อศวรรฒ์ไปที่ห้องทำงานของคุณศันต์เพื่อหยิบเอกสาร ชายหนุ่มกำลังจะเดินลงบันได สายตาเหลือบไปมองห้องของคัทลียา ขาไวกว่าความคิด เขามายืนอยู่หน้าห้องของหญิงสาว ชั่งใจว่าจะเคาะประตูดีไหม สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น
“พี่อาร์มจะรับชาหรือกาแฟคะ” คะนึงนิจถาม
“พี่ขอกาแฟครับ ขนมไม่ต้อง” อศวรรฒ์นั่งลง รับกาแฟจากคะนึงนิจ
“พี่แคลร์สวยมากเลยนะคะ” คะนึงนิจพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจในตัวพี่สาวต่างมารดา
“ครับ” อศวรรฒ์ตอบสั้นๆ
“พี่แคลร์กลับมาเมืองไทย คงเนื้อหอมมากแน่ๆ” คะนึงนิจพูดต่อ พลางตักขนมใส่ปาก
“คชาไปไหนครับ ไม่มาทานของว่าง”
“มาแล้วครับ” คชาเดินมานั่งลงข้างอศวรรฒ์
“พี่อาร์มต้องเข้าบริษัทอีกหรือคะ”
“ครับ พี่มีประชุมต่ออีก คงกลับดึก”
“วันนี้พี่แคลร์กลับมา คุณพ่อบอกว่าจะกลับมาทานข้าวเย็นที่บ้าน แต่พี่อาร์มไม่อยู่” คชาบ่นอย่างเสียดาย
“พี่คิดว่า ไม่มีพี่ร่วมโต๊ะจะดีกว่า” อศวรรฒ์พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“พี่อาร์มไม่ต้องคิดมากหรอกครับ พี่แคลร์โตแล้ว คงไม่คิดเรื่องพวกนั้นแล้วล่ะ” คชาปลอบ แต่อศวรรฒ์ไม่คิดอย่างนั้น
“พี่ไปก่อนนะ” อศวรรฒ์ลุกขึ้นหยิบเอกสารแล้วเดินออกไป สวนกลับมารดาที่เดินเข้ามา
“จะไปแล้วหรือลูก” อนงค์ถาม
“ครับ เย็นนี้ไม่ต้องรอนะครับ ทานข้าวกันก่อนเลย”
“จ้ะ ลูก ขับรถดีๆ นะ”
อนงค์มองตามหลังลูกชาย รู้ดีว่าอศวรรฒ์พยายามเลี่ยงอะไรอยู่
“คุณน้าคะ มานั่งดื่มน้ำชาพักเหนื่อยก่อนดีกว่าคะ” คะนึงนิจเข้ามาโอบกอดอนงค์
“ค่ะ คุณนิจ” อนงค์เดินตามหญิงสาวรุ่นลูก
“คุณน้าเหนื่อยตั้งแต่เช้าแล้ว” คะนึงนิจรินน้ำชามาวางตรงหน้า ส่วนคชาก็ตักขนมมาให้
“ขอบคุณค่ะ” อนงค์ยกน้ำชาขึ้นจิบ
“พี่แคลร์ทำอะไรอยู่น้า” คะนึงนิจพูดกับตัวเอง
คัทลียานอนแช่อยู่ในอ่างจากุชชี่ สายตาเหม่อมองเพดานวาดลวดลายดอกลาเวนเดอร์ดอกไม้โปรดของเธอ เสียงเพลงคลาสสิกดังคลอ จนถึงตอนนี้เธอยังคิดเหตุผลที่พ่อเรียกตัวกลับมาไม่ได้
“ถ้าแกไม่กลับ แกจะถูกตัดจากกองมรดก เงินสักแดงเดียวแกก็จะไม่ได้ อ้อ แล้วอพาร์ทเมน์กับบ้านที่อเมริกา ก็ยังเป็นชื่อของพ่ออยู่ อย่าลืมซะล่ะ” ศันต์ยื่นคำขาดให้ลูกสาวคนโต
