
TITLE: "The Menu" - ไอ้ที่ว่าหรู มันจะพาเราไปถึงไหนกัน? (รีวิวแบบคนดูจริง มีสปอยล์นิดๆ นะครับ)
สวัสดีครับ ชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมขอมาเล่าประสบการณ์ตรงจากการดูหนังที่ชื่อว่า "The Menu" ครับ เป็นหนังที่ผมเห็นคนพูดถึงกันเยอะมากในช่วงนี้ ทั้งหน้าหนังที่ดูดีมีสไตล์ วัตถุดิบระดับพรีเมียม (ในเรื่องนะครับ) แล้วก็เรื่องราวที่ดูเหมือนจะลึกลับซับซ้อน พอได้ดูก็ต้องบอกเลยว่า... มันไม่ใช่แค่หนังอาหารหรูธรรมดาๆ แน่นอนครับ
หนังพาเราไปที่เกาะอันห่างไกล ที่ตั้งของร้านอาหารสุดยอด "Hawthorne" ของเชฟ Julian Slowik อันเลื่องชื่อ ที่นี่ไม่ใช่ร้านที่จะจองกันง่ายๆ ครับ ต้องมีเส้นสาย หรือไม่ก็ต้องเป็นขาประจำที่รู้ใจเชฟจริงๆ ผู้กำกับ Mark Mylod เขาค่อยๆ ปูเรื่องให้เราเห็นภาพบรรยากาศสุดเอ็กซ์คลูซีฟ การต้อนรับที่ดูพิถีพิถัน แต่แฝงไปด้วยความเย็นชาเล็กๆ ตั้งแต่ก้าวเท้าลงจากเรือเลยทีเดียวครับ
ตัวละครหลักที่เราจะตามติดไปก็คือ Tyler (รับบทโดย Nicholas Hoult) แฟนพันธุ์แท้ของเชฟ Slowik ที่พาแฟนสาว Margot (รับบทโดย Anya Taylor-Joy) มาฉลองวันเกิด ถึงแม้ Tyler จะดูหลงใหลในทุกสิ่งทุกอย่างที่เชฟนำเสนอ แต่ Margot กลับดูไม่ค่อยอินเท่าไหร่ เธอเป็นคนนอกในกลุ่มลูกค้าที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี ซึ่งมีทั้งนักวิจารณ์อาหาร ดาราฮอลลีวูด นักธุรกิจเทคโนโลยี และเหล่าเศรษฐีที่พร้อมจะควักกระเป๋าจ่ายเพื่อประสบการณ์สุดพิเศษ
แต่ละคอร์สอาหารที่เสิร์ฟมาก็ไม่ใช่แค่การปรุงอาหารธรรมดาครับ มันคือการเล่าเรื่อง เป็นเหมือนการแสดงที่เชฟ Slowik ตั้งใจจะสื่อสารอะไรบางอย่างกับแขกทุกท่าน การนำเสนอแต่ละจานก็อลังการงานสร้างมากครับ สีสัน รสชาติ (ที่ดูจากหน้าตัวละคร) และการจัดวาง บอกเลยว่าทำออกมาได้น่ากินและน่าทึ่งจริงๆ ครับ
แต่พอเรื่องดำเนินไป เราจะเริ่มรู้สึกได้ว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากล ปกติเวลาไปกินข้าวที่ไหน ถ้าไม่โอเคก็แค่จ่ายเงินแล้วก็เดินออกมาใช่ไหมครับ? แต่ที่ Hawthorne นี่ไม่ใช่แบบนั้นครับ เชฟ Slowik ไม่ได้ต้องการแค่มาเสิร์ฟอาหารอร่อยๆ ให้เรากินเฉยๆ แต่เขามี "เมนูพิเศษ" ที่เตรียมไว้ให้แขกทุกคน ซึ่งเมนูนั้นไม่ใช่แค่ของคาวของหวาน แต่เป็นเหมือนการเปิดโปงความลับ การลงโทษ หรือแม้กระทั่งการตัดสินชีวิตของใครบางคน
จุดที่ผมชอบมากๆ คือบทสนทนาและการสร้างบรรยากาศครับ หนังมันค่อยๆ บีบคั้นเราให้ลุ้นระทึกไปกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน นักแสดงทุกคนแสดงได้ดีครับ โดยเฉพาะ Anya Taylor-Joy ในบท Margot ที่เป็นเหมือนตัวแทนของผู้ชมอย่างเรา ที่พยายามหาทางเอาตัวรอดและตั้งคำถามกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเป็นคนที่ทำให้เรามีจุดยึดในเรื่องนี้ครับ
