือต้นทุนอย่างหนึ่งที่เราไม่ต้องใช้เงินลงทุน)
~~โชคดี การเจรจาประสบความสำเร็จ ได้เครดิตซื้อ 60 วัน เท่าเดิม~~
เท่ากับดิฉันสามารถรักษายอดขายไว้ได้ ไม่สูญเสียส่วนแบ่งการตลาด และยังสามารถบริหารเงิน
ให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ แม้ไม่ราบเรียบนัก
7.จากทั้งหมดที่กล่าวมา ดิฉันพบว่า ดิฉันยังมีค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ไม่น่าจะพอ ยังขาดเงินสดอีกจำนวนหนึ่ง
ในแต่ละเดือน เพื่อรักษาพนักงานไว้ให้อยู่กับเรา เพื่อที่ว่าเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ จะได้ไม่ต้อง
กังวลเรื่องหาพนักงานใหม่ (
พนักงานคือทรัพยากรอันมีค่า เราไม่อยากเสียเค้าไปค่ะ) ทำไงดี???
8.ว่าที่สามี แจ้งว่าจะส่งเงินเดือนกลับมาให้ เดือนละ XXXXXX บาท แต่ก็ยังไม่พอ เอาไงต่อ???
9.สุดท้าย ไม่มีทางเลือก...ดิฉันตัดสินใจรักษาบริษัท และ พนักงานเอาไว้ (จ่ายเงินเต็มทุกคน)
โดยตัวเองต้องไปสมัครงาน ในตำแหน่งผู้จัดการแผนก ในบริษัทในนิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง
~~โชคดี (อีกแล้ว) ได้งานทันที ในอัตราเงินเดือนตามที่เรียกไป เริ่มงาน 3 วันหลังสัมภาษณ์~~
หลายคนชื่นชมว่าดิฉันโชคดี หางานได้เร็ว...แต่จะมีใครรู้บ้างไหม ว่าดิฉันขมขื่นแค่ไหน
คนที่ออกมาเป็นเจ้าของธุรกิจ (แม้จะเล็กๆ) แล้วต้องกลับไปเป็นลูกจ้างอีกครั้ง (ถึงจะเป็นผู้จัดการก็เหอะ)
มันเป็นความบอบช้ำ ที่เล่าให้ใครฟังไม่ได้จริงๆ...แต่...อย่างที่บอก
เพื่อ...พรุ่งนี้...ดิฉันจะต้องผ่านวันนี้ไปให้ได้............อดทนให้ได้นะใจเอ๋ยยยยยยย
10.ในที่สุด เวลา 1 ปีที่แสนทรมานก็ผ่านพ้นไป...วิกฤติคลี่คลาย การเงินเริ่มเข้าที่...
การวางแผนการเงินอย่างเหมาะสม บวกกับวินัยการใช้เงินที่เข้มงวด ทำให้ธุรกิจกลับมาเหมือนเดิม
โชคดีที่ลูกค้าให้ความเชื่อถือเรามาก และยังซื้อเราอย่างต่อเนื่องแม้ในภาวะวิกฤติ
โชคดีที่ลูกค้ามีสถานภาพทางการเงินที่มั่นคง...การจ่ายเงินตรงเวลาที่สุด...ชนิดที่ระบุเป็นวันได้โดยไม่ผิดพลาด
ทำให้การวางแผนทุกอย่าง เป็นไปอย่างค่อนข้างถูกต้อง
ดิฉัน ลาออกจากการเป็นลูกจ้าง ในอีก 3 เดือนต่อมา รอให้เจ้านายหาหัวหน้าแผนกคนใหม่ให้ได้ก่อน
เพื่อไม่ให้เป็นผลเสียกับงานโดยรวม...
โชคดีซ้ำซ้อน...บริษัทนี้กลายเป็นลูกค้าถาวรของดิฉันไปอีกรายแล้วค่ะ
และยังเป็นลูกค้าที่ดีมาจนถึงทุกวันนี้ 16 ปีผ่านไป 555555555555
สรุป...แง่คิดที่ดิฉันอยากฝากไว้ในกระทู้นี้ ว่าการฝ่าวิกฤติใดๆนั้น แม้ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป
ขอเพียงให้เรามีสติ และ แก้ปัญหาให้ถูกจุด อย่าสงสารตัวเอง อย่ารอความช่วยเหลือจากใคร
ในเมื่อ...
