*** หุ้น KYE มีราคา Par 10 บาท จำนวนหุ้นจึงต้องทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว/ราคา Par ก่อนถึงจะได้จำนวนหุ้นทั้งหมดนะ ***
ดังนั้น จำนวนหุ้นทั้งหมดคือ 220,000,000/10 = 22,000,000 ล้านหุ้น
(น้องสี่ขอเกริ่นไว้ก่อนน้า เพราะกลัวว่า
เด่วจะตกใจหรืองงว่าทำไมเค้ามีกำไรต่อหุ้นเยอะจังเลย ทำไมจ่ายเงินปันผลเยอะจังเลย

)
ลักษณะธุรกิจก็น่าสนใจที่เดียวครับ
เน้นสินค้าภายใต้ Brand Mitsubishi

ซึ่งสินค้าของทาง Mitsubishi น้องสี่ว่าได้คุณภาพและมีมาตรฐานสูงเลยทีเดียวครับ (จากการที่น้องสี่ใช้สินค้าของเค้านะ

)
ด้านของผู้ถือหุ้นรายใหญ่
จะเห็นว่า ทาง Mitsubishi ถือหุ้นรายใหญ่เป็นอันดับ 1 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงในระดับหนึ่งครับ

แปลว่าทางเค้าต้องมั่นใจในธุรกิจตัวเองถึงกล้าถือหุ้นอยู่เยอะครับ
ด้านงบการเงินนะครับ
จะเห็นว่า KYE มีกำไรสะสมอยู่เยอะพอสมควรเลยนะครับ ประมาณ 3422 ล้านบาทและมีส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ประมาณ 4370 ล้านบาท
ดังนั้นเมื่อเรานำมาคิดเป็น % ว่า กำไรสะสมคิดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมด จะได้ดังนี้ครับ
(3422/4370)*100 = 78.30 %
น้องสี่จึงมองว่า KYE ดำเนินธุรกิจได้ดีทีเดียวครับ คือกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นในแต่ละปี ทาง KYE เก็บสะสมมาเรื่อยๆ
จนกระทั่งถึงปัจจุบันได้กำไรสะสมคิดเป็น 78.30 % ของส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมด
เป็นการบ่งบอกถึงศักยภาพในการดำเนินงานและมีประสบการณ์ในการขายสินค้าของกิจการครับ
หรือถ้ามองในอีกด้านหนึ่งก็คือ KYE มีเงินสดอยู่ในกิจการเยอะนั่นเอง
ซึ่งหมายความว่า ถ้าเราสามารถซื้อหุ้น KYE ในช่วงที่ราคา Panic ลงมาเพียงระยะสั้นๆ
โดยที่พื้นฐานของ KYE ไม่เปลี่ยน เราก็เสมือนได้ซื้อหุ้นในราคาที่พอกับกิจการ
( อย่างตอนนี้ Book Value อยู่ที่ประมาณ 200 บาท ถ้าได้ราคาใกล้ๆ 200 บาท น้องสี่มองว่าไม่แพงนะ
แต่น้องสี่ก็ไม่รู้ว่าราคาจะลงมาถึงเมื่อไหร่

อดทนรออยู่เหมือนกัน แฮ่ะๆ

)
*** งบการเงินของ KYE จะมีการปิดรอบบัญชีที่เร็วกว่ารอบบัญชีของงบการเงินบริษัทอื่น
ซึ่งตรงนี้น้องสี่คิดว่าน่าจะเป็นผลมาจากการที่ KYE มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นบริษัทญี่ปุ่น
ดังนั้น รอบบัญชีของทางประเทศญี่ปุ่นจะปิดรอบบัญชีที่ไม่ตรงรอบกับทางประเทศไทย
เลยเป็นสาเหตุที่มาของการปิดงบการเงินในช่วงปลายเดือนมีนาคมครับผม

***
มาดูกันในส่วนของงบการเงินนะครับภาพใหญ่กันนะครับ
1. ยอดขายของ KYE ขยับโตขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2553 2554 2555 2556 แต่ทว่าเริ่มชะลอตัวในปี 2557
ซึ่งตรงนี้เองอาจต้องไปหาสาเหตุว่าทำไมยอดขายถึงลดลง

