KEY
POINTS
ภาคเอกชนเตือนว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2569 มีความเสี่ยงสูง หากอัตราการเติบโตของ GDP ต่ำกว่า 2% ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของหลายสถาบันที่ประเมินไว้ที่ 1.6-2.0%
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศ เช่น กับดักรายได้ปานกลาง สังคมสูงวัย และหนี้สินภาคครัวเรือน ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
การเติบโตในระดับต่ำจะทำให้ไทยเผชิญความยากลำบาก และเสี่ยงที่จะถูกประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนแซงหน้าทางเศรษฐกิจในอนาคต
เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2568 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวได้ที่ 2.0% ส่วนในปี 2569 คาดจะขยายตัวที่ประมาณ 1.7%
โดยปัจจัยที่หนุนให้ GDP หรือเศรษฐกิจไทยโตได้ในช่วงนี้ มาจากการฟื้นตัวของภาคส่งออก การบริโภคภายในประเทศ และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ขณะที่ปัจจัยลบที่อาจฉุด ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอ ภาษีการค้าสหรัฐ ความไม่แน่นอนของภูมิรัฐศาสตร์โลก ภาวะโลกรวน และภาระหนี้ภาคครัวเรือนและหนี้ธุรกิจที่เป็นตัวฉุดรั้งซึ่งในมุมมองของผู้นำภาคเอกชนจะเป็นอย่างไรนั้น
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ตัวเลขการขยายตัวของจีดีพีไทยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 ทางคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คาดการณ์จะขยายตัวประมาณ 1.5-1.7% แต่ตัวเลขจริงที่ออกมาขยายตัวที่ 1.2% และภาพรวม 3 ไตรมาสแรกขยายตัวที่ 2.4% ซึ่งยังต้องลุ้นว่าจีดีพีไทยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะขยายตัวได้เท่าไร ล่าสุดในการประชุม กกร.(3 ธ.ค. 2568) คาดการณ์จีดีพีไทยทั้งปี 2568 จะขยายตัวได้ที่ระดับ 2%
[img]https://medias.thansettakij.com/uploads/images/contents/w1024/2025/12/CJyaRLL0wpVSkbzQkxPM.webp?x-image-process=style/lg-webp[/img]เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ส่วนในปี 2569 (ณ ธ.ค. 2568) กกร.คาดจีดีพีไทยจะขยายตัวได้ 1.6-2.0% ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดจีดีพีไทยปี 2569 จะขยายตัวได้ 1.6% รวมถึงธนาคารโลก(World Bank)ได้คาดการณ์จีดีพีไทยปี 2569 จะขยายตัวในอัตราใกล้เคียงกันที่ 1.7% และคาดการณ์จีดีพีโลกจะขยายตัวได้ราว 2.6% ซึ่งตัวเลขจีดีพีโลกที่ขยายตัวตํ่าจะส่งผลกระทบกับภาคการส่งออกของไทยที่มีสัดส่วนถึง 60% ของจีดีพี
“ปีหน้ายังมีปัจจัยเสี่ยงและมีหลายตัวแปรที่ต้องติดตาม ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายคู่ของโลก การเจรจาการค้าต่างตอบแทนไทย-สหรัฐ ที่ชะลอการเจรจาหลังภาษีที่ไทยได้รับที่ 19% มีผลบังคับใช้ไปแล้ว และยังต้องเจรจาในรายละเอียด และที่สำคัญยังต้องดูการเมืองในประเทศเราด้วยว่าการเลือกตั้งในปีหน้าจะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะทุกปัจจัยล้วนมีผลกระทบกับเศรษฐกิจไทย”นายเกรียงไกร กล่าว