ชีวิตเป็นของเรา...เราต้องลิขิตชีวิตเราเองค่ะ
~~ย้อนวันวาน ผ่านวิกฤติต้มยำกุ้ง~~
ช่วงเวลาเช่นนี้ จึงเป็นเวลาของการตรวจสอบความมุ่งมั่นและความทนทานของตัวเอง
ต้องประคองตัวให้ผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้ เหมือนหลายๆวิกฤติที่ผ่านมา เพื่อรอวันฟ้าใสอีกครั้ง
หน้าที่ของเรา เพียงทำให้แต่ละเดือนสามารถเลี้ยงลูกน้องไปได้จนถึงวันที่สถานการณ์คลี่คลาย
แล้วเมื่อวันนั้นมาถึง เราก็จะกลับมารุ่งเรืองได้เหมือนเดิม เหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมา
คิดแล้วก็นึกย้อนไปถึงช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง และอีกหลายๆวิกฤติที่เราผ่านมันมาได้
และมันก็ทำให้เรากลับมายิ่งใหญ่มากกว่าเดิม เพราะคู่แข่งล้มหายตายจากไปหมด จากการไม่อึดพอ
จากเวลาว่างที่มี ก็เลยคิดว่า เอาประสบการณ์ชีวิตในบางแง่มุม มาเล่าให้น้องๆ ลูกๆ หลานๆ ฟัง เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้างก็น่าจะดี
.
.
.
.
ดิฉันเริ่มทำธุรกิจเป็นของตัวเอง เมื่อปี 2537 โดยเริ่มจากเงินทุนไม่มากนัก
โชคดีที่พื้นฐานไม่ใช่คนรวย มีเงินน้อย จึงทำให้ระมัดระวัง และรอบคอบพอสมควร
จังหวะดี ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีข้อเสียที่ทำให้เงินทุนหมุนเวียนขาดสภาพคล่องอยู่บ่อยๆ
เพราะยอดขายที่โตเร็วเกินไป คือเฉลี่ยยอดขายโตปีละ 100 %
(ขายเครดิต 30-60 วัน รวมวางบิล อีก 30 วัน แต่ซื้อได้เครดิต 60 วัน ทำให้ต้องใส่เงินเพิ่มทุกครั้งที่ยอดขายก้าวกระโดด)
ทำให้บางช่วงต้องหาวิธีลดยอดขายอย่างมีชั้นเชิงไม่ให้เสียลูกค้า
เพื่อจะได้ไม่ต้องหาเงินเพิ่มเข้ามาในระบบมากนัก
ซึ่งวิธีนี้ คนอื่นจะไม่ค่อยนำมาใช้ แต่ดิฉันกลับมองว่า SME ขนาดเล็กที่มีเงินหมุนเวียนจำกัด
จำเป็นต้องใช้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการเงินทั้งระบบ (เอาไว้มีเวลาจะเขียนเล่าโดยละเอียดอีกครั้ง)
ต้นปี 2540 มีแผนจะแต่งงาน และกำหนดแต่งงานช่วงเดือนพฤศจิกายน ของปีนั้น (ดิฉันแต่งงานช้าค่ะ)
ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี การค้าราบรื่น ความรักก็ชื่นมื่นดี
จนกระทั่งถึง กลางปี 2540 ที่รัฐบาลประกาศลดค่าเงินบาท
เกิดวิกฤติการณ์ค่าเงินลามจากเมืองไทยขยายไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนทั่วโลกเรียกวิกฤติค่าเงินในครั้งนั้นว่า “วิกฤติต้มยำกุ้ง”
เหมือนสายฟ้าฟาดเปรี้ยงกลางหัวใจ
วัตถุดิบที่เคยซื้อได้เครดิต 60 วัน...ปรับราคาเป็น 2 เท่าตามค่าเงินบาททันที โดยไม่ทันตั้งตัว
ไม่มีโอกาสวางแผนรองรับ หรือหาวิธีป้องกันล่วงหน้า
เหมือนผีซ้ำด้ามพลอย...ผู้ขายวัตถุดิบ...แจ้งข่าวร้ายว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ต้องขายเงินสด
ไม่มีเครดิต 60 วัน เหมือนที่ผ่านมา
เอาล่ะซิ...ปกติได้เครดิต 60 วัน ก็รัดเข็มขัดกันแทบแย่ กว่าจะหมุนเงินให้ชนเดือน
ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ก็มัวแต่หลงดีใจกับยอดขายที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด
(แต่ตัวเองกลับไม่มีเงินใช้ส่วนตัว นอกจากเงินเดือนที่ได้รับจากบริษัทของตัวเอง
เนื่องจากเอากำไรส่วนที่ได้ทั้งหมด เติมเข้าไปเป็นเงินทุนของบริษัทที่เพิ่มขึ้น)
ไหนจะบ้านที่ดาวน์ไปหลายแสน จนถึงกำหนดต้องโอน (กู้แบ้งค์) ในอีกไม่กี่วัน...แบ้งค์ก็ผ่านแล้วด้วย
ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก อยากจะร้องเพลง “โลกทั้งใบ กรูแบกไว้คนเดียว???”
