หลังจากสตาทร์ออกตัวแรงด้วยเครื่องยนต์ 8 สูบ เสียงดังกระหึ่ม กระเทือนเลื่อนลั่นกันไปทั่ว พลังเครื่องยนต์ดูดหลายสิ่งให้เข้ามารวมกัน ลงมาเล่นทั้งตัว ทั้งองค์กรโดยไม่ต้องคิดไตร่ตรอง ความถูกผิด เพียงเชื่อมั่นในเครื่องยนต์ 8 สูบ ไม่สนว่าใครจะเป็นคนขับ ทั้งจุฬาลงกรณ์ฯ นักวิชาการตัวจริงตัวปลอม นักร้อง นักแสดง ทั้งยังกำลังเปล่งประกายแสง ทั้งแสงกำลังริบหรี่ใกล้จะดับ เหล่าองค์กรอิสระทั้งหลาย ทั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการสิทธิฯ ปปช. กกต. ทั้งเหล่าแพทย์ สาธารณสุข จนถึงขนาดนำธงกาชาดไทย ออกมาใช้ประกอบโดยไม่ขัดเขิน โดยมีประชาชนอีกฝ่ายทั้งที่ได้รับผลกระทบ และเฝ้าติดตามทำได้แค่มองดูตาปริบๆ กับคำถามที่เกิดขึ้นว่า มันเกิดอะไรขึ้น เรากลายเป็นพวกตกข่าว หรือ ชนกลุ่มน้อยของประเทศไปแล้วหรือนี่
กลับมามองการขับเคลื่อนของรถยนต์ 8 สูบ ซึ่งมีนายหัวใหญ่ "เตป" ผู้นี้ประสบการขับรถช่ำชอง ผ่านการขับชนผู้อื่นเสียชีวิตมาแล้ว เป็นร้อยศพ เที่ยวนี้พกพาความมั่นใจเกินร้อย ช่วงแรกทุกอย่างดูจะราบรื่น หวังในใจลึกๆว่าขอเวลาสักระยะพลังเครื่องยนต์คงสามารถดูดให้กองกำลังสีเขียวเข้ามาเติมเต็มแล้วทุกอย่างจะได้เป็นไปตามแผน เคลื่อนตัวเข้าเส้นชัยได้ เมื่อนั้นก็...บิงโก...บิงโก
แต่แล้วสิ่งที่ไม่นึกฝันก็เกิดขึ้น เส้นทางที่ราบเรียบมาด้วยดี ขับมากลับมาพบกับกำแพงเหล็ก ไม่ใช่เหล็กธรรมดาด้วยแต่เป็นเหล็กกล้า ที่เครื่องยนต์ 8 สูบไม่สามารถวิ่งฝ่าผ่านไปได้ พลังสีเขียวก็ไม่เข้ามาสักที เหมือนจะรู้ว่าเส้นทางข้างหน้าไม่ราบรื่นเหมือนที่ขบวนรถ 8 สูบคิดไว้ นายหัวเตป นึกขึ้นได้ว่า เป้าหมายมีไว้พุ่งชน ตัดสินใจพุ่งชนหลายครั้ง ก็ไม่สำเร็จ น้ำมันก็ใกล้จะหมด สภาพรถก็เริ่มแย่ ขืนชนต่อไปคงไม่ไหว อาจถึงขั้นเสียชีวิต เสียงเชียร์ โห่ร้องที่เคยดัง ค่อยๆเงียบลง เงียบลง จนบัดนี้เหลือเพียงเสียงจิ้งหรีด และ หมาที่คอยติดตามไม่กี่ตัวที่หวังจะได้เศษอาหารเลี้ยงท้องไปวันๆ
"ไม่ไหวแล้วพี่น้องเหอ ไม่ไหวแล้ว" ในใจนายหัวเตปคงเฝ้ารำพัน คงเพราะขับรถมานาน นั่งนาน ย่อม "เข็ดขา เข็ดวาน" เป็นเรื่องปกติ อย่ากระนั้นเลยแม้จะต้องเขินอายก็ต้องยอมแล้ว เพื่อรักษาชีวิตไว้
