จากที่คุณนิวัฒน์ธำรงบอกว่า จะมีการเปิดประมูลข้าวในสต็อกของรัฐ ในกลางเดือนนี้ และจะมีการประมูลข้าวเปลือก เพื่อให้โรงสีไปทำข้าวนึ่งเพื่อส่งออกด้วย
http://www.thairath.co.th/content/eco/355051
ก็เลยสงสัยว่า คุณนิวัฒน์ธำรง จะขายข้าวเปลือกราคาไหน
เพราะถ้าหากขายในราคาถูกเกินไป ก็คงจะต้องโดนข้อหาเอาเงินไปช่วยโรงสี จากหลาย ๆ คนในราชดำเนินที่ชอบวิจารณ์โครงการประกันรายได้
เพราะถ้าหากเราไปดูราคา(วันนี้) ข้าวสารเจ้า 5% กับราคาข้าวนึ่ง จะเห็นว่า มีราคาส่งออก FOB ต่างกันประมาณ 20 เหรียญ (ก็ประมาณ 600 บาท)
ซึ่งขั้นตอนการผลิตของข้าวนึ่งจะมีมากกว่า ก็ทำให้ต้นทุนการแปรสภาพ สูงกว่าข้าวสารเจ้า
แต่ที่ราคาแตกต่างกันไม่มาก เป็นเพราะข้าวเปลือกที่นำไปทำข้าวนึ่ง จะใช้ข้าวที่มีคุณภาพต่ำกว่า เพราะต้องเอาไปนึ่งก่อน ทำให้สีแล้วเสียหายน้อยกว่า
แต่พอรัฐจะเอาข้าวที่รับจำนำมา เปิดประมูล โดยมีเงื่อนไขว่าให้ไปทำข้าวนึ่ง ก็หมายความว่า ต้องขายออกไปในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดระดับนึง หรือก็คือ ต้องไปขายตัดราคากับข้าวคุณภาพต่ำ ที่เกษตรกรเอาเข้าโครงการจำนำข้าวไม่ได้
และยิ่งมีอีกเงื่อนไขนึง คือ อยากแย่งตลาดข้าวนึ่งกลับคืนมาให้ได้มาก ๆ เห็นคุณยรรยงตั้งเป้าจะเอาอีกประมาณ 3 ล้านตัน ที่ส่งออกน้อยลงไป คืนมา ก็ต้องมีผลกระทบต่อราคา ที่วันนี้เป็นราคา 543 เหรียญ ต้องลดลงต่ำไปอีก
เพราะเมื่ออยากขายมากขึ้น ราคาก็ต้องถูกลง มันก็เรื่องธรรมดา
ที่จริงผมอยากจะแสดงตัวเลขเหมือนกันว่า ราคาข้าวเปลือกที่รัฐจะขายได้ น่าจะเป็นตัวเลขเท่าไหร่ แต่พยายามหาข้อมูลว่า ข้าวเปลือก 1 ตัน จะทำข้าวนึ่งได้ กี่ กิโลกรัม กระบวนการผลิตข้าวนึ่งต่อตัน มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ เพื่อนำมาคำนวณว่า ต้องซื้อข้าวเปลือกราคาเท่าไหร่ ถึงจะสามารถขายในราคาตลาดปัจจุบันได้
แต่หาไม่ได้ ก็ลงไปตรงนั้นไม่ได้
ก็ลองเทียบว่า สมมติวันนี้ รัฐบาลบอกว่าจะขายข้าวเปลือก ให้โรงสีไปทำข้าวสารเจ้า 5% เพื่อส่งออก ที่ราคาวันนี้เป็น 524 เหรียญ (ประมาณ 16,000 บาท) ถ้าใช้สูตรของรัฐคือ หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้ว ข้าวเปลือก 1 ตัน จะได้ข้าวสาร 620 กก.