ถ้าลดลงแบบพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนอันนี้น้องสี่มองว่าน่ารอช้อนหลังจ่ายเงินปันผลนะ
2. กำไรสุทธิของกิจการ ถ้ามองปี 2556 กับ 2557 จะพบว่า กำไรในปี 2557 หายไปเยอะพอสมควรเลย

จากในปี 2556 กำไร 850 ล้านบาท และในปี 2557 3 ไตรมาสแรกรวมได้ประมาณ 500 ล้านบาท
(แต่ในปี 2557 ยังเหลืออีก 1 ไตรมาสคือ ช่วงเดือน มกราคม 2557 – มีนาคม 2557
ซึ่งในช่วงนี้น้องสี่ไม่แน่ใจว่าการเมืองจะกระทบต่อกิจการมากไหม เพราะค่อนข้างอยู่ในช่วงที่การเมืองเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ

)
ดังนั้น วิธีที่น่าจะดีที่สุดคือรอดูผลประกอบการไปก่อนสักระยะว่า งบรวมปี 2557 เป็นอย่างไร
และให้ดูผลการดำเนินในช่วง ไตรมาที่ 1 – 2 ของงบการปี 2558 อีกทีนึงครับ
3. อัตรา Net Profit Margin อยู่ที่ประมาณ 7-8% นะครับ

(ยกเว้นในช่วงปี 2552 – 2553 นะครับที่ อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 12% ซึ่งค่อนข้างลดลงอย่างมากในปี 2553 – 2557
น้องสี่คิดว่าน่าจะเป็นผลมาจากการขึ้นค่าแรง เงินเฟ้อต่างๆ ก็อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้นทุน + ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นะครับ)
แต่โดยรวม อัตราทำกำไรก็ถือว่าเป็นถือน่าพอใจนะครับ อยู่ระดับกลางๆ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไปครับ
4. ในด้านของ P/E , P/BV , Book Value(มูลค่าของกิจการ)
ทาง KYE ถือว่าดำเนินการได้ค่อนข้างดี – ดีมาก เลยครับ
ด้าน P/E < 10 เท่า น้องสี่มองว่าก็เหมาะสมนะครับ

P/BV ประมาณ 1 เท่านิดๆ ก็อาจจะตีความได้ว่า กิจการยังไม่เกินมูลค่ามากนัก
(คือถ้าเราทนถือได้อย่างน้อย 2 – 3 ปี ราคาตอนนี้อาจจะถูกก็ได้ครับ เพราะมีเงินปันผลทยอยรับมาเรื่อยๆ ครับ

)
5. ในด้านของ Dividend Yield นะครับ
จะเห็นว่า KYE ค่อนข้างมี Dividend Yield ที่ค่อนข้างสูงนะครับ โดยเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา

( 9.88% + 7.92% + 5.99% + 8.08% + (ปี 2557 น้องสี่ขอประมาณที่ 6% ละกันนะครับ)) / 5 ปี = 7.50% ต่อปี
นโยบายการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 50% นะครับ คือถ้ากำไรต่อหุ้น 40 บาท ทาง KYE ก็หาร 2 แล้วจ่ายที่ 20 บาท/หุ้น
ถ้ากำไรต่อหุ้น 20 บาท ก็หาร 2 แล้วจ่ายเงินปันผลที่ 10 บาท/หุ้น ครับผม
ดังนั้น น้องสี่จึงมองว่า KYE จ่ายเงินปันผลที่ใช้ได้เลยนะครับ KYE จังน่าจะเป็นหุ้นปันผลที่น่าสนใจระดับหนึ่งเลยครับ
แต่ก็ต้องดูในเรื่องของอนาคตด้วยนะครับว่า KYE จะยังคงขาย Product ของตัวเองได้อยู่ไหม