เหล่าประชาชนผู้เฝ้ามองจึงได้ยินเสียงดังฝ่าเครื่องยนต์ออกมาว่า "ยุดกอน ยุดกอน ผมนายหัวเตปนิ ขอลงกอน ไม่ไหวแล้ว"
ไม่ทราบว่าจะมีใครสงสารปล่อยให้พลขับคนนี้ได้ลงจากรถหรือไม่ ลงมาแล้วก็ยังไม่รู้ชะตากรรมเพราะที่ผ่านมาได้ขับรถพุ่งชนหลายสิ่งไว้มากมาย
คงต้องติดตามดูกันต่อไป...งานนี้ภาษามวยบอกว่า "ห้ามกระพริบตา"
.(แก้ไขจัดระบบ)
"ยุดกอน ยุดกอน ผมนายหัวเตป นิ ลากไม่รอดแล้วขอลงกอน"
กลับมามองการขับเคลื่อนของรถยนต์ 8 สูบ ซึ่งมีนายหัวใหญ่ "เตป" ผู้นี้ประสบการขับรถช่ำชอง ผ่านการขับชนผู้อื่นเสียชีวิตมาแล้ว เป็นร้อยศพ เที่ยวนี้พกพาความมั่นใจเกินร้อย ช่วงแรกทุกอย่างดูจะราบรื่น หวังในใจลึกๆว่าขอเวลาสักระยะพลังเครื่องยนต์คงสามารถดูดให้กองกำลังสีเขียวเข้ามาเติมเต็มแล้วทุกอย่างจะได้เป็นไปตามแผน เคลื่อนตัวเข้าเส้นชัยได้ เมื่อนั้นก็...บิงโก...บิงโก
แต่แล้วสิ่งที่ไม่นึกฝันก็เกิดขึ้น เส้นทางที่ราบเรียบมาด้วยดี ขับมากลับมาพบกับกำแพงเหล็ก ไม่ใช่เหล็กธรรมดาด้วยแต่เป็นเหล็กกล้า ที่เครื่องยนต์ 8 สูบไม่สามารถวิ่งฝ่าผ่านไปได้ พลังสีเขียวก็ไม่เข้ามาสักที เหมือนจะรู้ว่าเส้นทางข้างหน้าไม่ราบรื่นเหมือนที่ขบวนรถ 8 สูบคิดไว้ นายหัวเตป นึกขึ้นได้ว่า เป้าหมายมีไว้พุ่งชน ตัดสินใจพุ่งชนหลายครั้ง ก็ไม่สำเร็จ น้ำมันก็ใกล้จะหมด สภาพรถก็เริ่มแย่ ขืนชนต่อไปคงไม่ไหว อาจถึงขั้นเสียชีวิต เสียงเชียร์ โห่ร้องที่เคยดัง ค่อยๆเงียบลง เงียบลง จนบัดนี้เหลือเพียงเสียงจิ้งหรีด และ หมาที่คอยติดตามไม่กี่ตัวที่หวังจะได้เศษอาหารเลี้ยงท้องไปวันๆ
"ไม่ไหวแล้วพี่น้องเหอ ไม่ไหวแล้ว" ในใจนายหัวเตปคงเฝ้ารำพัน คงเพราะขับรถมานาน นั่งนาน ย่อม "เข็ดขา เข็ดวาน" เป็นเรื่องปกติ อย่ากระนั้นเลยแม้จะต้องเขินอายก็ต้องยอมแล้ว เพื่อรักษาชีวิตไว้
เหล่าประชาชนผู้เฝ้ามองจึงได้ยินเสียงดังฝ่าเครื่องยนต์ออกมาว่า "ยุดกอน ยุดกอน ผมนายหัวเตปนิ ขอลงกอน ไม่ไหวแล้ว"
ไม่ทราบว่าจะมีใครสงสารปล่อยให้พลขับคนนี้ได้ลงจากรถหรือไม่ ลงมาแล้วก็ยังไม่รู้ชะตากรรมเพราะที่ผ่านมาได้ขับรถพุ่งชนหลายสิ่งไว้มากมาย
คงต้องติดตามดูกันต่อไป...งานนี้ภาษามวยบอกว่า "ห้ามกระพริบตา"
.(แก้ไขจัดระบบ)