หลังจากตั้งสติ และตัดสินใจว่า “เดอะโชว์มัสโกออน” ...ชีวิตต้องเดินต่อไป
จึงโทรศัพท์ปรึกษากับว่าที่สามีซึ่งทำงานอยู่ต่างประเทศขณะนั้น
สรุปแนวทางการจัดการทุกๆปัญหาได้ว่า
เราต้องทำทุกอย่างให้เราก้าวผ่านวันนี้ไปให้ได้
เพราะ...ถ้าเราข้ามไม่พ้นวันนี้ เราจะไม่มีโอกาสเห็นวันพรุ่งนี้...
สิ่งที่เราต้องทำคือ
1.ทิ้งดาวน์บ้านไปเฉยๆ โดยแจ้งให้โครงการรับทราบว่าไม่สามารถแบกรับการผ่อนระยะยาวได้
เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจ (ซึ่งทางโครงการก็งงมากว่า ทำไมไม่โอนในเมื่อกู้แบ้งค์ก็ผ่าน...
ขณะที่คนอื่นอยากโอน แต่กู้ไม่ผ่าน...โธ่...โครงการคงไม่รู้ว่าเรากล้ำกลืนน้ำตามากแค่ไหนที่ต้องทำอย่างนั้น...
พร้อมกับนึกในใจว่า สักวันหนึ่ง...เราจะมีบ้านใหม่...แน่นอน...ต้องหลังใหญ่กว่าเดิม...
ส่วนในวันนี้ แต่งงานแล้วก็อาศัยอยู่บ้านพ่อแม่ไปก่อนละกัน)
2.รวบรวมเงินสด และทรัพย์สินที่จะเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที ทั้งหมด...ทำการแปรสภาพเป็นเงินสดเก็บไว้
พร้อมทำบัญชีการใช้จ่าย และประมาณการเงินสดที่ต้องใช้ อย่างน้อย 1 ปี
3.จากข้อ 2. พบว่างบกระแสเงินสดมีไม่พอสำหรับการดำเนินธุรกิจในสภาพปกติในช่วง 1 ปี
จำเป็นต้องปรับแผนการทำงานโดยเร่งด่วน
4.การขายเครดิตให้ลูกค้า ไม่สามารถขอลดระยะเวลาการจ่ายเงินได้ เนื่องจากลูกค้า 95 %
เป็นบริษัทร่วมทุนต่างชาติขนาดใหญ่ ที่มีกำหนดการชำระเงินแน่นอน เปลี่ยนแปลงยาก
(ถ้าเข้าไปเจรจาในช่วงนั้น อาจถูกยกเลิกออร์เดอร์ในทันที...เสี่ยงเกินไป)
5.วิธีเดียวที่ทำได้ คือต้องขอเพิ่มเครดิตการซื้อวัตถุดิบ...แต่...ก็ไม่มีใครยอมให้ เนื่องจากวัตถุดิบ
เป็นสินค้าที่ต้องอิงการนำเข้าจากต่างประเทศ แล้วจะทำยังไงต่อไป???
