ขอเอาเนื้อหาในส่วนมาตราที่เป็นเนื้อหาของ พรบ.ทั้งสองฉบับมาเปรียบเทียบกัน
ฉบับแรกของคุณวรชัยและคณะ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1362642028&grpid=01&catid=01
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อีกอันก็เป็นของคุณเฉลิมและคณะ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1369298668
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อ่านในส่วนเนื้อหาสำคัญนี้ ทั้งสองฉบับมีการพูดถึงกลุ่มคนที่จะได้รับประโยชน์จากพรบ.สองฉบับนี้ จะหมายถึง
(ฉบับของคุณวรชัย) "ให้บรรดาการกระทำใดๆ ของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงออกทางการเมือง หรือบุคคลซึ่งไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง แต่กระทำการนั้นมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง....."
(ฉบับคุณเฉลิม) "บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองหรือการกระทำใดที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าว......"
เนื้อหาจะคล้ายคลึงกัน ดูแล้วน่าจะจำกัดอยู่ในเรื่องการออกมาชุมนุมเรียกร้องทางการเมือง โดยในฉบับของคุณเฉลิม มีการอธิบายความเพิ่มเติมว่า
"เพื่อประโยชน์แห่งพระราชบัญญัตินี้ การชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง หมายความว่า การกระทำหรือการแสดงความคิดเห็นเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการใดๆ ตามข้อเรียกร้อง และให้หมายความรวมถึงการยึดหรือปิดสถานที่เพื่อประท้วง การต่อสู้ขัดขืนในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือการประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกายหรือทรัพย์สิน ซึ่งเป้นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง"
อ่านย้อนไปย้อนมา ก็คิดว่า พรบ.(สอง)ฉบับนี้ น่าจะไม่ครอบคลุมไปถึง การกระทำหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรืออาจจะเป็นเพราะ เป็นการกระทำตามหน้าที่อยู่แล้ว ก็เลยมองว่าไม่มีความผิด
ดังนั้น ถึงแม้เป็นฉบับคุณเฉลิม ผลก็คงไม่ไปถึงคุณอภิสิทธิ์ กับคุณสุเทพ (มั้ง)
ในประเด็นเนื้อหาการยกโทษ ฉบับคุณเฉลิม บอกว่ายกโทษให้ทุกคน (ในกลุ่มคนที่พูดถึง) ส่วนฉบับของคุณวรชัย มีการแยกคนออกเป็นสองส่วน โดยไม่รวมถึง
"
การกระทำในวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการกระทำใดๆ ของบรรดาผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจ หรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในห้วงระยะเวลาดังกล่าว"
ตรงนี้ไม่รู้ว่า คำว่าอำนาจในการตัดสินใจมองยังไง และการแยกกลุ่มคน จะแยกเป็นกรณี ๆ ไป หรือพูดภาพรวม
คือหมายถึงเฉพาะแกนนำหลักจริง ๆ หรือหมายถึง พายัพ ปั้นเกตุ กรณีบุกโรงพยาบาลจุฬา อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง กรณีบุกประชุมอาเซียนที่พัทยา
ในส่วนฉบับของคุณวรชัย ส่วนที่เหลือ ก็มีการขยายความว่า ยกโทษยังไง แล้วการยกโทษนั้น เป็นการยกโทษทางอาญาเท่านั้น ไม่รวมถึงทางแพ่ง และคนที่ได้รับโทษไปแล้วบางส่วน (หรือทั้งหมด) จะเรียกร้องอะไรไม่ได้
แต่ในฉบับของคุณเฉลิม ไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้ ก็ไม่รู้ว่า พอฉบับของคุณเฉลิมผ่านแล้วประกาศใช้ขึ้นมา เกิดมีคนฟ้องกลับรัฐ จะเป็นยังไง
ดังนั้นส่วนนี้ คิดว่าฉบับคุณเฉลิมไม่รอบคอบ ควรเขียนไว้แบบฉบับคุณวรชัย จะได้ป้องกันไว้ก่อนให้เรียบร้อย น่าจะดีกว่า
แต่ฉบับคุณเฉลิมกลับไปมุ่งเน้นไปอีกจุดนึง คือมาตรา 4
"
มาตรา ๔ บรรดาการกล่าวหาการกระทำความผิดบุคคลใดๆ ที่เกิดจากคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ หรือจากคณะบุคคลซึ่งได้รับแต่งตั้งตามคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเป็นการกล่าวหาจากหน่วยงานอื่นใด อันเป็นผลสืบเนื่องจากการดำเนินการของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ว่าเป็นการกล่าวหาในข้อหาใด ให้ถือว่าเป็นการกล่าวหาในความผิดทางการเมือง และให้การกล่าวหาการกระทำความผิดนั้นเป็นอันระงับไป โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เป็นผู้กระทำความผิด และให้นำความในมาตรา ๓ วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม"