พ่อของเธอไม่เคยรู้เลยว่า หญิงสาวมีงานการทำเป็นหลักแหล่ง หลังจบไฮสคูล คัทลียาสมัครเรียนบริหารธุรกิจตามที่พ่อต้องการ แต่ไม่เคยเข้าเรียนจึงถูกคัดชื่อออก ทุกปีการศึกษาเธอจะสมัครเรียนสถาบันแห่งใหม่ โดยที่ไม่เคยเข้าเรียนเลยสักแห่งเดียว
คัทลียาเรียนจบปริญญาตรีและโทที่พาร์สัน เดอะ นิว สคูล ฟอร์ ดีไซน์ ด้านแฟชั่นดีไซน์ เธอไม่เคยบอกให้คนในครอบครัวรู้ วันรับปริญญาจึงเป็นวันที่เงียบเหงาที่สุดในชีวิต หลังเรียนจบ เธอฝึกงานอยู่ที่ห้องเสื้อผ้าแบรนด์ดังของสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส หลังจากนั้นจึงทำงานในตำแหน่งสไตลิสต์ของนิตยสารโว้ค อเมริกา หญิงสาวเป่าฟองในมือ ลื่นไถลตัวลงอ่าง เธอกลั้นหายใจในน้ำ นับหนึ่งถึงสิบจึงโผขึ้นมาสูดอากาศ
คัทลียาเช็ดศีรษะด้วยผ้าขนหนูเนื้อดี น้ำชายังร้อนอยู่เพราะมีเตาเล็กๆ คอยอุ่นมันอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวรินชาใส่ถ้วย กระเป๋าเดินทางวางกองอยู่ในห้องแต่งตัว
เสียงเคาะประตูตามด้วยเสียงเล็กใสดังลอดเข้ามาพอให้ได้ยิน
“พี่แคลร์คะ นิจเข้าไปได้ไหมคะ”
“เข้ามา”
คะนึงนิจเปิดประตูห้อง เดินเข้าห้องมาอย่างหวาดๆ เธอมองพี่สาวในชุดแมกซี่เดรสยาวกรอมเท้า ผมสีน้ำตาลอ่อนปล่อยยาวจนถึงกลางหลัง ท่านั่งดุจนางพญา แม้จะได้ยินเรื่องราวแย่ๆ ของพี่สาวจากคนรอบข้าง แต่เธอไม่เคยปักใจเชื่อได้เลย
“มาก็ดีแล้ว ลากกระเป๋าใบนั้นมา” คัทลียาชี้ไปที่กระเป๋าล้อลากใบใหญ่ที่สุด คะนึงนิจทำตามที่พี่สาวสั่ง
“ใบนี้หรือคะ”
“ใช่ เปิดดูสิ” คัทลียาสั่ง
คะนึงนิจเปิดกระเป๋า ในนั้นอัดแน่นไปด้วยกล่องตั้งแต่ใบใหญ่จนถึงใบเล็ก
“ของฝาก” คัทลียาดื่มชา พยักเพยิดไปที่กล่องที่เขียนชื่อติดเรียบร้อย “กระเป๋าถือคอลเลกชั่นฤดูหนาว กับรองเท้าของเธอ ส่วนน้ำหอมกับนาฬิกา ของคชา”
“ขอบคุณค่ะ” คะนึงนิจกล่าวอย่างดีใจ หยิบของที่มีชื่อเธอกับคชาขึ้นมา
“ได้ของแล้วก็ออกไปได้ ฉันจะนอน” คัทลียาขึ้นไปบนเตียงสี่เสามีม่านคลุม คะนึงนิจวางของ เดินไปใกล้พี่สาว
“จะได้เวลาอาหารเย็นแล้วนะคะ”
คัทลียาไม่ตอบ สายตาที่มองน้องสาวทำให้คะนึงนิจไม่กล้ากวนอีก เธอเดินกลับออกไปเงียบๆ คชาเปิดประตูห้องให้น้องสาวเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่คั่นระหว่างห้องของเขากับคะนึงนิจ
“ของฝากจากพี่แคลร์” คะนึงนิจยื่นกล่องให้
“โอ๊ะ พี่กำลังอยากได้นาฬิการุ่นนี้พอดี ลิมิเต็ด เอดิชั่นซะด้วย พี่แคลร์นี่รู้ใจจัง” คชารับกล่องมาเปิดดูด้วยความดีใจ
