ผมว่าผมไม่ปัญญาอ่อนแน่ ๆ ครับ ส่วนใครจะปัญญาอ่อนหรือไม่ผมไม่รู้ แต่อ่านข่าวแล้ว...

กระทู้สนทนา
ตลอดการหาเสียงการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.  โดยเฉพาะช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง
ใครที่ไหนก็เห็น ก็ได้ยินหมดครับ  ว่าอะไรเป็นยังไง  ใครหาเสียงในลักษณะใด
ยกเว้นคนปัญญาอ่อนที่จะไม่รู้ไม่เห็นในสิ่งที่ใครไหนก็เห็น


กฎหมายการหาเสียงเลือกตั้ง บอกไว้ว่า

มาตรา 57 ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ตนเอง หรือผู้สมัครอื่น
หรือให้งดเว้นการลงคะแนนเลือกตั้ง ให้แก่ผู้สมัครใดด้วยวิธีการ คือ
(1) จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด
(2) ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าโดยทางตรง หรือทางอ้อมแก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถาบันการศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใดที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
(3) ทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งด้วยการจัดให้มีมหรสพหรือการรื่นเริงต่างๆ
(4) เลี้ยงหรือรับจะจัดเลี้ยงผู้ใด
(5) หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้าย หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในเรื่องใดอันเกี่ยวกับผู้สมัครใด

จากถ้อยบัญญัติของกฎหมาย  กับสิ่งที่ปรากฎให้เห็นในการหาเสียง
เป็นเรื่องไม่ยากเลยครับ  ที่จะพิจารณาว่าผิดหรือไม่ผิด
ไม่น่าเกินสามสิบวัน (ความจริงไม่น่าเกิน 15 วันด้วยซ้ำ)
อย่าเล่นแง่   ให้เกิน 30 วัน  แล้วรับรองไปก่อน  แล้วทำทีให้เหลือง  แล้วส่งศาล  แล้วศาลบอกไม่ผิด
หลุดตามเคย

................................


ความแปลกประหลาดของประธานศาลรัฐธรรมนูญ
จากข่าว  http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMk16TXpPVEUyTnc9PQ==&catid=01
นายวสันต์ กล่าวระหว่างงานสัมมนาตอนหนึ่งถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุบพรรคพลังประชาชน ชาติไทย และมัชฌิมา
ว่าในช่วงเวลาดังกล่าวบ้านเมืองกำลังวุ่นวาย กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล
และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)บุกบ้านพักของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี  
ซึ่งหากกขณะนั้นบ้านเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย  รัฐบาลและฝ่ายค้านจับมือกัน บ้านเมืองสามารถเดินหน้าต่อไปได้นั้น
เชื่อว่าตุลาการเสียงข้างมากคงจะใช้ดุลยพินิจไม่สั่งยุบพรรค เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้

แต่ขณะนั้นบ้านเมืองวุ่นวาย หาทางออกไม่เจอ ศาลรัฐธรรมนูญ จึงต้องวินิจฉัยเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย
โดยยืนยันว่าการวินิจฉัยครั้งนั้นไม่ได้เป็นไปตามกระแสหรือตามอำนาจที่ใครกล่าวหา
ทั้งนี้ก่อนการพิจารณาครั้งนั้นศาลฯได้มีการย้ายสถานที่ในการพิจารณาวินิจฉัยจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ(เดิม)
เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าของมวลชนที่มาปิดล้อมศาลเพื่อไม่ให้พิจารณาคดีดังกล่าวโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 35
เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้

***หมายเหตุคนหล่อ :  
นายวสันต์มั่วอิ๊บอ๋าย   ตอนนั้นพันธมิตรออกจากทำเนียบแล้ว  ไปปิดสนามบินโน่น  และ นปช. ไปบ้านเปรมน่ะ  ปี 2550  นู่นนน...


เรื่องนี้  นายวสันต์อ้างว่า  ศาลรัฐธรรมนูญยุบสามพรรคการเมืองเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้  เพื่อรักษาความสงบเรีียบร้อย
ก็เลยสงสัยว่า  มันเป็นอำนาจหน้าที่ส่วนใดของศาลรัฐธรรมนูญที่จะมายุ่งเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
โดยเฉพาะประโยคที่นายวสันต์พูดว่า
"ซึ่งหากกขณะนั้นบ้านเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย  รัฐบาลและฝ่ายค้านจับมือกัน
บ้านเมืองสามารถเดินหน้าต่อไปได้นั้น เชื่อว่าตุลาการเสียงข้างมากคงจะใช้ดุลยพินิจไม่สั่งยุบพรรค
เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้"


ประเด็นก็คือ  สามพรรคที่ถูกยุบ  ทำผิดกฎหมายพรรคการเมืองข้อใดประการใด  จึงควรโดนยุบ
ไม่ใช่ยุบเพราะบ้านเมืองวุ่นวาย  เลยยุบพรรค   มันกฎหมายข้อไหน   มันอำนาจหน้าที่ข้อใด
อะไรวะ  ศาลแบบไหนเนี่ย  อยากยุบก็ยุบ  ไม่อยากยุบก็ไม่ยุบ  อ้างสถานการณ์เป็นหลัก  ไม่ใช่กฎหมายเป็นหลัก

หากพรุ่งนี้  ประชาชนเดินขบวน   วุ่นวาย    พวกเอ็งก็ยุึบพรรคไทยรักไทยซะสิ   รัฐบาลจะได้ล่ม   บ้านเมืองจะได้สงบ
มันไม่ได้เรื่องจริง ๆ ครับ


^
จากสองเรื่องที่กล่าวมา
ผมจึงบอกว่า   ผมไม่ปัญญาอ่อนแน่ ๆ
แต่ใครจะปัญญาอ่อนหรือไม่
ก็พิจารณากันเองเองครับ

.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่