อ่านแล้วตอนแรกคิดได้แค่กรณีเดียว ก็คือ คตส. ที่ทำการตรวจสอบต่าง ๆ ซึ่งตอนนี้มีคดีค้างอยู่ในกระบวนการหลายคดี และมีคดีนึงที่ตัดสินแล้ว ที่ให้คุณทักษิณติดคุก 2 ปี
คือถ้าหากมองว่าเป็นการกล่าวหาในความผิดทางการเมือง แล้วโยงไปมาตราสาม ก็คือยกโทษหมด คดีจบหมด
แต่พอค่อย ๆ อ่าน ตรงจุดที่ว่า "เป็นการกล่าวหาจากหน่วยงานอื่นใด อันเป็นผลสืบเนื่องจากการดำเนินการของคมช. ไม่ว่าเป็นการกล่าวหาในข้อหาใด" อันนี้ อาจจะกว้างกว่า คตส.พอสมควร เพราะอย่างน้อย ปปช. กกต. คณะนี้ ก็ยังเป็นการแต่งตั้งจากประกาศของคมช. ก็คงทำให้คดีหลายคดีที่ทำอยู่ตอนนี้ อาจจะต้องเลิกทำไปด้วยก็ได้
ผมว่าจริง ๆ มาตรานี้ ก็เขียนไปตรง ๆ ว่ายกโทษเฉพาะกรณีใดบ้าง น่าจะลดความเสี่ยงที่กระทบกับบางคดีที่ อาจจะไม่มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับการชุมนุมทางการเมือง หรือ การรัฐประหารเลย กลับต้องหลุดรอดไปเพราะเป็นคดีที่ทำโดยปปช.ชุดนี้ ก็ได้
สรุปแล้ว โดยส่วนตัว ผมไม่สนับสนุนการนิรโทษกรรม แบบที่ยังไม่รู้ว่าใครทำอะไรผิดบ้าง อยากให้มีการสืบสวนสอบสวนให้จบหมดสิ้นก่อน (หรือจะบางส่วนก็ได้) พอรู้ว่าใครผิดอะไรยังไงบ้าง หลังจากนั้นค่อยมานิรโทษกรรม น่าจะถูกต้องมากกว่า
แต่ถ้าหากวันนี้ ยังไงก็ต้องมีกฎหมายประมาณนี้ ผมคิดว่า โดยรวมฉบับคุณวรชัย น่าจะดีกว่า แต่ต้องนิยามคำว่า ผู้มีอำนาจสั่งการเคลื่อนไหว นั้นหมายถึงใคร ยังไง เพราะไม่อย่างนั้น ปล่อยตีความกันเอง อาจจะเหลือแกนนำเสื้อเหลือง 5 คน เสื้อแดง 5 คน แค่นั้นก็ได้ ที่จะมีความผิด
ถ้าเหลือแค่นี้ ผมว่า ยกโทษหมดไปเลยก็คงเหมือนกัน
นิรโทษกรรม และปรองดอง
ฉบับแรกของคุณวรชัยและคณะ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1362642028&grpid=01&catid=01
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อีกอันก็เป็นของคุณเฉลิมและคณะ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1369298668
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อ่านในส่วนเนื้อหาสำคัญนี้ ทั้งสองฉบับมีการพูดถึงกลุ่มคนที่จะได้รับประโยชน์จากพรบ.สองฉบับนี้ จะหมายถึง
(ฉบับของคุณวรชัย) "ให้บรรดาการกระทำใดๆ ของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงออกทางการเมือง หรือบุคคลซึ่งไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง แต่กระทำการนั้นมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง....."
(ฉบับคุณเฉลิม) "บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองหรือการกระทำใดที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าว......"
เนื้อหาจะคล้ายคลึงกัน ดูแล้วน่าจะจำกัดอยู่ในเรื่องการออกมาชุมนุมเรียกร้องทางการเมือง โดยในฉบับของคุณเฉลิม มีการอธิบายความเพิ่มเติมว่า
"เพื่อประโยชน์แห่งพระราชบัญญัตินี้ การชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง หมายความว่า การกระทำหรือการแสดงความคิดเห็นเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการใดๆ ตามข้อเรียกร้อง และให้หมายความรวมถึงการยึดหรือปิดสถานที่เพื่อประท้วง การต่อสู้ขัดขืนในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือการประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกายหรือทรัพย์สิน ซึ่งเป้นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง"
อ่านย้อนไปย้อนมา ก็คิดว่า พรบ.(สอง)ฉบับนี้ น่าจะไม่ครอบคลุมไปถึง การกระทำหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรืออาจจะเป็นเพราะ เป็นการกระทำตามหน้าที่อยู่แล้ว ก็เลยมองว่าไม่มีความผิด
ดังนั้น ถึงแม้เป็นฉบับคุณเฉลิม ผลก็คงไม่ไปถึงคุณอภิสิทธิ์ กับคุณสุเทพ (มั้ง)
ในประเด็นเนื้อหาการยกโทษ ฉบับคุณเฉลิม บอกว่ายกโทษให้ทุกคน (ในกลุ่มคนที่พูดถึง) ส่วนฉบับของคุณวรชัย มีการแยกคนออกเป็นสองส่วน โดยไม่รวมถึง
"การกระทำในวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการกระทำใดๆ ของบรรดาผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจ หรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในห้วงระยะเวลาดังกล่าว"
ตรงนี้ไม่รู้ว่า คำว่าอำนาจในการตัดสินใจมองยังไง และการแยกกลุ่มคน จะแยกเป็นกรณี ๆ ไป หรือพูดภาพรวม
คือหมายถึงเฉพาะแกนนำหลักจริง ๆ หรือหมายถึง พายัพ ปั้นเกตุ กรณีบุกโรงพยาบาลจุฬา อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง กรณีบุกประชุมอาเซียนที่พัทยา
ในส่วนฉบับของคุณวรชัย ส่วนที่เหลือ ก็มีการขยายความว่า ยกโทษยังไง แล้วการยกโทษนั้น เป็นการยกโทษทางอาญาเท่านั้น ไม่รวมถึงทางแพ่ง และคนที่ได้รับโทษไปแล้วบางส่วน (หรือทั้งหมด) จะเรียกร้องอะไรไม่ได้
แต่ในฉบับของคุณเฉลิม ไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้ ก็ไม่รู้ว่า พอฉบับของคุณเฉลิมผ่านแล้วประกาศใช้ขึ้นมา เกิดมีคนฟ้องกลับรัฐ จะเป็นยังไง
ดังนั้นส่วนนี้ คิดว่าฉบับคุณเฉลิมไม่รอบคอบ ควรเขียนไว้แบบฉบับคุณวรชัย จะได้ป้องกันไว้ก่อนให้เรียบร้อย น่าจะดีกว่า
แต่ฉบับคุณเฉลิมกลับไปมุ่งเน้นไปอีกจุดนึง คือมาตรา 4
"มาตรา ๔ บรรดาการกล่าวหาการกระทำความผิดบุคคลใดๆ ที่เกิดจากคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ หรือจากคณะบุคคลซึ่งได้รับแต่งตั้งตามคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเป็นการกล่าวหาจากหน่วยงานอื่นใด อันเป็นผลสืบเนื่องจากการดำเนินการของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ว่าเป็นการกล่าวหาในข้อหาใด ให้ถือว่าเป็นการกล่าวหาในความผิดทางการเมือง และให้การกล่าวหาการกระทำความผิดนั้นเป็นอันระงับไป โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เป็นผู้กระทำความผิด และให้นำความในมาตรา ๓ วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม"
อ่านแล้วตอนแรกคิดได้แค่กรณีเดียว ก็คือ คตส. ที่ทำการตรวจสอบต่าง ๆ ซึ่งตอนนี้มีคดีค้างอยู่ในกระบวนการหลายคดี และมีคดีนึงที่ตัดสินแล้ว ที่ให้คุณทักษิณติดคุก 2 ปี
คือถ้าหากมองว่าเป็นการกล่าวหาในความผิดทางการเมือง แล้วโยงไปมาตราสาม ก็คือยกโทษหมด คดีจบหมด
แต่พอค่อย ๆ อ่าน ตรงจุดที่ว่า "เป็นการกล่าวหาจากหน่วยงานอื่นใด อันเป็นผลสืบเนื่องจากการดำเนินการของคมช. ไม่ว่าเป็นการกล่าวหาในข้อหาใด" อันนี้ อาจจะกว้างกว่า คตส.พอสมควร เพราะอย่างน้อย ปปช. กกต. คณะนี้ ก็ยังเป็นการแต่งตั้งจากประกาศของคมช. ก็คงทำให้คดีหลายคดีที่ทำอยู่ตอนนี้ อาจจะต้องเลิกทำไปด้วยก็ได้
ผมว่าจริง ๆ มาตรานี้ ก็เขียนไปตรง ๆ ว่ายกโทษเฉพาะกรณีใดบ้าง น่าจะลดความเสี่ยงที่กระทบกับบางคดีที่ อาจจะไม่มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับการชุมนุมทางการเมือง หรือ การรัฐประหารเลย กลับต้องหลุดรอดไปเพราะเป็นคดีที่ทำโดยปปช.ชุดนี้ ก็ได้
สรุปแล้ว โดยส่วนตัว ผมไม่สนับสนุนการนิรโทษกรรม แบบที่ยังไม่รู้ว่าใครทำอะไรผิดบ้าง อยากให้มีการสืบสวนสอบสวนให้จบหมดสิ้นก่อน (หรือจะบางส่วนก็ได้) พอรู้ว่าใครผิดอะไรยังไงบ้าง หลังจากนั้นค่อยมานิรโทษกรรม น่าจะถูกต้องมากกว่า
แต่ถ้าหากวันนี้ ยังไงก็ต้องมีกฎหมายประมาณนี้ ผมคิดว่า โดยรวมฉบับคุณวรชัย น่าจะดีกว่า แต่ต้องนิยามคำว่า ผู้มีอำนาจสั่งการเคลื่อนไหว นั้นหมายถึงใคร ยังไง เพราะไม่อย่างนั้น ปล่อยตีความกันเอง อาจจะเหลือแกนนำเสื้อเหลือง 5 คน เสื้อแดง 5 คน แค่นั้นก็ได้ ที่จะมีความผิด
ถ้าเหลือแค่นี้ ผมว่า ยกโทษหมดไปเลยก็คงเหมือนกัน