ถ้าเราประเมินแล้วน่าจะได้ไม่มีปัญหา ก็ค่อยๆ ทยอยเก็บครับ

แต่หากประเมินแล้วว่า Product ของ KYE สู้ของยี่ห้ออื่นไม่ได้ อันนี้ก็อาจจะกระทบพื้นฐานได้ครับ อาจต้องเลี่ยงหุ้นนี้ไปครับ
ในส่วนนี้ น้องสี่มองตรงวันจ่ายเงินปันผลครับ ซึ่งถ้าวันขึ้น XD กับ วันจ่ายเงินปันผลอยู่ในเดือนเดียวกัน

น้องสี่มองว่ากิจการแข็งแกร่งเรื่องสภาพคล่องของเงินสดครับ

(คือ ประกาศ XD ต้นเดือน และจ่ายเงินปันผลปลายเดือน ซึ่งแปลว่าเราจะได้เงินสดมาเร็วและสามารถนำไปลงทุนต่อยอดได้ครับ
เพราะหากอีกบริษัท XD เดือนนี้ แต่ดันไปจ่ายเงินปันผลในอีก 2 เดือนข้างหน้า ในช่วง/ระหว่างรอ 2 เดือนนี้
เราก็อาจเสียโอกาสในการนำเงินสดจากปันผลไปต่อยอดลงทุนได้ครับ
( บางท่านอาจคิดว่า 2 เดือนเองไม่น่าจะกระทบมากเท่าไหร่หรอก อันนี้น้องสี่ยอมรับครับ

แต่น้องสี่ก็คิดว่าถ้าจำนวนเงินปันผลนั้นค่อนข้างเยอะ บางท่านอาจได้เงินเป็นจำนวนหลักแสนบาท หรือหลักล้านบาท
อันนี้จะเริ่มเห็นได้ชัดว่าถ้าได้เงินมาก่อน จะสามารถนำไปลงทุนต่อยอดกระทบเงินทุนของเราได้ครับ
หรือแม้กระทั่งนำไปใช้จ่าย ซื้อของต่างๆ เพิ่มสภาพคล่องในระบบ ให้เงินไหลไปสู่คนอื่นๆ ได้ใช้จ่ายกันต่อไปได้ครับ

)
เรื่องของราคา Par ครับ
ในส่วนของราคา Par น้องสี่มองว่า ถ้าในอนาคตกิจการมีการ ปรับราคา Par ให้เหลือ 1 บาท

น่าจะส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นในแง่ของสภาพคล่องนะครับ
คือ ณ ตอนนี้ ราคา Par 10 บาท มูลค่าหุ้นอยู่ที่ 250 บาท/หุ้น
( ณ ราคา Par 10 บาท , จำนวนหุ้นทั้งหมดคือ 22 ล้านหุ้น , EPS = 30 บาท ดังนั้น ปันผล 50% = 15 บาท/หุ้น )
ดังนั้น ถ้า KYE ปรับ Par 1 บาท มูลค่าหุ้นจะอยู่ที่ 250/10บาท = 25 บาท/หุ้น
( ณ ราคา Par 1 บาท , จำนวนหุ้นทั้งหมดคือ 220 ล้านหุ้น , EPS = 3 บาท ดังนั้น ปันผล 50% = 1.50 บาท/หุ้น )
ซึ่งในมุมมองนักลงทุนจะมีความรู้สึกว่า หุ้นนี้ถูกจังเลย ราคา 25 บาท น่าเข้าซื้อไปลงทุน (จาก 250 บาทเหลือ 25 บาท)

ดังนั้น ผู้ที่ถือลงทุนในช่วงแรกๆ ก่อนทำการปรับราคา Par ก็น่าจะมีโอกาสในการทำกำไรในด้านของส่วนต่างราคาได้เพิ่มขึ้นครับ
(แต่ว่าถ้ากิจการดีอยู่แล้ว เราจะขายหุ้นออกเพราะได้กำไรส่วนต่างราคาอย่างเดียวก็ไม่คุ้มค่านะครับ
เพราะถ้าเราถือหุ้นและเติบโตไปกับกิจการ ได้เงินปันผลมาเรื่อยๆ ก็น่าจะดีกว่า เสมือนมีเครื่องผลิตเงินครับ