สองพี่น้องรักคัทลียาอย่างสุดซึ้ง ข้อดีของคัทลียาคือ เวลาดีดีใจหาย เป็นพี่สาวคนโตที่น่ารักคอยเล่นกับน้องๆ หากแต่เวลาร้ายก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ส่วนใหญ่คัทลียาจะอยู่ในอารมณ์ไม่ดีเป็นส่วนใหญ่
“พี่แคลร์อารมณ์ดีหรือเปล่า” คชาถาม สวมนาฬิกาเรือนใหม่ทันที
“ไม่ดีไม่ร้าย” คะนึงนิจถอนหายใจ แม้จะอายุยังน้อย คะนึงนิจก็จำได้ดีเมื่ออศวรรฒ์และคุณอนงค์ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ คัทลียายิ่งอารมณ์ร้ายขึ้นทุกวัน คราใดที่เห็นน้องต่างมารดาทั้งสองทำตัวสนิทสนมกับอศวรรฒ์ คัทลียาก็พาลเกลียดเด็กทั้งสองด้วย
“พี่แคลร์กลับมาแล้ว พี่อาร์มคงไม่ค่อยได้กลับบ้าน” คชาพูดกับน้องสาว คะนึงนิจตื่นจากภวังค์
“พี่คชารู้ได้อย่างไร”
“พี่อาร์มบอกกับพี่เอง คิดว่าคุณพ่อคงไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ แต่ก็นะ ตอนนี้พี่อาร์มก็หมั้นแล้ว”
คะนึงนิจพยักหน้า อศวรรฒ์หมั้นกับลูกสาวของนักการเมืองรุ่นใหญ่ ซึ่งตอนนี้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และเป็นที่คาดว่าคงได้รับตำแหน่งนี้ไปตลอดแม้จะเปลี่ยนรัฐบาลกี่ชุดก็ตาม
“พี่ไปทำงานล่ะนะ”
“ค่ะ นิจจะลงไปช่วยน้านงค์เตรียมอาหารเย็น” คะนึงนิจนำของฝากไปเก็บในห้องนอน พอเข้าไปในครัว อนงค์กำลังทำอาหารด้วยตัวเอง
“วันนี้คุณน้าลงมือเองเลยหรือคะ” คะนึงนิจเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
“ค่ะ ของโปรดพี่แคลร์ทั้งนั้นเลย” คะนึงนิจมองดูอาหาร แล้วคิดในใจว่า
“หวังว่าน้านงคงไม่ต้องเหนื่อยเปล่า”
“คุณนิจออกไปนั่งดูโทรทัศน์เถอะค่ะ น้าทำเอง”
“ค่ะ” คะนึงนิจทำตามอย่างว่าง่าย
ศันต์ ชิณเขตต์ นักธุรกิจเจ้าของบริษัทยา รายใหญ่หนึ่งในสามของประเทศ กำลังป่วยหนัก มีแต่เขากับอศวรรฒ์เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ ทุกเดือนเขาต้องบินไปพบแพทย์ที่ต่างประเทศ หากพนักงานในบริษัท หรือคู่แข่งทางธุรกิจรู้เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องดีแน่
ชายวัยกลางคนนั่งอยู่ด้านหลังรถวอลโว่ ฟังข่าวผ่านหูมากกว่าจะตั้งใจฟังจริงๆ วันนี้ลูกสาวคนโตจะกลับจากอเมริกา เขาไม่เคยรู้เลยว่าตลอดเวลาที่ลูกอยู่ที่โน่นเพียงลำพังทำอะไรบ้าง ที่เขารู้มีแต่ข่าวเสียๆ หายๆ ลอยมาจากคนรู้จัก ซึ่งไม่ใช่เพื่อนลูกสาวเขาแน่นอน เท่าที่รู้คัทลียาคบแต่เพื่อนต่างชาติ เวลามีงานสังคมของคนไทยในนิวยอร์ก เธอไม่เคยไปร่วมงาน เขารู้ดีว่าคัทลียาคิดมาตลอดว่าตัวเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้แม่เธอตาย
