ผมคิดว่าโดยภาพรวมของ SET50 ราคาที่ควรจะซื้อขายกันควรอยู่ที่ 1.5-1.8BV, P/E 11 - 13 , เงินปันผลควรอยู่ 4%
มองไปข้างหน้า ปัจจัยที่จะเริ่มเข้ามากระทบเศรษฐกิจและกำไรในอีก 1 ปีข้างหน้า ผมให้น้ำหนักเรื่องเพดานก่อหนี้ของ
ผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คือคนชั้นล่างและกลาง รวมถึงภาคการส่งออกที่ไม่น่าจะสดใสมากนัก เนื่องจากผู้ซื้อไม่ค่อยจะมีแรงเท่าไหร่
หากฝั่ง US, EU, Japan ยังพิมพ์เงินมาใช้ กำลังตรงนี้ก็ยังอยู่ได้แต่มันจะเป็นผลร้ายในระยะยาว เพราะสุดท้ายเงินที่เข้าตลาด
มันจะไหลไปหาผู้ประกอบการรายใหญ่ และทั้งโลกจะติดกับดัก ดอกเบี้ยต่ำ
หากขยับดอกเบี้ยก็จะไปกระทบ เพดานก่อหนี้ของผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ถ้าปล่อยให้ดอกเบี้ยต่ำอย่างนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้มากไปกว่านี้ เพราะการพิมพ์เงิน เป็นเพียงการโกงการล้มละลายให้นานยิ่งขึ้น
หากจะให้เศรษฐกิจกลับมา ต้องยอมล้างไพ่ ธนาคารจะล้มต้องให้ล้ม บางทีระบบการสร้างหนี้ของโลกได้เดิมมาไกลเกินไปหรือเปล่า
ผมมีเพื่อนอยู่ KKP เมื่อก่อนลูกค้าต้องผ่านเกฎณฑ์ 5 ข้อ ตอนนี้ 2-3ข้อก็เพียงพอ
เมื่อก่อน(10ปี) เคยผ่อนรถกันที่ 24-48 เดือน ตอนนี้ระบบดึงเงินอนาคตของผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ออกมาใช้ด้วยการผ่อน 84 เดือน
แล้วต่อไปเราจะเหลือช่องว่างตรงไหนให้เศรษฐกิจได้เดินต่อไป
สำหรับมุมมองผมสำหรับปีหน้าคือ ดีสุดคือผลกำไรของบริษัทจะเติบโตไม่มาก และแย่สุดคือเติบโตติดลบ หากหุ้นขึ้นก็ไปได้ไม่มาก ถ้าหุ้นลง หุ้นที่เคยเป็นความหวัง P/E สูงๆและเติบโตสูงมาหลายปี(ผิดปกติมา 2-3 ปี) จะต้องกลับไปซื้อขายกันในราคาเหมาะสม โอกาสคือมันจะดึงราคาหุ้นลงมากกว่าที่จะขึ้นไป
1.สื่อสาร คาดหวังว่าสัมปทานใหม่จะมีต้นทุนลดลง แต่ P/E ก็อยู่ในระดับสูงมาก ลองดูช่วงที่ผ่านมาตอนก่อนที่กลุ่มนี้จะ break-even และหลัง จะเห็นว่าตอนขาดทุนหุ้นมีราคาสูงกว่าตอนมีกำไร (ภายหลังปี 40)เพราะอะไร?
2.ธนาคาร เมื่อภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ P/E ธนาคารดูเหมือนไม่แพง แต่ถ้าเปรียบเทียบกับในเอเชียเราก็ไม่ถูก หากดูจีน, เกาหลี pe ต่ำกว่า 10 กำไรกลุ่มนี้อ่อนไหวมาก มันอาจจะไม่สามารถพา set ไปได้ไกล และหากดูก่อนปี 40 จะพบว่าก่อนที่เศรษฐกิจจะพังกำไรของธนาคารสูงมากและโตต่อเนื่องกันหลายปี ผมเชื่อว่าครั้งนี้ไม่ถึงกับพัง แต่เป็นการตั้งสำรองสูงขึ้นและตัดหนี้เสียออกระบบไปเรื่อยๆ
3.พลังงานไม่ได้แพงและไม่ได้ถูกมาก ไม่ใช่จังหวะของมัน
4.ค้าปลีก ผมว่ากลุ่มนี้มาไกลเกินไป ลองดูว่าความคาดหวังของนักลงทุนจะอยู่ได้นานแค่ไหน
5.กลุ่มอื่นๆไม่สามารถพา SET ไปได้เพราะมันเล็กเกินไป
เมื่อมองไปข้างหน้ายังไม่พบว่าอะไรจะเป็นตัวเร่ง หลายคนอาจจะหวังไว้กับงบ 2.2 ล้านล้าน หากผ่านก็จะเป็นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจ และใครจะได้ตรงนี้? และผลกระทบคืออะไร? มันจะทำให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นหรือไม่ แล้วหากดอกเบี้ยสูงขึ้นมันจะทำให้ผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเราอยู่กันอย่างไร
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=optiontrading&month=23-09-2013&group=1&gblog=3
ท่านคงไม่สงสัยว่าวัฎจักรมีจริงหรือไม่
แต่คงสงสัยว่า peak ผ่านไปหรือยัง ผมว่ามันผ่านไปแล้วนะสำหรับปีนี้ถึงปีหน้า เหลือแค่รอเวลาเก็บของถูกๆ