)
ในมุมด้านกราฟนะครับ น้องสี่แบ่งเป็นภาพ Week กับ ภาพ Month นะครับ
ในมุมมองภาพ Week 
จะเห็นว่าจริงๆ แล้วหุ้น KYE น่าจะเป็นหุ้น Side Way นะครับ เนื่องจากว่าสภาพคล่องของหุ้น KYE น้อยมากๆ เลยครับ

(ยกเว้นในช่วงปี 2011 ที่น้ำท่วมราคาเลย Panic ลงมาครับและจนถึงตอนนี้ ราคาก็ยังไม่ไป ณ จุด Panic อีกเลยครับ)
จากผลที่สภาพคล่องน้อย เลยทำให้พวก MACD,RSI,SSTO ใช้ไม่ได้ค่อยผลเลยครับ อีกทั้งจะใช้เส้น Moving Average ก็ลำบากครับ
ดังนั้น น้องสี่ของมองที่ราคา Book Value ของกิจการประมาณ 200 บาทนะครับ

(แต่จริงๆ คาดประมาณช่วงราคาที่ปลอดภัยน้องสี่มองที่ประมาณ 200 – 220 บาทนะครับ
แต่ไม่รู้ว่าจะมาถึงไหมครับ ถ้ามาถึงน้องสี่ว่าจะเก็บไว้นิดหน่อยนะครับ

)
ตัวอย่างครับ สภาพคล่องน้อยจริงๆ ครับ
ต่อมาในภาพ Month นะครับ
ด้านของราคาหุ้น จะเห็นว่าจากราคา 27.75 บาทในปี 2009 ขยับพุ่งขึ้นมาเพียง 1 ปี มาที่ ราคาประมาณ 200 กว่าบาทนั้น
เป็นผลมาจากพื้นฐานเปลี่ยนครับ คือยอดขายของ KYE เพิ่มสูงขึ้นครับ ทำให้กำไรโตตามไปด้วยครับผม
ภาพ Month จะเห็นชัดเลยครับว่า KYE กำลังทำ Side Way เรื่อยๆ อยู่ครับ
(อาจมีขึ้นแรงๆ ลงแรงๆ บ้างผสมกันไปนะครับ)
และในด้านของ MACD , RSI และ SSTO ก็อาจจะเริ่มมองได้ว่าน่าจะเป็นจุดที่เริ่มเก็บหุ้นไว้บ้างแล้วก็เป็นได้ครับ