ศันต์ ถอนหายใจเบาๆ ถ้าคัทลียารู้สาเหตุที่เธอต้องกลับมาเมืองไทย คงจะอาละวาดบ้านแตก รถวอลโว่สีดำสนิทจอดเทียบชานบันได คนขับรถลงมาเปิดประตู ศันต์ก้าวลงจากรถ คะนึงนิจลูกสาวคนเล็กวิ่งลงมารับ
“กลับมาแล้วหรือคะ” คะนึงนิจเข้ามาเกาะแขนบิดา
“พี่เราเป็นไงบ้าง” ศันต์ถามถึงลูกสาวคนโต
“พักผ่อนอยู่ค่ะ พี่แคลร์ซื้อของมาฝากนิจกับพี่คชาด้วย” คะนึงนิจพูดอย่างร่าเริง ศันต์ฟังแล้วก็พยักหน้าเขาส่งเสื้อนอกให้คนรับใช้นำไปเก็บ
“อาร์มล่ะ กลับมาหรือยัง”
“พี่อาร์มเอาเอกสารไปให้คุณพ่อไม่ใช่หรือคะ” คะนึงนิจถามงงๆ
“ใช่ พ่อก็นึกว่าอาร์มกลับมาถึงบ้านแล้ว”
“พี่อาร์มบอกว่าไม่กลับมาทานข้าวเย็นค่ะ”
“คงไปหาคู่หมั้นเขาล่ะมั้ง คุณนงค์ล่ะ”
“อยู่ในครัวค่ะ”
ศันต์พยักหน้ารับรู้ แยกตัวเดินไปห้องทำงานซึ่งอยู่ปีกขวาของบ้าน คะนึงนิจมองตามบิดา หลายเดือนมานี้เธอสังเกตว่าพ่อเธอดูเหนื่อยล้า แต่เธอก็ไม่กล้าถามเรื่องสุขภาพของพ่อ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ม่านบังใจ โดย กัณฐมาศ
ม่านบังใจ (ชื่อชั่วคราว) ตอนที่ ๒
“พี่อาร์มจะรับชาหรือกาแฟคะ” คะนึงนิจถาม
“พี่ขอกาแฟครับ ขนมไม่ต้อง” อศวรรฒ์นั่งลง รับกาแฟจากคะนึงนิจ
“พี่แคลร์สวยมากเลยนะคะ” คะนึงนิจพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจในตัวพี่สาวต่างมารดา
“ครับ” อศวรรฒ์ตอบสั้นๆ
“พี่แคลร์กลับมาเมืองไทย คงเนื้อหอมมากแน่ๆ” คะนึงนิจพูดต่อ พลางตักขนมใส่ปาก
“คชาไปไหนครับ ไม่มาทานของว่าง”
“มาแล้วครับ” คชาเดินมานั่งลงข้างอศวรรฒ์
“พี่อาร์มต้องเข้าบริษัทอีกหรือคะ”
“ครับ พี่มีประชุมต่ออีก คงกลับดึก”
“วันนี้พี่แคลร์กลับมา คุณพ่อบอกว่าจะกลับมาทานข้าวเย็นที่บ้าน แต่พี่อาร์มไม่อยู่” คชาบ่นอย่างเสียดาย
“พี่คิดว่า ไม่มีพี่ร่วมโต๊ะจะดีกว่า” อศวรรฒ์พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“พี่อาร์มไม่ต้องคิดมากหรอกครับ พี่แคลร์โตแล้ว คงไม่คิดเรื่องพวกนั้นแล้วล่ะ” คชาปลอบ แต่อศวรรฒ์ไม่คิดอย่างนั้น
“พี่ไปก่อนนะ” อศวรรฒ์ลุกขึ้นหยิบเอกสารแล้วเดินออกไป สวนกลับมารดาที่เดินเข้ามา