ปรับฐานครั้งนี้จะใช้เวลานานแค่ไหน
ผมคิดว่าโดยภาพรวมของ SET50 ราคาที่ควรจะซื้อขายกันควรอยู่ที่ 1.5-1.8BV, P/E 11 - 13 , เงินปันผลควรอยู่ 4%
มองไปข้างหน้า ปัจจัยที่จะเริ่มเข้ามากระทบเศรษฐกิจและกำไรในอีก 1 ปีข้างหน้า ผมให้น้ำหนักเรื่องเพดานก่อหนี้ของ
ผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คือคนชั้นล่างและกลาง รวมถึงภาคการส่งออกที่ไม่น่าจะสดใสมากนัก เนื่องจากผู้ซื้อไม่ค่อยจะมีแรงเท่าไหร่
หากฝั่ง US, EU, Japan ยังพิมพ์เงินมาใช้ กำลังตรงนี้ก็ยังอยู่ได้แต่มันจะเป็นผลร้ายในระยะยาว เพราะสุดท้ายเงินที่เข้าตลาด
มันจะไหลไปหาผู้ประกอบการรายใหญ่ และทั้งโลกจะติดกับดัก ดอกเบี้ยต่ำ
หากขยับดอกเบี้ยก็จะไปกระทบ เพดานก่อหนี้ของผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ถ้าปล่อยให้ดอกเบี้ยต่ำอย่างนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้มากไปกว่านี้ เพราะการพิมพ์เงิน เป็นเพียงการโกงการล้มละลายให้นานยิ่งขึ้น
หากจะให้เศรษฐกิจกลับมา ต้องยอมล้างไพ่ ธนาคารจะล้มต้องให้ล้ม บางทีระบบการสร้างหนี้ของโลกได้เดิมมาไกลเกินไปหรือเปล่า
ผมมีเพื่อนอยู่ KKP เมื่อก่อนลูกค้าต้องผ่านเกฎณฑ์ 5 ข้อ ตอนนี้ 2-3ข้อก็เพียงพอ
เมื่อก่อน(10ปี) เคยผ่อนรถกันที่ 24-48 เดือน ตอนนี้ระบบดึงเงินอนาคตของผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ออกมาใช้ด้วยการผ่อน 84 เดือน
แล้วต่อไปเราจะเหลือช่องว่างตรงไหนให้เศรษฐกิจได้เดินต่อไป
สำหรับมุมมองผมสำหรับปีหน้าคือ ดีสุดคือผลกำไรของบริษัทจะเติบโตไม่มาก และแย่สุดคือเติบโตติดลบ หากหุ้นขึ้นก็ไปได้ไม่มาก ถ้าหุ้นลง หุ้นที่เคยเป็นความหวัง P/E สูงๆและเติบโตสูงมาหลายปี(ผิดปกติมา 2-3 ปี) จะต้องกลับไปซื้อขายกันในราคาเหมาะสม โอกาสคือมันจะดึงราคาหุ้นลงมากกว่าที่จะขึ้นไป
1.สื่อสาร คาดหวังว่าสัมปทานใหม่จะมีต้นทุนลดลง แต่ P/E ก็อยู่ในระดับสูงมาก ลองดูช่วงที่ผ่านมาตอนก่อนที่กลุ่มนี้จะ break-even และหลัง จะเห็นว่าตอนขาดทุนหุ้นมีราคาสูงกว่าตอนมีกำไร (ภายหลังปี 40)เพราะอะไร?
2.ธนาคาร เมื่อภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ P/E ธนาคารดูเหมือนไม่แพง แต่ถ้าเปรียบเทียบกับในเอเชียเราก็ไม่ถูก หากดูจีน, เกาหลี pe ต่ำกว่า 10 กำไรกลุ่มนี้อ่อนไหวมาก มันอาจจะไม่สามารถพา set ไปได้ไกล และหากดูก่อนปี 40 จะพบว่าก่อนที่เศรษฐกิจจะพังกำไรของธนาคารสูงมากและโตต่อเนื่องกันหลายปี ผมเชื่อว่าครั้งนี้ไม่ถึงกับพัง แต่เป็นการตั้งสำรองสูงขึ้นและตัดหนี้เสียออกระบบไปเรื่อยๆ
3.พลังงานไม่ได้แพงและไม่ได้ถูกมาก ไม่ใช่จังหวะของมัน
4.ค้าปลีก ผมว่ากลุ่มนี้มาไกลเกินไป ลองดูว่าความคาดหวังของนักลงทุนจะอยู่ได้นานแค่ไหน
5.กลุ่มอื่นๆไม่สามารถพา SET ไปได้เพราะมันเล็กเกินไป
เมื่อมองไปข้างหน้ายังไม่พบว่าอะไรจะเป็นตัวเร่ง หลายคนอาจจะหวังไว้กับงบ 2.2 ล้านล้าน หากผ่านก็จะเป็นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจ และใครจะได้ตรงนี้? และผลกระทบคืออะไร? มันจะทำให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นหรือไม่ แล้วหากดอกเบี้ยสูงขึ้นมันจะทำให้ผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเราอยู่กันอย่างไร
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=optiontrading&month=23-09-2013&group=1&gblog=3
ท่านคงไม่สงสัยว่าวัฎจักรมีจริงหรือไม่
แต่คงสงสัยว่า peak ผ่านไปหรือยัง ผมว่ามันผ่านไปแล้วนะสำหรับปีนี้ถึงปีหน้า เหลือแค่รอเวลาเก็บของถูกๆ