หมายความว่า โรงสีต้องซื้อข้าวเปลือก ในราคาประมาณ 10,000 บาท ถึงจะขายข้าว FOB ราคา 524 เหรียญได้
แต่ถ้าจะเปิดประมูลให้ไปทำข้าวนึ่ง โรงสีก็ต้องประมูลในราคาต่ำกว่า 10,000 บาท ถึงจะขายได้
ก็ไม่รู้ว่า ซื้อมา 15,000 บาท แต่จะประมูลในราคาต่ำกว่า 10,000 บาท ในขณะที่รัฐบาลมองว่าราคาตลาดตอนนี้ดีกว่าเมื่อสองปีก่อน และสูงกว่า 10,000 บาท
แต่กลับจะเอาข้าวที่รับจำนำมา ขายต่ำกว่า 10,000 บาท
ไม่รู้ว่า แบบนี้เรียกว่าเอาเงินภาษีไปช่วยโรงสีได้หรือป่าว
แล้วที่สำคัญ พอประมูลไปแบบถูก ๆ แล้ว มันจะซ้ำรอยการอนุมัติข้าวไปทำข้าวถุงหรือป่าว
บอกให้ไปทำข้าวถุง แต่สุดท้ายทำแค่ประมาณ 10% ที่เหลือหายไปไหนก็ไม่รู้
อันนี้บอกว่าจะประมูลไปทำข้าวนึ่ง แต่พอได้ข้าวไป ข้าวจะเปลี่ยนไปในรูปอื่นได้มั้ย เพราะทำข้าวนึ่่ง ก็อาจจะไปเอาข้าวเพื่อนบ้านมาทำ หรือซื้อข้าวคุณภาพต่ำมาทำก็ได้
แล้วข้าวที่ประมูลไปจากรัฐ ก็อาจจะวนไปหาผลประโยชน์รูปแบบอื่น (รูปแบบเดิม ๆ ) เช่นเอาไปสวมสิทธิ เวียนเทียน ฯลฯ ซึ่งทำให้รัฐต้องเสียหายเพิ่มขึ้นได้อีก
น่าห่วงดีนะครับ อยากระบายข้าวมากขึ้น แต่ถ้าไม่ระวัง จะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก
แต่ครั้งนี้อาจจะจำเป็นต้องประมูลข้าวเปลือกมากก็ได้ เพราะต้องแก้ไขสองปัญหาพร้อมกัน คือ เรื่องพื้นที่เก็บ เพราะรับข้าวเปลือกมา ก็ปล่อยต่อไปเลย ทำให้ไม่ต้องหาที่เก็บ
กับอีกเรื่องคือเรื่องเงิน เพราะเงินที่เหลือไม่พอรับจำนำข้าวจนถึงกันยายนอยู่แล้ว แต่ถ้าหากรับจำนำมา แล้วขายต่อไปได้เลย ก็ทำให้ใช้เงินเพียง 1 ใน 3 ของที่ต้องใช้ (ซื้อ 15,000 ขายไป 10,000 เสียเงินแค่ 5,000) ทำให้มีเงินพอใช้ได้
การประมูลข้าวเปลือก เพื่อให้ไปทำข้าวนึ่ง : แก้ปัญหา หรือเพิ่มช่องทางทุจริต
http://www.thairath.co.th/content/eco/355051
ก็เลยสงสัยว่า คุณนิวัฒน์ธำรง จะขายข้าวเปลือกราคาไหน
เพราะถ้าหากขายในราคาถูกเกินไป ก็คงจะต้องโดนข้อหาเอาเงินไปช่วยโรงสี จากหลาย ๆ คนในราชดำเนินที่ชอบวิจารณ์โครงการประกันรายได้
เพราะถ้าหากเราไปดูราคา(วันนี้) ข้าวสารเจ้า 5% กับราคาข้าวนึ่ง จะเห็นว่า มีราคาส่งออก FOB ต่างกันประมาณ 20 เหรียญ (ก็ประมาณ 600 บาท)
ซึ่งขั้นตอนการผลิตของข้าวนึ่งจะมีมากกว่า ก็ทำให้ต้นทุนการแปรสภาพ สูงกว่าข้าวสารเจ้า
แต่ที่ราคาแตกต่างกันไม่มาก เป็นเพราะข้าวเปลือกที่นำไปทำข้าวนึ่ง จะใช้ข้าวที่มีคุณภาพต่ำกว่า เพราะต้องเอาไปนึ่งก่อน ทำให้สีแล้วเสียหายน้อยกว่า
แต่พอรัฐจะเอาข้าวที่รับจำนำมา เปิดประมูล โดยมีเงื่อนไขว่าให้ไปทำข้าวนึ่ง ก็หมายความว่า ต้องขายออกไปในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดระดับนึง หรือก็คือ ต้องไปขายตัดราคากับข้าวคุณภาพต่ำ ที่เกษตรกรเอาเข้าโครงการจำนำข้าวไม่ได้