(แต่อย่างที่บอกในช่วงกราฟ Week ครับ Volume น้อยทำให้การอ่านกราฟมีการ Error ได้ง่าย)
ดังนั้นถ้าจะเข้าถือลงทุนจริงๆ คงต้องรอหลังการจ่ายเงินปันผลและดูผลประกอบการของปีนี้ก่อนน่าจะดีที่สุดครับ
เพราะผลกระทบจากหลายๆด้านไม่ว่าจะเป็นภายนอกประเทศ หรือ ภายในประเทศเอง ค่อนข้างยากต่อการคาดการณ์ครับ
ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้ น้องสี่มองว่า จดหุ้นไว้ใน Waiting List ก่อนครับ
แล้วค่อยๆ ติดตามดูเป็นระยะๆ ถ้าเรามองแล้วว่าถึงจังหวะน่าเข้าลงทุน ก็ค่อยซื้อครับผม
การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนและนักลงทุนควรหาความรู้และตัดสินใจให้ดีก่อนการลงทุนนะครับ จุ๊ฟๆ
ปล. มีคนมาถามประมาณว่า น้องสี่ทำแบบนี้น้องสี่ได้อะไร
น้องสี่ขอตอบตรงนี้เลยนะกันนะครับ เพราะว่าน้องสี่อยากจะแบ่งปันหุ้นที่น้องสี่คิดว่าน่าจะดีและมีปันผลที่น่าสนใจครับ
และที่สำคัญตอนนี้น้องสี่ยังพอมีเวลาในการวิเคราะห์หุ้นเลยอยากจะทำในสิ่งที่น้องสี่รักครับให้ดีที่สุดครับ
วิเคราะห์หุ้น KYE : บริษัท กันยงอีเลคทริก จำกัด (มหาชน)
*** หุ้น KYE มีราคา Par 10 บาท จำนวนหุ้นจึงต้องทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว/ราคา Par ก่อนถึงจะได้จำนวนหุ้นทั้งหมดนะ ***
ดังนั้น จำนวนหุ้นทั้งหมดคือ 220,000,000/10 = 22,000,000 ล้านหุ้น
(น้องสี่ขอเกริ่นไว้ก่อนน้า เพราะกลัวว่า
เด่วจะตกใจหรืองงว่าทำไมเค้ามีกำไรต่อหุ้นเยอะจังเลย ทำไมจ่ายเงินปันผลเยอะจังเลย
ลักษณะธุรกิจก็น่าสนใจที่เดียวครับ
เน้นสินค้าภายใต้ Brand Mitsubishi
ซึ่งสินค้าของทาง Mitsubishi น้องสี่ว่าได้คุณภาพและมีมาตรฐานสูงเลยทีเดียวครับ (จากการที่น้องสี่ใช้สินค้าของเค้านะ
ด้านของผู้ถือหุ้นรายใหญ่
จะเห็นว่า ทาง Mitsubishi ถือหุ้นรายใหญ่เป็นอันดับ 1 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงในระดับหนึ่งครับ
แปลว่าทางเค้าต้องมั่นใจในธุรกิจตัวเองถึงกล้าถือหุ้นอยู่เยอะครับ
ด้านงบการเงินนะครับ
จะเห็นว่า KYE มีกำไรสะสมอยู่เยอะพอสมควรเลยนะครับ ประมาณ 3422 ล้านบาทและมีส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ประมาณ 4370 ล้านบาท
ดังนั้นเมื่อเรานำมาคิดเป็น % ว่า กำไรสะสมคิดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมด จะได้ดังนี้ครับ
(3422/4370)*100 = 78.30 %
น้องสี่จึงมองว่า KYE ดำเนินธุรกิจได้ดีทีเดียวครับ คือกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นในแต่ละปี ทาง KYE เก็บสะสมมาเรื่อยๆ
จนกระทั่งถึงปัจจุบันได้กำไรสะสมคิดเป็น 78.30 % ของส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมด
เป็นการบ่งบอกถึงศักยภาพในการดำเนินงานและมีประสบการณ์ในการขายสินค้าของกิจการครับ
หรือถ้ามองในอีกด้านหนึ่งก็คือ KYE มีเงินสดอยู่ในกิจการเยอะนั่นเอง
ซึ่งหมายความว่า ถ้าเราสามารถซื้อหุ้น KYE ในช่วงที่ราคา Panic ลงมาเพียงระยะสั้นๆ
โดยที่พื้นฐานของ KYE ไม่เปลี่ยน เราก็เสมือนได้ซื้อหุ้นในราคาที่พอกับกิจการ
( อย่างตอนนี้ Book Value อยู่ที่ประมาณ 200 บาท ถ้าได้ราคาใกล้ๆ 200 บาท น้องสี่มองว่าไม่แพงนะ
แต่น้องสี่ก็ไม่รู้ว่าราคาจะลงมาถึงเมื่อไหร่
*** งบการเงินของ KYE จะมีการปิดรอบบัญชีที่เร็วกว่ารอบบัญชีของงบการเงินบริษัทอื่น
ซึ่งตรงนี้น้องสี่คิดว่าน่าจะเป็นผลมาจากการที่ KYE มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นบริษัทญี่ปุ่น
ดังนั้น รอบบัญชีของทางประเทศญี่ปุ่นจะปิดรอบบัญชีที่ไม่ตรงรอบกับทางประเทศไทย
เลยเป็นสาเหตุที่มาของการปิดงบการเงินในช่วงปลายเดือนมีนาคมครับผม
มาดูกันในส่วนของงบการเงินนะครับภาพใหญ่กันนะครับ
1. ยอดขายของ KYE ขยับโตขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2553 2554 2555 2556 แต่ทว่าเริ่มชะลอตัวในปี 2557
ซึ่งตรงนี้เองอาจต้องไปหาสาเหตุว่าทำไมยอดขายถึงลดลง
ถ้าลดลงแบบพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนอันนี้น้องสี่มองว่าน่ารอช้อนหลังจ่ายเงินปันผลนะ
2. กำไรสุทธิของกิจการ ถ้ามองปี 2556 กับ 2557 จะพบว่า กำไรในปี 2557 หายไปเยอะพอสมควรเลย
จากในปี 2556 กำไร 850 ล้านบาท และในปี 2557 3 ไตรมาสแรกรวมได้ประมาณ 500 ล้านบาท
(แต่ในปี 2557 ยังเหลืออีก 1 ไตรมาสคือ ช่วงเดือน มกราคม 2557 – มีนาคม 2557
ซึ่งในช่วงนี้น้องสี่ไม่แน่ใจว่าการเมืองจะกระทบต่อกิจการมากไหม เพราะค่อนข้างอยู่ในช่วงที่การเมืองเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้น วิธีที่น่าจะดีที่สุดคือรอดูผลประกอบการไปก่อนสักระยะว่า งบรวมปี 2557 เป็นอย่างไร
และให้ดูผลการดำเนินในช่วง ไตรมาที่ 1 – 2 ของงบการปี 2558 อีกทีนึงครับ
3. อัตรา Net Profit Margin อยู่ที่ประมาณ 7-8% นะครับ
(ยกเว้นในช่วงปี 2552 – 2553 นะครับที่ อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 12% ซึ่งค่อนข้างลดลงอย่างมากในปี 2553 – 2557
น้องสี่คิดว่าน่าจะเป็นผลมาจากการขึ้นค่าแรง เงินเฟ้อต่างๆ ก็อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้นทุน + ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นะครับ)
แต่โดยรวม อัตราทำกำไรก็ถือว่าเป็นถือน่าพอใจนะครับ อยู่ระดับกลางๆ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไปครับ
4. ในด้านของ P/E , P/BV , Book Value(มูลค่าของกิจการ)
ทาง KYE ถือว่าดำเนินการได้ค่อนข้างดี – ดีมาก เลยครับ
ด้าน P/E < 10 เท่า น้องสี่มองว่าก็เหมาะสมนะครับ
P/BV ประมาณ 1 เท่านิดๆ ก็อาจจะตีความได้ว่า กิจการยังไม่เกินมูลค่ามากนัก
(คือถ้าเราทนถือได้อย่างน้อย 2 – 3 ปี ราคาตอนนี้อาจจะถูกก็ได้ครับ เพราะมีเงินปันผลทยอยรับมาเรื่อยๆ ครับ