“จะไปแล้วหรือลูก” อนงค์ถาม
“ครับ เย็นนี้ไม่ต้องรอนะครับ ทานข้าวกันก่อนเลย”
“จ้ะ ลูก ขับรถดีๆ นะ”
อนงค์มองตามหลังลูกชาย รู้ดีว่าอศวรรฒ์พยายามเลี่ยงอะไรอยู่
“คุณน้าคะ มานั่งดื่มน้ำชาพักเหนื่อยก่อนดีกว่าคะ” คะนึงนิจเข้ามาโอบกอดอนงค์
“ค่ะ คุณนิจ” อนงค์เดินตามหญิงสาวรุ่นลูก
“คุณน้าเหนื่อยตั้งแต่เช้าแล้ว” คะนึงนิจรินน้ำชามาวางตรงหน้า ส่วนคชาก็ตักขนมมาให้
“ขอบคุณค่ะ” อนงค์ยกน้ำชาขึ้นจิบ
“พี่แคลร์ทำอะไรอยู่น้า” คะนึงนิจพูดกับตัวเอง
คัทลียานอนแช่อยู่ในอ่างจากุชชี่ สายตาเหม่อมองเพดานวาดลวดลายดอกลาเวนเดอร์ดอกไม้โปรดของเธอ เสียงเพลงคลาสสิกดังคลอ จนถึงตอนนี้เธอยังคิดเหตุผลที่พ่อเรียกตัวกลับมาไม่ได้
“ถ้าแกไม่กลับ แกจะถูกตัดจากกองมรดก เงินสักแดงเดียวแกก็จะไม่ได้ อ้อ แล้วอพาร์ทเมน์กับบ้านที่อเมริกา ก็ยังเป็นชื่อของพ่ออยู่ อย่าลืมซะล่ะ” ศันต์ยื่นคำขาดให้ลูกสาวคนโต
พ่อของเธอไม่เคยรู้เลยว่า หญิงสาวมีงานการทำเป็นหลักแหล่ง หลังจบไฮสคูล คัทลียาสมัครเรียนบริหารธุรกิจตามที่พ่อต้องการ แต่ไม่เคยเข้าเรียนจึงถูกคัดชื่อออก ทุกปีการศึกษาเธอจะสมัครเรียนสถาบันแห่งใหม่ โดยที่ไม่เคยเข้าเรียนเลยสักแห่งเดียว
คัทลียาเรียนจบปริญญาตรีและโทที่พาร์สัน เดอะ นิว สคูล ฟอร์ ดีไซน์ ด้านแฟชั่นดีไซน์ เธอไม่เคยบอกให้คนในครอบครัวรู้ วันรับปริญญาจึงเป็นวันที่เงียบเหงาที่สุดในชีวิต หลังเรียนจบ เธอฝึกงานอยู่ที่ห้องเสื้อผ้าแบรนด์ดังของสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส หลังจากนั้นจึงทำงานในตำแหน่งสไตลิสต์ของนิตยสารโว้ค อเมริกา หญิงสาวเป่าฟองในมือ ลื่นไถลตัวลงอ่าง เธอกลั้นหายใจในน้ำ นับหนึ่งถึงสิบจึงโผขึ้นมาสูดอากาศ
คัทลียาเช็ดศีรษะด้วยผ้าขนหนูเนื้อดี น้ำชายังร้อนอยู่เพราะมีเตาเล็กๆ คอยอุ่นมันอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวรินชาใส่ถ้วย กระเป๋าเดินทางวางกองอยู่ในห้องแต่งตัว
เสียงเคาะประตูตามด้วยเสียงเล็กใสดังลอดเข้ามาพอให้ได้ยิน
“พี่แคลร์คะ นิจเข้าไปได้ไหมคะ”
“เข้ามา”
คะนึงนิจเปิดประตูห้อง เดินเข้าห้องมาอย่างหวาดๆ เธอมองพี่สาวในชุดแมกซี่เดรสยาวกรอมเท้า ผมสีน้ำตาลอ่อนปล่อยยาวจนถึงกลางหลัง ท่านั่งดุจนางพญา แม้จะได้ยินเรื่องราวแย่ๆ ของพี่สาวจากคนรอบข้าง แต่เธอไม่เคยปักใจเชื่อได้เลย
