จากกระแสข่าวที่ปรากฏเกี่ยวกับเครื่องบินขนาดใหญ่ซึ่งบินอ้อมน่านฟ้าไทย มุ่งหน้าจากกรุงมินสก์ ประเทศเบลารุส ไปลงที่กรุงพนมเปญ ทำให้หลายฝ่ายเริ่มจับตาและตั้งข้อสังเกตถึงความเป็นไปได้ในการขนส่งยุทโธปกรณ์ทางทหาร โดยเฉพาะระบบป้องกันภัยทางอากาศ (Air Defense) ที่เบลารุสมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ
เบลารุสถือเป็นประเทศที่มีจุดแข็งด้านอาวุธต่อสู้อากาศยาน ซึ่งสืบทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้มาจากสายโซเวียต–รัสเซีย ระบบจำนวนมากได้รับการพัฒนา ปรับปรุง และซ่อมบำรุงภายในประเทศเอง หนึ่งในระบบที่ถูกกล่าวถึงบ่อยคือ
Buk-M1 ซึ่งเป็นระบบจรวดนำวิถีต่อสู้อากาศยานพิสัยกลางที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล

หากมีการนำระบบลักษณะดังกล่าวเข้าประจำการจริง ย่อมส่งผลต่อสมดุลด้านความมั่นคงทางอากาศอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากจรวดนำวิถีแบบ SAM รุ่นใหม่มีความเร็วสูงมาก เมื่อเทียบกับเครื่องบินรบทั่วไป โอกาสในการหลบหลีกหลังจากถูกตรวจจับและยิงจึงมีจำกัดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะระบบ SAM ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงกับเรดาร์ตรวจจับระยะไกล
บทเรียนจากประวัติศาสตร์ทางทหารสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า แม้แต่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ก่อนจะเปิดปฏิบัติการทางอากาศในอิรัก ยังต้องใช้ขีปนาวุธร่อนโจมตีฐานระบบ SAM จำนวนมาก เพื่อเปิดทางให้เครื่องบินสามารถปฏิบัติการได้อย่างปลอดภัย ความเป็นจริงในสนามรบจึงแตกต่างจากภาพในภาพยนตร์อย่างสิ้นเชิง การหลบหลีกขีปนาวุธที่มีความเร็วระดับ Mach 4–6 ไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับเครื่องบินที่ทำความเร็วได้เพียงราว Mach 2
ในทางเทคนิค เครื่องบินยังพอมีโอกาสรับมือกับระบบ SAM ขนาดเล็ก หรืออาวุธต่อสู้อากาศยานแบบประทับบ่ายิง (MANPADS) แต่สำหรับระบบ SAM ขนาดใหญ่ หากถูกเรดาร์ตรวจจับและถูกยิงจรวดใส่ โอกาสรอดถือว่าน้อยมาก

ด้วยเหตุนี้ ความเคลื่อนไหวด้านการจัดหาอาวุธจากประเทศที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างเบลารุส จึงไม่ใช่ประเด็นที่ควรมองข้าม และเป็นสิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงจำเป็นต้องติดตาม ประเมินสถานการณ์ และเตรียมรับมืออย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและความปลอดภัยของภูมิภาคโดยรวม

หากเป็นจริง "บิ๊กเล็กกับคนสั่งหยุดต้องรับผิดชอบเต็มๆ"
หมายเหตุ "รับผิดชอบด้วยการลาออกก็ไม่เพียงพอ" นะครับท่าน
ความเคลื่อนไหวเครื่องบินจากเบลารุสกับความเสี่ยงด้านระบบป้องกันภัยทางอากาศ
เบลารุสถือเป็นประเทศที่มีจุดแข็งด้านอาวุธต่อสู้อากาศยาน ซึ่งสืบทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้มาจากสายโซเวียต–รัสเซีย ระบบจำนวนมากได้รับการพัฒนา ปรับปรุง และซ่อมบำรุงภายในประเทศเอง หนึ่งในระบบที่ถูกกล่าวถึงบ่อยคือ Buk-M1 ซึ่งเป็นระบบจรวดนำวิถีต่อสู้อากาศยานพิสัยกลางที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
หากมีการนำระบบลักษณะดังกล่าวเข้าประจำการจริง ย่อมส่งผลต่อสมดุลด้านความมั่นคงทางอากาศอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากจรวดนำวิถีแบบ SAM รุ่นใหม่มีความเร็วสูงมาก เมื่อเทียบกับเครื่องบินรบทั่วไป โอกาสในการหลบหลีกหลังจากถูกตรวจจับและยิงจึงมีจำกัดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะระบบ SAM ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงกับเรดาร์ตรวจจับระยะไกล
บทเรียนจากประวัติศาสตร์ทางทหารสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า แม้แต่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ก่อนจะเปิดปฏิบัติการทางอากาศในอิรัก ยังต้องใช้ขีปนาวุธร่อนโจมตีฐานระบบ SAM จำนวนมาก เพื่อเปิดทางให้เครื่องบินสามารถปฏิบัติการได้อย่างปลอดภัย ความเป็นจริงในสนามรบจึงแตกต่างจากภาพในภาพยนตร์อย่างสิ้นเชิง การหลบหลีกขีปนาวุธที่มีความเร็วระดับ Mach 4–6 ไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับเครื่องบินที่ทำความเร็วได้เพียงราว Mach 2
ในทางเทคนิค เครื่องบินยังพอมีโอกาสรับมือกับระบบ SAM ขนาดเล็ก หรืออาวุธต่อสู้อากาศยานแบบประทับบ่ายิง (MANPADS) แต่สำหรับระบบ SAM ขนาดใหญ่ หากถูกเรดาร์ตรวจจับและถูกยิงจรวดใส่ โอกาสรอดถือว่าน้อยมาก
ด้วยเหตุนี้ ความเคลื่อนไหวด้านการจัดหาอาวุธจากประเทศที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างเบลารุส จึงไม่ใช่ประเด็นที่ควรมองข้าม และเป็นสิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงจำเป็นต้องติดตาม ประเมินสถานการณ์ และเตรียมรับมืออย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและความปลอดภัยของภูมิภาคโดยรวม
หากเป็นจริง "บิ๊กเล็กกับคนสั่งหยุดต้องรับผิดชอบเต็มๆ"
หมายเหตุ "รับผิดชอบด้วยการลาออกก็ไม่เพียงพอ" นะครับท่าน