5. ในด้านของ Dividend Yield นะครับ
จะเห็นว่า KYE ค่อนข้างมี Dividend Yield ที่ค่อนข้างสูงนะครับ โดยเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา
( 9.88% + 7.92% + 5.99% + 8.08% + (ปี 2557 น้องสี่ขอประมาณที่ 6% ละกันนะครับ)) / 5 ปี = 7.50% ต่อปี
นโยบายการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 50% นะครับ คือถ้ากำไรต่อหุ้น 40 บาท ทาง KYE ก็หาร 2 แล้วจ่ายที่ 20 บาท/หุ้น
ถ้ากำไรต่อหุ้น 20 บาท ก็หาร 2 แล้วจ่ายเงินปันผลที่ 10 บาท/หุ้น ครับผม
ดังนั้น น้องสี่จึงมองว่า KYE จ่ายเงินปันผลที่ใช้ได้เลยนะครับ KYE จังน่าจะเป็นหุ้นปันผลที่น่าสนใจระดับหนึ่งเลยครับ
แต่ก็ต้องดูในเรื่องของอนาคตด้วยนะครับว่า KYE จะยังคงขาย Product ของตัวเองได้อยู่ไหม
ถ้าเราประเมินแล้วน่าจะได้ไม่มีปัญหา ก็ค่อยๆ ทยอยเก็บครับ
แต่หากประเมินแล้วว่า Product ของ KYE สู้ของยี่ห้ออื่นไม่ได้ อันนี้ก็อาจจะกระทบพื้นฐานได้ครับ อาจต้องเลี่ยงหุ้นนี้ไปครับ
ในส่วนนี้ น้องสี่มองตรงวันจ่ายเงินปันผลครับ ซึ่งถ้าวันขึ้น XD กับ วันจ่ายเงินปันผลอยู่ในเดือนเดียวกัน
น้องสี่มองว่ากิจการแข็งแกร่งเรื่องสภาพคล่องของเงินสดครับ
(คือ ประกาศ XD ต้นเดือน และจ่ายเงินปันผลปลายเดือน ซึ่งแปลว่าเราจะได้เงินสดมาเร็วและสามารถนำไปลงทุนต่อยอดได้ครับ
เพราะหากอีกบริษัท XD เดือนนี้ แต่ดันไปจ่ายเงินปันผลในอีก 2 เดือนข้างหน้า ในช่วง/ระหว่างรอ 2 เดือนนี้
เราก็อาจเสียโอกาสในการนำเงินสดจากปันผลไปต่อยอดลงทุนได้ครับ
( บางท่านอาจคิดว่า 2 เดือนเองไม่น่าจะกระทบมากเท่าไหร่หรอก อันนี้น้องสี่ยอมรับครับ
แต่น้องสี่ก็คิดว่าถ้าจำนวนเงินปันผลนั้นค่อนข้างเยอะ บางท่านอาจได้เงินเป็นจำนวนหลักแสนบาท หรือหลักล้านบาท
อันนี้จะเริ่มเห็นได้ชัดว่าถ้าได้เงินมาก่อน จะสามารถนำไปลงทุนต่อยอดกระทบเงินทุนของเราได้ครับ
หรือแม้กระทั่งนำไปใช้จ่าย ซื้อของต่างๆ เพิ่มสภาพคล่องในระบบ ให้เงินไหลไปสู่คนอื่นๆ ได้ใช้จ่ายกันต่อไปได้ครับ
เรื่องของราคา Par ครับ
ในส่วนของราคา Par น้องสี่มองว่า ถ้าในอนาคตกิจการมีการ ปรับราคา Par ให้เหลือ 1 บาท
น่าจะส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นในแง่ของสภาพคล่องนะครับ
คือ ณ ตอนนี้ ราคา Par 10 บาท มูลค่าหุ้นอยู่ที่ 250 บาท/หุ้น
( ณ ราคา Par 10 บาท , จำนวนหุ้นทั้งหมดคือ 22 ล้านหุ้น , EPS = 30 บาท ดังนั้น ปันผล 50% = 15 บาท/หุ้น )
ดังนั้น ถ้า KYE ปรับ Par 1 บาท มูลค่าหุ้นจะอยู่ที่ 250/10บาท = 25 บาท/หุ้น
( ณ ราคา Par 1 บาท , จำนวนหุ้นทั้งหมดคือ 220 ล้านหุ้น , EPS = 3 บาท ดังนั้น ปันผล 50% = 1.50 บาท/หุ้น )
ซึ่งในมุมมองนักลงทุนจะมีความรู้สึกว่า หุ้นนี้ถูกจังเลย ราคา 25 บาท น่าเข้าซื้อไปลงทุน (จาก 250 บาทเหลือ 25 บาท)
ดังนั้น ผู้ที่ถือลงทุนในช่วงแรกๆ ก่อนทำการปรับราคา Par ก็น่าจะมีโอกาสในการทำกำไรในด้านของส่วนต่างราคาได้เพิ่มขึ้นครับ