และยิ่งมีอีกเงื่อนไขนึง คือ อยากแย่งตลาดข้าวนึ่งกลับคืนมาให้ได้มาก ๆ เห็นคุณยรรยงตั้งเป้าจะเอาอีกประมาณ 3 ล้านตัน ที่ส่งออกน้อยลงไป คืนมา ก็ต้องมีผลกระทบต่อราคา ที่วันนี้เป็นราคา 543 เหรียญ ต้องลดลงต่ำไปอีก
เพราะเมื่ออยากขายมากขึ้น ราคาก็ต้องถูกลง มันก็เรื่องธรรมดา
ที่จริงผมอยากจะแสดงตัวเลขเหมือนกันว่า ราคาข้าวเปลือกที่รัฐจะขายได้ น่าจะเป็นตัวเลขเท่าไหร่ แต่พยายามหาข้อมูลว่า ข้าวเปลือก 1 ตัน จะทำข้าวนึ่งได้ กี่ กิโลกรัม กระบวนการผลิตข้าวนึ่งต่อตัน มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ เพื่อนำมาคำนวณว่า ต้องซื้อข้าวเปลือกราคาเท่าไหร่ ถึงจะสามารถขายในราคาตลาดปัจจุบันได้
แต่หาไม่ได้ ก็ลงไปตรงนั้นไม่ได้
ก็ลองเทียบว่า สมมติวันนี้ รัฐบาลบอกว่าจะขายข้าวเปลือก ให้โรงสีไปทำข้าวสารเจ้า 5% เพื่อส่งออก ที่ราคาวันนี้เป็น 524 เหรียญ (ประมาณ 16,000 บาท) ถ้าใช้สูตรของรัฐคือ หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้ว ข้าวเปลือก 1 ตัน จะได้ข้าวสาร 620 กก.
หมายความว่า โรงสีต้องซื้อข้าวเปลือก ในราคาประมาณ 10,000 บาท ถึงจะขายข้าว FOB ราคา 524 เหรียญได้
แต่ถ้าจะเปิดประมูลให้ไปทำข้าวนึ่ง โรงสีก็ต้องประมูลในราคาต่ำกว่า 10,000 บาท ถึงจะขายได้
ก็ไม่รู้ว่า ซื้อมา 15,000 บาท แต่จะประมูลในราคาต่ำกว่า 10,000 บาท ในขณะที่รัฐบาลมองว่าราคาตลาดตอนนี้ดีกว่าเมื่อสองปีก่อน และสูงกว่า 10,000 บาท
แต่กลับจะเอาข้าวที่รับจำนำมา ขายต่ำกว่า 10,000 บาท
ไม่รู้ว่า แบบนี้เรียกว่าเอาเงินภาษีไปช่วยโรงสีได้หรือป่าว
แล้วที่สำคัญ พอประมูลไปแบบถูก ๆ แล้ว มันจะซ้ำรอยการอนุมัติข้าวไปทำข้าวถุงหรือป่าว
บอกให้ไปทำข้าวถุง แต่สุดท้ายทำแค่ประมาณ 10% ที่เหลือหายไปไหนก็ไม่รู้
อันนี้บอกว่าจะประมูลไปทำข้าวนึ่ง แต่พอได้ข้าวไป ข้าวจะเปลี่ยนไปในรูปอื่นได้มั้ย เพราะทำข้าวนึ่่ง ก็อาจจะไปเอาข้าวเพื่อนบ้านมาทำ หรือซื้อข้าวคุณภาพต่ำมาทำก็ได้
แล้วข้าวที่ประมูลไปจากรัฐ ก็อาจจะวนไปหาผลประโยชน์รูปแบบอื่น (รูปแบบเดิม ๆ ) เช่นเอาไปสวมสิทธิ เวียนเทียน ฯลฯ ซึ่งทำให้รัฐต้องเสียหายเพิ่มขึ้นได้อีก
น่าห่วงดีนะครับ อยากระบายข้าวมากขึ้น แต่ถ้าไม่ระวัง จะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก
แต่ครั้งนี้อาจจะจำเป็นต้องประมูลข้าวเปลือกมากก็ได้ เพราะต้องแก้ไขสองปัญหาพร้อมกัน คือ เรื่องพื้นที่เก็บ เพราะรับข้าวเปลือกมา ก็ปล่อยต่อไปเลย ทำให้ไม่ต้องหาที่เก็บ
กับอีกเรื่องคือเรื่องเงิน เพราะเงินที่เหลือไม่พอรับจำนำข้าวจนถึงกันยายนอยู่แล้ว แต่ถ้าหากรับจำนำมา แล้วขายต่อไปได้เลย ก็ทำให้ใช้เงินเพียง 1 ใน 3 ของที่ต้องใช้ (ซื้อ 15,000 ขายไป 10,000 เสียเงินแค่ 5,000) ทำให้มีเงินพอใช้ได้