สำหรับความท้าทาย โอกาส และทางรอด สิ่งที่ห่วงและจะต้องเร่งคือการฟื้นเศรษฐกิจซึ่งเป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนกังวลที่สุด หลังตัวเลขต่าง ๆ ที่ออกมาไม่ค่อยดี โดยต้องเร่งในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ ที่เวลานี้เศรษฐกิจไทยยังติดในหลายกับดัก เช่น กับดักของการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ มีเด็กเกิดใหม่น้อยกว่าโดยเวลานี้ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ คิดเป็นสัดส่วน 21% หรือมีจำนวนประมาณ 14 ล้านคนของจำนวนประชากร และกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
กับดักต่อมาคือ กับดักรายได้ ที่ประเทศไทยยังติดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ปัจจุบันประชาชนมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 7,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัวต่อปี ซึ่งการที่จะก้าวไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูงต้องมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 13,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปี
นอกจากนี้โมเดลเศรษฐกิจ ธุรกิจและอุตสาหกรรมที่ทำอยู่ มีมูลค่าเพิ่มตํ่าและมีกำไรน้อยมาก ซึ่งการที่จะไปให้ถึงประเทศรายได้สูงอาจต้องใช้เวลาอีก 30-40 ปี หากจีดีพีไทยยังขยายตัวตํ่ารั้งท้ายเพื่อนบ้านย่านอาเซียน ซึ่งอาจส่งผลให้มูลค่าจีดีพีของหลายประเทศ เช่น เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ จะแซงไทยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
“ดังนั้นไทยต้องปรับโมเดลอุตสาหกรรมและการทำธุรกิจใหม่หมด ให้มีนวัตกรรมเพิ่มขึ้น มี Value หรือมีมูลค่าเพิ่มที่สูงกว่านี้ มีกำไรมากกว่านี้ ซึ่งหากจีดีพีไทยยังขยายตัวไม่ถึง 2% อย่างนี้เราจะลำบาก”
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ในเฟสที่ 1 ของรัฐบาลที่ได้รับการตอบรับจากประชาชนที่ดีมาก คนเข้าร่วมลงทะเบียนใช้สิทธิ์ 20 ล้านสิทธิ์หมดลงอย่างรวดเร็ว และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ กำลังซื้อของประชาชน และลดค่าครองชีพได้มากในขณะนี้ โครงการนี้หากรัฐบาลมีงบประมาณที่สามารถจัดสรรได้ก็ควรดำเนินการในเฟสที่ 2 อย่างต่อเนื่อง เพราะเครื่องยนต์เศรษฐกิจจากการบริโภคของประชาชนกำลังติด หากสามารถดำเนินการได้จะเป็นอีกแรงหนึ่งที่ช่วยให้เศรษฐกิจวิ่งต่อได้ในปีหน้า
เศรษฐกิจปี 69 “ม้าลุยไฟ”
ด้าน นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยช่วงปลายปีนี้ และแนวโน้มปี 2569 นั้น ปีนี้เศรษฐกิจไทยถูกกดดันจากปัจจัยเสี่ยงสำคัญ โดยเฉพาะ “มหาอุทกภัยภาคใต้” ที่กระทบ 9 จังหวัด 101 อำเภอ และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกว่า 2.8 แสนราย รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่างมาตรการภาษี “ทรัมป์ 2.0” ที่ซํ้าเติมการส่งออก และจำนวนนักท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
[img]https://medias.thansettakij.com/uploads/images/contents/w1024/2025/12/XmCg81IdCoUe9HHgD2xj.webp?x-image-process=style/lg-webp[/img]แสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย
ขณะที่ในปี 2569 ไทยยังต้องบริหารจัดการความเสี่ยงหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจโลก ภัยธรรมชาติ ภัยพิบัติ และการแข่งขันด้านเทคโนโลยี โดยมองว่า “กับดักหนี้” โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนและหนี้เสีย เป็นความท้าทายใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข ขณะเดียวกันการพัฒนากำลังคนทักษะสูง โดยเฉพาะด้านดิจิทัล AI นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ จะเป็นปัจจัยชี้อนาคตในการยกระดับขีดความสามารถของประเทศ เนื่องจาก GDP ไทยในแต่ละไตรมาสยังเติบโตตํ่าสุดในอาเซียนเมื่อเทียบกับเวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และสิงคโปร์ โดยเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 1.2-3.3%
อีกหนึ่งโจทย์สำคัญคือ การเตรียมรับมือภัยพิบัติและภาวะโลกร้อน ซึ่งจะยังเป็นความเสี่ยงที่รัฐบาลต้องจัดทำยุทธศาสตร์ด้านนํ้า พายุ สึนามิ และระบบป้องกันความรุนแรงของภัยธรรมชาติ พร้อมใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าเพื่อผลลัพธ์สูงสุด ขณะที่เทคโนโลยี AI และนวัตกรรมจะกลายเป็นทั้งโอกาสและอุปสรรค หากภาคเศรษฐกิจไทยปรับตัวไม่ทัน อาจกลายเป็นปัจจัยฉุดการแข่งขันของแรงงานและผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
สำหรับการคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2569 นายแสงชัยประเมินว่า GDP มีโอกาสเติบโตดีกว่าปีนี้ ซึ่งคาดว่าขยายตัวราว 2–2.2% แม้จะได้รับผลกระทบจากนํ้าท่วมภาคใต้ แต่ปัจจัยบวกเพิ่มเติมยังมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนที่เริ่มชัดเจนขึ้น
นายแสงชัย ระบุว่า ปี 2569 เป็น “ปีม้าลุยไฟ” ที่เต็มไปด้วยทั้งโอกาสและความท้าทาย ประเทศไทยจะเติบโตได้จำเป็นต้องมี 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่
1. ยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ในการขับเคลื่อนประเทศแบบองค์รวม
2. กลยุทธ์ที่สร้างความแตกต่าง และเพิ่มศักยภาพของรายได้ครัวเรือน ลดภาระหนี้
3. ภาวะผู้นำ (Leadership) ทั้งจากรัฐบาล ภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อร่วมกันนำการเปลี่ยนแปลง
4. ธรรมาภิบาล (Governance) ลดปัญหาทุจริต เพิ่มประสิทธิภาพรัฐ ส่งผลให้การบริการดีขึ้นและแข่งขันได้มากขึ้น
สำหรับความผันผวนทางการเมือง นายแสงชัยมองว่าเป็นเรื่องปกติของประเทศไทย แต่สิ่งสำคัญคือต้องอยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมยํ้าว่าปัจจุบันภาคเอกชนและภาคประชาชนเข้มแข็งขึ้น รัฐมีการรับฟังความคิดเห็นมากขึ้น จึงยังมอง “โอกาสเชิงบวก” ในปีหน้า
ปัจจัยสำคัญที่ต้องเร่งเดินหน้าในปี 2569
1. แก้ปัญหากับดักหนี้ ทั้งระบบ พร้อมทำให้มาตรการเกิดผลจริง
2. ยกระดับทักษะแรงงาน (Upskill-Reskill) ให้แข่งขันกับต่างประเทศได้
3. เข้าถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ
4. ขับเคลื่อน ESG อย่างจริงจัง เปิดโอกาสให้เอสเอ็มอีเข้าถึงตลาดต่างประเทศ
5. จัดการเศรษฐกิจนอกระบบและทุนเทา เพื่อลดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
“หากประเทศไทยมีแผนชัดเจนด้านยุทธศาสตร์ เทคโนโลยี ภาวะผู้นำ และธรรมาภิบาล เศรษฐกิจไทยในปี “ม้าลุยไฟ” จะสามารถเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาส และขับเคลื่อนให้ GDP เติบโตได้อย่างยั่งยืน” นายแสงชัย กล่าวทิ้งท้าย
แท็กที่เกี่ยวข้อง
‘ม้าลุยไฟ’ ปี 69 บิ๊กเอกชนเตือน เศรษฐกิจไทยเสี่ยง หากจีดีพีโตไม่ถึง 2%