6. ทางรอดเดียว คือดิฉันต้องลดกำลังการผลิตลง 60% เพื่อให้เกิดความสมดุลของกระแสเงินสด
แล้วใช้วิธีไปเจรจาขอซื้อจากคู่ค้า ซึ่งผลิตสินค้าชนิดเดียวกัน และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
(ข้อนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าที่ผ่านมา เรามีแต่คู่แข่ง หรือ ศัตรูในธุรกิจเดียวกัน จนไม่มีมิตรเลย
ในวันที่เกิดวิกฤติ เราจะโดดเดี่ยวและหาทางออกไม่เจอ...ดังนั้น เป็นเรื่องที่เจ้าของธุรกิจหน้าใหม่ทุกคน
ควรตระหนัก และอย่าละเลยในข้อนี้ มันคือต้นทุนอย่างหนึ่งที่เราไม่ต้องใช้เงินลงทุน)
~~โชคดี การเจรจาประสบความสำเร็จ ได้เครดิตซื้อ 60 วัน เท่าเดิม~~
เท่ากับดิฉันสามารถรักษายอดขายไว้ได้ ไม่สูญเสียส่วนแบ่งการตลาด และยังสามารถบริหารเงิน
ให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ แม้ไม่ราบเรียบนัก
7.จากทั้งหมดที่กล่าวมา ดิฉันพบว่า ดิฉันยังมีค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ไม่น่าจะพอ ยังขาดเงินสดอีกจำนวนหนึ่ง
ในแต่ละเดือน เพื่อรักษาพนักงานไว้ให้อยู่กับเรา เพื่อที่ว่าเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ จะได้ไม่ต้อง
กังวลเรื่องหาพนักงานใหม่ (พนักงานคือทรัพยากรอันมีค่า เราไม่อยากเสียเค้าไปค่ะ) ทำไงดี???
8.ว่าที่สามี แจ้งว่าจะส่งเงินเดือนกลับมาให้ เดือนละ XXXXXX บาท แต่ก็ยังไม่พอ เอาไงต่อ???
9.สุดท้าย ไม่มีทางเลือก...ดิฉันตัดสินใจรักษาบริษัท และ พนักงานเอาไว้ (จ่ายเงินเต็มทุกคน)
โดยตัวเองต้องไปสมัครงาน ในตำแหน่งผู้จัดการแผนก ในบริษัทในนิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง
~~โชคดี (อีกแล้ว) ได้งานทันที ในอัตราเงินเดือนตามที่เรียกไป เริ่มงาน 3 วันหลังสัมภาษณ์~~
หลายคนชื่นชมว่าดิฉันโชคดี หางานได้เร็ว...แต่จะมีใครรู้บ้างไหม ว่าดิฉันขมขื่นแค่ไหน
คนที่ออกมาเป็นเจ้าของธุรกิจ (แม้จะเล็กๆ) แล้วต้องกลับไปเป็นลูกจ้างอีกครั้ง (ถึงจะเป็นผู้จัดการก็เหอะ)
มันเป็นความบอบช้ำ ที่เล่าให้ใครฟังไม่ได้จริงๆ...แต่...อย่างที่บอก
เพื่อ...พรุ่งนี้...ดิฉันจะต้องผ่านวันนี้ไปให้ได้............อดทนให้ได้นะใจเอ๋ยยยยยยย
10.ในที่สุด เวลา 1 ปีที่แสนทรมานก็ผ่านพ้นไป...วิกฤติคลี่คลาย การเงินเริ่มเข้าที่...
การวางแผนการเงินอย่างเหมาะสม บวกกับวินัยการใช้เงินที่เข้มงวด ทำให้ธุรกิจกลับมาเหมือนเดิม
โชคดีที่ลูกค้าให้ความเชื่อถือเรามาก และยังซื้อเราอย่างต่อเนื่องแม้ในภาวะวิกฤติ
โชคดีที่ลูกค้ามีสถานภาพทางการเงินที่มั่นคง...การจ่ายเงินตรงเวลาที่สุด...ชนิดที่ระบุเป็นวันได้โดยไม่ผิดพลาด
ทำให้การวางแผนทุกอย่าง เป็นไปอย่างค่อนข้างถูกต้อง
ดิฉัน ลาออกจากการเป็นลูกจ้าง ในอีก 3 เดือนต่อมา รอให้เจ้านายหาหัวหน้าแผนกคนใหม่ให้ได้ก่อน
เพื่อไม่ให้เป็นผลเสียกับงานโดยรวม...
โชคดีซ้ำซ้อน...บริษัทนี้กลายเป็นลูกค้าถาวรของดิฉันไปอีกรายแล้วค่ะ
และยังเป็นลูกค้าที่ดีมาจนถึงทุกวันนี้ 16 ปีผ่านไป 555555555555
สรุป...แง่คิดที่ดิฉันอยากฝากไว้ในกระทู้นี้ ว่าการฝ่าวิกฤติใดๆนั้น แม้ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป
ขอเพียงให้เรามีสติ และ แก้ปัญหาให้ถูกจุด อย่าสงสารตัวเอง อย่ารอความช่วยเหลือจากใคร
ในเมื่อ...ชีวิตเป็นของเรา...เราต้องลิขิตชีวิตเราเองค่ะ