ส่วนเชฟ Slowik ที่รับบทโดย Ralph Fiennes นี่สุดยอดมากครับ การแสดงออกทางสีหน้า แววตา น้ำเสียง ทุกอย่างมันสื่อถึงความกดดัน ความโกรธแค้น และความตั้งใจที่จะทำสิ่งที่เขาคิดว่า "ถูกต้อง" ออกมาได้อย่างทรงพลังครับ คุณจะรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวละครนี้ตลอดเวลา
"The Menu" มันไม่ใช่แค่หนังตลกร้าย (Black Comedy) ที่เสียดสีวงการอาหารหรู หรือวงการคนรวยที่ใช้เงินซื้อทุกอย่างนะครับ แต่มันยังสะท้อนถึงประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกด้วย เช่น ความคาดหวังของผู้บริโภคที่มีต่อศิลปิน หรือผู้สร้างสรรค์ผลงาน การที่คนเราถูกกดดันจนถึงจุดที่ต้องหาทางออกในรูปแบบที่รุนแรง หรือแม้กระทั่งการตั้งคำถามถึงคุณค่าของมนุษย์ ว่าจริงๆ แล้วเรามีค่ามากพอที่จะคู่ควรกับ "อาหาร" หรือ "ประสบการณ์" ที่ได้รับหรือไม่
ฉากที่ผมจำได้แม่นเลยคือฉากที่เชฟ Slowik อธิบายถึงที่มาของวัตถุดิบ หรือเบื้องหลังของแต่ละคอร์ส ซึ่งบางอันก็ฟังแล้วขนลุกเลยครับ มันเหมือนเป็นการเฉือดเฉือนทางอารมณ์ของผู้ชมไปพร้อมๆ กับการเฉือดเฉือนวัตถุดิบของเชฟเลยจริงๆ
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้พิเศษคือความสดใหม่ของพล็อตครับ มันไม่ซ้ำซากจำเจ ไม่ได้เดาทางง่ายๆ ถึงแม้จะมีบางช่วงที่รู้สึกว่ามัน "เยอะ" ไปหน่อย หรือ "เกินจริง" ไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วมันก็ยังคงความน่าติดตามไว้ได้ตลอดครับ
สำหรับใครที่กำลังมองหาหนังที่ดูแล้วได้คิด ได้ลุ้น ได้หัวเราะแบบร้ายๆ แล้วก็มีฉากอาหารสวยๆ (ที่อาจจะทำให้คุณอยากกินข้าวเพิ่มขึ้น หรืออาจจะอยากเลิกกินไปเลยก็ได้) "The Menu" เป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามครับ มันเป็นหนังที่ฉลาด มีชั้นเชิง และทิ้งท้ายให้เราได้กลับมาคิดต่อหลังจากดูจบ
แต่ต้องเตือนไว้ก่อนนะครับว่า หนังเรื่องนี้อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ใจบาง หรือแพ้อาหารบางประเภท (ในเรื่องนะครับ) เพราะมันมีฉากที่ค่อนข้างจะรุนแรง หรือชวนให้รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบดูหนังที่ฉีกแนว มีความกล้าที่จะนำเสนอเรื่องราวที่แตกต่าง และชอบการแสดงที่ทรงพลัง "The Menu" ตอบโจทย์แน่นอนครับ
สุดท้ายนี้ ผมขอให้คะแนน "The Menu" ไปเลย 8/10 ครับ เป็นหนังที่ดูสนุก ครบรส และน่าจดจำจริงๆ ครับ ใครดูแล้วมาคุยกันได้นะครับว่าคิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับผม.