“มาก็ดีแล้ว ลากกระเป๋าใบนั้นมา” คัทลียาชี้ไปที่กระเป๋าล้อลากใบใหญ่ที่สุด คะนึงนิจทำตามที่พี่สาวสั่ง
“ใบนี้หรือคะ”
“ใช่ เปิดดูสิ” คัทลียาสั่ง
คะนึงนิจเปิดกระเป๋า ในนั้นอัดแน่นไปด้วยกล่องตั้งแต่ใบใหญ่จนถึงใบเล็ก
“ของฝาก” คัทลียาดื่มชา พยักเพยิดไปที่กล่องที่เขียนชื่อติดเรียบร้อย “กระเป๋าถือคอลเลกชั่นฤดูหนาว กับรองเท้าของเธอ ส่วนน้ำหอมกับนาฬิกา ของคชา”
“ขอบคุณค่ะ” คะนึงนิจกล่าวอย่างดีใจ หยิบของที่มีชื่อเธอกับคชาขึ้นมา
“ได้ของแล้วก็ออกไปได้ ฉันจะนอน” คัทลียาขึ้นไปบนเตียงสี่เสามีม่านคลุม คะนึงนิจวางของ เดินไปใกล้พี่สาว
“จะได้เวลาอาหารเย็นแล้วนะคะ”
คัทลียาไม่ตอบ สายตาที่มองน้องสาวทำให้คะนึงนิจไม่กล้ากวนอีก เธอเดินกลับออกไปเงียบๆ คชาเปิดประตูห้องให้น้องสาวเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่คั่นระหว่างห้องของเขากับคะนึงนิจ
“ของฝากจากพี่แคลร์” คะนึงนิจยื่นกล่องให้
“โอ๊ะ พี่กำลังอยากได้นาฬิการุ่นนี้พอดี ลิมิเต็ด เอดิชั่นซะด้วย พี่แคลร์นี่รู้ใจจัง” คชารับกล่องมาเปิดดูด้วยความดีใจ
สองพี่น้องรักคัทลียาอย่างสุดซึ้ง ข้อดีของคัทลียาคือ เวลาดีดีใจหาย เป็นพี่สาวคนโตที่น่ารักคอยเล่นกับน้องๆ หากแต่เวลาร้ายก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ส่วนใหญ่คัทลียาจะอยู่ในอารมณ์ไม่ดีเป็นส่วนใหญ่
“พี่แคลร์อารมณ์ดีหรือเปล่า” คชาถาม สวมนาฬิกาเรือนใหม่ทันที
“ไม่ดีไม่ร้าย” คะนึงนิจถอนหายใจ แม้จะอายุยังน้อย คะนึงนิจก็จำได้ดีเมื่ออศวรรฒ์และคุณอนงค์ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ คัทลียายิ่งอารมณ์ร้ายขึ้นทุกวัน คราใดที่เห็นน้องต่างมารดาทั้งสองทำตัวสนิทสนมกับอศวรรฒ์ คัทลียาก็พาลเกลียดเด็กทั้งสองด้วย
“พี่แคลร์กลับมาแล้ว พี่อาร์มคงไม่ค่อยได้กลับบ้าน” คชาพูดกับน้องสาว คะนึงนิจตื่นจากภวังค์
“พี่คชารู้ได้อย่างไร”
“พี่อาร์มบอกกับพี่เอง คิดว่าคุณพ่อคงไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ แต่ก็นะ ตอนนี้พี่อาร์มก็หมั้นแล้ว”
คะนึงนิจพยักหน้า อศวรรฒ์หมั้นกับลูกสาวของนักการเมืองรุ่นใหญ่ ซึ่งตอนนี้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และเป็นที่คาดว่าคงได้รับตำแหน่งนี้ไปตลอดแม้จะเปลี่ยนรัฐบาลกี่ชุดก็ตาม
“พี่ไปทำงานล่ะนะ”