(แต่ว่าถ้ากิจการดีอยู่แล้ว เราจะขายหุ้นออกเพราะได้กำไรส่วนต่างราคาอย่างเดียวก็ไม่คุ้มค่านะครับ
เพราะถ้าเราถือหุ้นและเติบโตไปกับกิจการ ได้เงินปันผลมาเรื่อยๆ ก็น่าจะดีกว่า เสมือนมีเครื่องผลิตเงินครับ
ในมุมด้านกราฟนะครับ น้องสี่แบ่งเป็นภาพ Week กับ ภาพ Month นะครับ
ในมุมมองภาพ Week
จะเห็นว่าจริงๆ แล้วหุ้น KYE น่าจะเป็นหุ้น Side Way นะครับ เนื่องจากว่าสภาพคล่องของหุ้น KYE น้อยมากๆ เลยครับ
(ยกเว้นในช่วงปี 2011 ที่น้ำท่วมราคาเลย Panic ลงมาครับและจนถึงตอนนี้ ราคาก็ยังไม่ไป ณ จุด Panic อีกเลยครับ)
จากผลที่สภาพคล่องน้อย เลยทำให้พวก MACD,RSI,SSTO ใช้ไม่ได้ค่อยผลเลยครับ อีกทั้งจะใช้เส้น Moving Average ก็ลำบากครับ
ดังนั้น น้องสี่ของมองที่ราคา Book Value ของกิจการประมาณ 200 บาทนะครับ
(แต่จริงๆ คาดประมาณช่วงราคาที่ปลอดภัยน้องสี่มองที่ประมาณ 200 – 220 บาทนะครับ
แต่ไม่รู้ว่าจะมาถึงไหมครับ ถ้ามาถึงน้องสี่ว่าจะเก็บไว้นิดหน่อยนะครับ
ตัวอย่างครับ สภาพคล่องน้อยจริงๆ ครับ
ต่อมาในภาพ Month นะครับ
ด้านของราคาหุ้น จะเห็นว่าจากราคา 27.75 บาทในปี 2009 ขยับพุ่งขึ้นมาเพียง 1 ปี มาที่ ราคาประมาณ 200 กว่าบาทนั้น
เป็นผลมาจากพื้นฐานเปลี่ยนครับ คือยอดขายของ KYE เพิ่มสูงขึ้นครับ ทำให้กำไรโตตามไปด้วยครับผม
ภาพ Month จะเห็นชัดเลยครับว่า KYE กำลังทำ Side Way เรื่อยๆ อยู่ครับ
(อาจมีขึ้นแรงๆ ลงแรงๆ บ้างผสมกันไปนะครับ)
และในด้านของ MACD , RSI และ SSTO ก็อาจจะเริ่มมองได้ว่าน่าจะเป็นจุดที่เริ่มเก็บหุ้นไว้บ้างแล้วก็เป็นได้ครับ
(แต่อย่างที่บอกในช่วงกราฟ Week ครับ Volume น้อยทำให้การอ่านกราฟมีการ Error ได้ง่าย)
ดังนั้นถ้าจะเข้าถือลงทุนจริงๆ คงต้องรอหลังการจ่ายเงินปันผลและดูผลประกอบการของปีนี้ก่อนน่าจะดีที่สุดครับ
เพราะผลกระทบจากหลายๆด้านไม่ว่าจะเป็นภายนอกประเทศ หรือ ภายในประเทศเอง ค่อนข้างยากต่อการคาดการณ์ครับ
ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้ น้องสี่มองว่า จดหุ้นไว้ใน Waiting List ก่อนครับ
แล้วค่อยๆ ติดตามดูเป็นระยะๆ ถ้าเรามองแล้วว่าถึงจังหวะน่าเข้าลงทุน ก็ค่อยซื้อครับผม
การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนและนักลงทุนควรหาความรู้และตัดสินใจให้ดีก่อนการลงทุนนะครับ จุ๊ฟๆ
Date : 23 FEB 2014
Time : 21.35 น.
บทวิเคราะห์ที่น้องสี่ได้วิเคราะห์ไว้นะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ปล. มีคนมาถามประมาณว่า น้องสี่ทำแบบนี้น้องสี่ได้อะไร
น้องสี่ขอตอบตรงนี้เลยนะกันนะครับ เพราะว่าน้องสี่อยากจะแบ่งปันหุ้นที่น้องสี่คิดว่าน่าจะดีและมีปันผลที่น่าสนใจครับ
และที่สำคัญตอนนี้น้องสี่ยังพอมีเวลาในการวิเคราะห์หุ้นเลยอยากจะทำในสิ่งที่น้องสี่รักครับให้ดีที่สุดครับ