"The Menu" - ไอ้ที่ว่าหรู มันจะพาเราไปถึงไหนกัน? (รีวิวแบบคนดูจริง มีสปอยล์นิดๆ นะครับ)
TITLE: "The Menu" - ไอ้ที่ว่าหรู มันจะพาเราไปถึงไหนกัน? (รีวิวแบบคนดูจริง มีสปอยล์นิดๆ นะครับ)
สวัสดีครับ ชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมขอมาเล่าประสบการณ์ตรงจากการดูหนังที่ชื่อว่า "The Menu" ครับ เป็นหนังที่ผมเห็นคนพูดถึงกันเยอะมากในช่วงนี้ ทั้งหน้าหนังที่ดูดีมีสไตล์ วัตถุดิบระดับพรีเมียม (ในเรื่องนะครับ) แล้วก็เรื่องราวที่ดูเหมือนจะลึกลับซับซ้อน พอได้ดูก็ต้องบอกเลยว่า... มันไม่ใช่แค่หนังอาหารหรูธรรมดาๆ แน่นอนครับ
หนังพาเราไปที่เกาะอันห่างไกล ที่ตั้งของร้านอาหารสุดยอด "Hawthorne" ของเชฟ Julian Slowik อันเลื่องชื่อ ที่นี่ไม่ใช่ร้านที่จะจองกันง่ายๆ ครับ ต้องมีเส้นสาย หรือไม่ก็ต้องเป็นขาประจำที่รู้ใจเชฟจริงๆ ผู้กำกับ Mark Mylod เขาค่อยๆ ปูเรื่องให้เราเห็นภาพบรรยากาศสุดเอ็กซ์คลูซีฟ การต้อนรับที่ดูพิถีพิถัน แต่แฝงไปด้วยความเย็นชาเล็กๆ ตั้งแต่ก้าวเท้าลงจากเรือเลยทีเดียวครับ
ตัวละครหลักที่เราจะตามติดไปก็คือ Tyler (รับบทโดย Nicholas Hoult) แฟนพันธุ์แท้ของเชฟ Slowik ที่พาแฟนสาว Margot (รับบทโดย Anya Taylor-Joy) มาฉลองวันเกิด ถึงแม้ Tyler จะดูหลงใหลในทุกสิ่งทุกอย่างที่เชฟนำเสนอ แต่ Margot กลับดูไม่ค่อยอินเท่าไหร่ เธอเป็นคนนอกในกลุ่มลูกค้าที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี ซึ่งมีทั้งนักวิจารณ์อาหาร ดาราฮอลลีวูด นักธุรกิจเทคโนโลยี และเหล่าเศรษฐีที่พร้อมจะควักกระเป๋าจ่ายเพื่อประสบการณ์สุดพิเศษ
แต่ละคอร์สอาหารที่เสิร์ฟมาก็ไม่ใช่แค่การปรุงอาหารธรรมดาครับ มันคือการเล่าเรื่อง เป็นเหมือนการแสดงที่เชฟ Slowik ตั้งใจจะสื่อสารอะไรบางอย่างกับแขกทุกท่าน การนำเสนอแต่ละจานก็อลังการงานสร้างมากครับ สีสัน รสชาติ (ที่ดูจากหน้าตัวละคร) และการจัดวาง บอกเลยว่าทำออกมาได้น่ากินและน่าทึ่งจริงๆ ครับ
แต่พอเรื่องดำเนินไป เราจะเริ่มรู้สึกได้ว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากล ปกติเวลาไปกินข้าวที่ไหน ถ้าไม่โอเคก็แค่จ่ายเงินแล้วก็เดินออกมาใช่ไหมครับ? แต่ที่ Hawthorne นี่ไม่ใช่แบบนั้นครับ เชฟ Slowik ไม่ได้ต้องการแค่มาเสิร์ฟอาหารอร่อยๆ ให้เรากินเฉยๆ แต่เขามี "เมนูพิเศษ" ที่เตรียมไว้ให้แขกทุกคน ซึ่งเมนูนั้นไม่ใช่แค่ของคาวของหวาน แต่เป็นเหมือนการเปิดโปงความลับ การลงโทษ หรือแม้กระทั่งการตัดสินชีวิตของใครบางคน
จุดที่ผมชอบมากๆ คือบทสนทนาและการสร้างบรรยากาศครับ หนังมันค่อยๆ บีบคั้นเราให้ลุ้นระทึกไปกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน นักแสดงทุกคนแสดงได้ดีครับ โดยเฉพาะ Anya Taylor-Joy ในบท Margot ที่เป็นเหมือนตัวแทนของผู้ชมอย่างเรา ที่พยายามหาทางเอาตัวรอดและตั้งคำถามกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเป็นคนที่ทำให้เรามีจุดยึดในเรื่องนี้ครับ