“ค่ะ นิจจะลงไปช่วยน้านงค์เตรียมอาหารเย็น” คะนึงนิจนำของฝากไปเก็บในห้องนอน พอเข้าไปในครัว อนงค์กำลังทำอาหารด้วยตัวเอง
“วันนี้คุณน้าลงมือเองเลยหรือคะ” คะนึงนิจเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
“ค่ะ ของโปรดพี่แคลร์ทั้งนั้นเลย” คะนึงนิจมองดูอาหาร แล้วคิดในใจว่า
“หวังว่าน้านงคงไม่ต้องเหนื่อยเปล่า”
“คุณนิจออกไปนั่งดูโทรทัศน์เถอะค่ะ น้าทำเอง”
“ค่ะ” คะนึงนิจทำตามอย่างว่าง่าย
ศันต์ ชิณเขตต์ นักธุรกิจเจ้าของบริษัทยา รายใหญ่หนึ่งในสามของประเทศ กำลังป่วยหนัก มีแต่เขากับอศวรรฒ์เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ ทุกเดือนเขาต้องบินไปพบแพทย์ที่ต่างประเทศ หากพนักงานในบริษัท หรือคู่แข่งทางธุรกิจรู้เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องดีแน่
ชายวัยกลางคนนั่งอยู่ด้านหลังรถวอลโว่ ฟังข่าวผ่านหูมากกว่าจะตั้งใจฟังจริงๆ วันนี้ลูกสาวคนโตจะกลับจากอเมริกา เขาไม่เคยรู้เลยว่าตลอดเวลาที่ลูกอยู่ที่โน่นเพียงลำพังทำอะไรบ้าง ที่เขารู้มีแต่ข่าวเสียๆ หายๆ ลอยมาจากคนรู้จัก ซึ่งไม่ใช่เพื่อนลูกสาวเขาแน่นอน เท่าที่รู้คัทลียาคบแต่เพื่อนต่างชาติ เวลามีงานสังคมของคนไทยในนิวยอร์ก เธอไม่เคยไปร่วมงาน เขารู้ดีว่าคัทลียาคิดมาตลอดว่าตัวเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้แม่เธอตาย
ศันต์ ถอนหายใจเบาๆ ถ้าคัทลียารู้สาเหตุที่เธอต้องกลับมาเมืองไทย คงจะอาละวาดบ้านแตก รถวอลโว่สีดำสนิทจอดเทียบชานบันได คนขับรถลงมาเปิดประตู ศันต์ก้าวลงจากรถ คะนึงนิจลูกสาวคนเล็กวิ่งลงมารับ
“กลับมาแล้วหรือคะ” คะนึงนิจเข้ามาเกาะแขนบิดา
“พี่เราเป็นไงบ้าง” ศันต์ถามถึงลูกสาวคนโต
“พักผ่อนอยู่ค่ะ พี่แคลร์ซื้อของมาฝากนิจกับพี่คชาด้วย” คะนึงนิจพูดอย่างร่าเริง ศันต์ฟังแล้วก็พยักหน้าเขาส่งเสื้อนอกให้คนรับใช้นำไปเก็บ
“อาร์มล่ะ กลับมาหรือยัง”
“พี่อาร์มเอาเอกสารไปให้คุณพ่อไม่ใช่หรือคะ” คะนึงนิจถามงงๆ
“ใช่ พ่อก็นึกว่าอาร์มกลับมาถึงบ้านแล้ว”
“พี่อาร์มบอกว่าไม่กลับมาทานข้าวเย็นค่ะ”
“คงไปหาคู่หมั้นเขาล่ะมั้ง คุณนงค์ล่ะ”
“อยู่ในครัวค่ะ”
ศันต์พยักหน้ารับรู้ แยกตัวเดินไปห้องทำงานซึ่งอยู่ปีกขวาของบ้าน คะนึงนิจมองตามบิดา หลายเดือนมานี้เธอสังเกตว่าพ่อเธอดูเหนื่อยล้า แต่เธอก็ไม่กล้าถามเรื่องสุขภาพของพ่อ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ม่านบังใจ โดย กัณฐมาศ