ส่วนเชฟ Slowik ที่รับบทโดย Ralph Fiennes นี่สุดยอดมากครับ การแสดงออกทางสีหน้า แววตา น้ำเสียง ทุกอย่างมันสื่อถึงความกดดัน ความโกรธแค้น และความตั้งใจที่จะทำสิ่งที่เขาคิดว่า "ถูกต้อง" ออกมาได้อย่างทรงพลังครับ คุณจะรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวละครนี้ตลอดเวลา
"The Menu" มันไม่ใช่แค่หนังตลกร้าย (Black Comedy) ที่เสียดสีวงการอาหารหรู หรือวงการคนรวยที่ใช้เงินซื้อทุกอย่างนะครับ แต่มันยังสะท้อนถึงประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกด้วย เช่น ความคาดหวังของผู้บริโภคที่มีต่อศิลปิน หรือผู้สร้างสรรค์ผลงาน การที่คนเราถูกกดดันจนถึงจุดที่ต้องหาทางออกในรูปแบบที่รุนแรง หรือแม้กระทั่งการตั้งคำถามถึงคุณค่าของมนุษย์ ว่าจริงๆ แล้วเรามีค่ามากพอที่จะคู่ควรกับ "อาหาร" หรือ "ประสบการณ์" ที่ได้รับหรือไม่
ฉากที่ผมจำได้แม่นเลยคือฉากที่เชฟ Slowik อธิบายถึงที่มาของวัตถุดิบ หรือเบื้องหลังของแต่ละคอร์ส ซึ่งบางอันก็ฟังแล้วขนลุกเลยครับ มันเหมือนเป็นการเฉือดเฉือนทางอารมณ์ของผู้ชมไปพร้อมๆ กับการเฉือดเฉือนวัตถุดิบของเชฟเลยจริงๆ
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้พิเศษคือความสดใหม่ของพล็อตครับ มันไม่ซ้ำซากจำเจ ไม่ได้เดาทางง่ายๆ ถึงแม้จะมีบางช่วงที่รู้สึกว่ามัน "เยอะ" ไปหน่อย หรือ "เกินจริง" ไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วมันก็ยังคงความน่าติดตามไว้ได้ตลอดครับ
สำหรับใครที่กำลังมองหาหนังที่ดูแล้วได้คิด ได้ลุ้น ได้หัวเราะแบบร้ายๆ แล้วก็มีฉากอาหารสวยๆ (ที่อาจจะทำให้คุณอยากกินข้าวเพิ่มขึ้น หรืออาจจะอยากเลิกกินไปเลยก็ได้) "The Menu" เป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามครับ มันเป็นหนังที่ฉลาด มีชั้นเชิง และทิ้งท้ายให้เราได้กลับมาคิดต่อหลังจากดูจบ
แต่ต้องเตือนไว้ก่อนนะครับว่า หนังเรื่องนี้อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ใจบาง หรือแพ้อาหารบางประเภท (ในเรื่องนะครับ) เพราะมันมีฉากที่ค่อนข้างจะรุนแรง หรือชวนให้รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบดูหนังที่ฉีกแนว มีความกล้าที่จะนำเสนอเรื่องราวที่แตกต่าง และชอบการแสดงที่ทรงพลัง "The Menu" ตอบโจทย์แน่นอนครับ
สุดท้ายนี้ ผมขอให้คะแนน "The Menu" ไปเลย 8/10 ครับ เป็นหนังที่ดูสนุก ครบรส และน่าจดจำจริงๆ ครับ ใครดูแล้วมาคุยกันได้นะครับว่าคิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับผม.