
: ใครว่าเรื่องการเงินน่าเบื่อ? The Big Short ฉบับดูแล้วอึ้ง!
สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ชาว Pantip ที่รักทุกท่าน วันนี้ผมขออาสามาเล่าประสบการณ์การดูหนังเรื่อง "The Big Short" (2015) ที่เพิ่งมีโอกาสได้หยิบมาดูครับ บอกตรงๆ ว่าตอนแรกก็แอบหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน กลัวจะหลับกลางอากาศ เพราะเห็นว่าเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจ การเงิน อะไรพวกนี้ ซึ่งปกติผมก็ไม่ใช่สายเก่งเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่อยากลองเปิดโลกดูบ้าง ปรากฏว่า... โคตรมันส์ครับ! ใครที่คิดว่าหนังการเงินต้องเครียด ต้องใช้สมองเยอะๆ ขอบอกว่าเรื่องนี้เปลี่ยนความคิดคุณไปแน่นอน
หนังมันเริ่มเรื่องด้วยการปูพื้นฐานว่าเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจอเมริกาในช่วงปี 2007-2008 ที่กลายเป็นวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ระดับโลก ซึ่งถ้าให้เล่าแบบตรงๆ มันก็คือการที่ธนาคารใหญ่ๆ ปล่อยกู้ให้คนกู้เงินซื้อบ้านแบบมั่วซั่วมากๆ ต่อให้ไม่มีความสามารถในการผ่อนชำระก็ปล่อยกู้ให้หมด แล้วก็เอาหนี้พวกนี้ไปขายต่อเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ซับซ้อนสุดๆ จนไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่ เหมือนเอาขยะมาห่อด้วยกระดาษแก้วสวยๆ แล้วหลอกขายชาวบ้านนั่นแหละครับ
ทีนี้มาถึงตัวละครเอกของเรื่องครับ ซึ่งมีหลายกลุ่มมากๆ แต่ละกลุ่มก็มีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันไป แต่ทุกคนมีความฉลาดและความหัวไวในแบบของตัวเอง กลุ่มแรกที่ผมชอบมากคือ ไมเคิล เบอร์รี่ (รับบทโดย คริสเตียน เบล) เป็นนักลงทุนนอกคอก สวมเสื้อยืด กางเกงยีนส์ตลอดเวลา ไม่ค่อยเข้าสังคม แต่สมองระดับอัจฉริยะ เขาเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของตลาดอสังหาริมทรัพย์ เห็นว่ามันคือฟองสบู่อันใหญ่ที่กำลังจะแตก เลยคิดจะ "ชอร์ตเซล" หรือการพนันว่าราคาจะตก ซึ่งเป็นอะไรที่สวนทางกับตลาดมากๆ ทุกคนมองว่าเขาบ้า แต่เขาก็ยืนยันในสิ่งที่ตัวเองเห็น
อีกกลุ่มที่น่าสนใจคือ จาร์เร็ด เวนเน็ตต์ (รับบทโดย ไรอัน กอสลิง) เป็นนักลงทุนหนุ่มไฟแรง ทำงานในธนาคารใหญ่ แต่มีความเลือดเย็น เห็นแก่ตัวสุดๆ เขาเป็นคนแรกๆ ที่มองเห็นโอกาสในการทำกำไรจากวิกฤตนี้ แล้วก็ชวนเพื่อนๆ อย่าง ชาร์ลี เกเบิล (รับบทโดย แบรด พิตต์) และ เจมี่ ชิปลีย์ (รับบทโดย จอห์น มาร์กาโร) มาร่วมวงด้วย สองคนนี้ก็เป็นนักลงทุนหนุ่มที่ตอนแรกก็ไม่ค่อยเชื่ออะไรมากนัก แต่พอโดนเวนเน็ตต์ชักชวนก็เริ่มเห็นแสงสว่าง (หรือแสงแห่งความโลภก็ไม่แน่ใจครับ)
แล้วก็มีกลุ่มนักลงทุนรุ่นเก๋าอย่าง มาร์ค บอม (รับบทโดย สตีฟ คาเรลล์) ที่เคยมีประสบการณ์เจ็บปวดกับตลาดมาก่อน เขาเป็นคนมีหลักการ แต่ก็มีความเด็ดเดี่ยว กล้าที่จะเดิมพันครั้งใหญ่เพื่อกอบกู้บริษัทของตัวเองจากวิกฤตที่จะมาถึง
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้โดดเด่นมากๆ เลยนะครับ คือการเล่าเรื่องครับ ผู้กำกับ อดัม แม็คเคย์ แกเก่งมากในการทำให้เรื่องที่ซับซ้อน กลายเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายขึ้นเยอะมาก โดยเฉพาะฉากที่ตัวละครต้องอธิบายศัพท์แสงทางการเงินต่างๆ ให้คนดูฟัง แกจะใช้วิธีการที่คาดไม่ถึงครับ บางทีก็มีดารามาเล่นเป็นตัวเองแล้วอธิบายตรงๆ เหมือนเราดูสารคดีสั้นๆ แทรกอยู่ในหนัง หรือไม่ก็ใช้ภาพเปรียบเทียบที่เห็นแล้วอ๋อทันที ทำให้เราไม่รู้สึกเบื่อ หรือว่าหลงประเด็นไปกับศัพท์เทคนิค
การแสดงของนักแสดงก็สุดยอดทุกคนครับ คริสเตียน เบล นี่ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ แกเล่นเป็นคนสติไม่เต็มแต่ฉลาดได้แนบเนียนมากๆ ไรอัน กอสลิง ก็เล่นเป็นคนเลวได้น่าหมั่นไส้สุดๆ แต่ก็มีเสน่ห์แบบร้ายๆ ส่วน สตีฟ คาเรลล์ ก็ถ่ายทอดความเครียด ความกดดัน และความมุ่งมั่นของตัวละครออกมาได้ดีมากๆ ครับ เห็นแล้วอินตามเลย
บรรยากาศในหนังมันจะมีความตึงเครียด กดดัน ตลอดเวลาครับ เพราะเราจะเห็นว่าตัวละครเหล่านี้กำลังเดิมพันด้วยเงินมหาศาล และอนาคตของหลายๆ คนก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขา บางฉากก็ลุ้นจนนั่งไม่ติดเก้าอี้เลยครับ มันไม่ใช่หนังแอ็คชั่นที่ไล่ยิงกันตูมตาม แต่เป็นแอ็คชั่นทางสมอง แอ็คชั่นของการวางแผน การเดิมพัน และการเผชิญหน้ากับระบบที่เน่าเฟะ
สิ่งที่ผมได้จากหนังเรื่องนี้จริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องการเงินนะครับ แต่เป็นมุมมองเกี่ยวกับความโลภ ความฉ้อฉลโกง และความไม่โปร่งใสในระบบทุนนิยม ที่ทำให้คนธรรมดาต้องเดือดร้อน แต่คนที่อยู่เบื้องหลังกลับกอบโกยผลประโยชน์ไปมหาศาล มันทำให้เราตระหนักว่าอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ในโลกของการเงิน และการมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งรอบตัวเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ครับ
อีกอย่างที่ชอบคือ หนังมันไม่ได้ตัดสินว่าใครถูกใครผิดครับ มันแค่เล่าเรื่องตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น แล้วให้คนดูเป็นคนตัดสินใจเอง ว่าการกระทำของแต่ละคนนั้นถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ อย่างกลุ่มของเวนเน็ตต์ที่เห็นแก่ตัวและแสวงหาผลประโยชน์จากความทุกข์ของคนอื่น หรือกลุ่มของเบอร์รี่ที่พยายามจะเตือนทุกคน แต่ก็ต้องทำในสิ่งที่สวนทางกับกระแสหลัก
โดยรวมแล้ว "The Big Short" เป็นหนังที่ผมแนะนำให้ทุกคนลองไปหามาดูกันครับ ไม่ว่าคุณจะสนใจเรื่องการเงินหรือไม่ก็ตาม เพราะมันไม่ใช่แค่หนังการเงิน แต่เป็นหนังที่สะท้อนสังคม สะท้อนความจริงที่อาจจะทำให้เราอึ้ง ทึ่ง และอาจจะทำให้เราตั้งคำถามกับหลายๆ สิ่งที่เราเห็นในชีวิตประจำวันครับ เป็นหนังที่ดูจบแล้วยังคิดตามไปอีกนานเลยครับ
ใครที่ดูแล้ว หรือมีหนังแนวนี้อยากแนะนำอีก บอกผมมาได้เลยนะครับ ยินดีรับฟังครับ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ!
ใครว่าเรื่องการเงินน่าเบื่อ? The Big Short ฉบับดูแล้วอึ้ง!
: ใครว่าเรื่องการเงินน่าเบื่อ? The Big Short ฉบับดูแล้วอึ้ง!
สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ชาว Pantip ที่รักทุกท่าน วันนี้ผมขออาสามาเล่าประสบการณ์การดูหนังเรื่อง "The Big Short" (2015) ที่เพิ่งมีโอกาสได้หยิบมาดูครับ บอกตรงๆ ว่าตอนแรกก็แอบหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน กลัวจะหลับกลางอากาศ เพราะเห็นว่าเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจ การเงิน อะไรพวกนี้ ซึ่งปกติผมก็ไม่ใช่สายเก่งเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่อยากลองเปิดโลกดูบ้าง ปรากฏว่า... โคตรมันส์ครับ! ใครที่คิดว่าหนังการเงินต้องเครียด ต้องใช้สมองเยอะๆ ขอบอกว่าเรื่องนี้เปลี่ยนความคิดคุณไปแน่นอน
หนังมันเริ่มเรื่องด้วยการปูพื้นฐานว่าเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจอเมริกาในช่วงปี 2007-2008 ที่กลายเป็นวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ระดับโลก ซึ่งถ้าให้เล่าแบบตรงๆ มันก็คือการที่ธนาคารใหญ่ๆ ปล่อยกู้ให้คนกู้เงินซื้อบ้านแบบมั่วซั่วมากๆ ต่อให้ไม่มีความสามารถในการผ่อนชำระก็ปล่อยกู้ให้หมด แล้วก็เอาหนี้พวกนี้ไปขายต่อเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ซับซ้อนสุดๆ จนไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่ เหมือนเอาขยะมาห่อด้วยกระดาษแก้วสวยๆ แล้วหลอกขายชาวบ้านนั่นแหละครับ
ทีนี้มาถึงตัวละครเอกของเรื่องครับ ซึ่งมีหลายกลุ่มมากๆ แต่ละกลุ่มก็มีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันไป แต่ทุกคนมีความฉลาดและความหัวไวในแบบของตัวเอง กลุ่มแรกที่ผมชอบมากคือ ไมเคิล เบอร์รี่ (รับบทโดย คริสเตียน เบล) เป็นนักลงทุนนอกคอก สวมเสื้อยืด กางเกงยีนส์ตลอดเวลา ไม่ค่อยเข้าสังคม แต่สมองระดับอัจฉริยะ เขาเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของตลาดอสังหาริมทรัพย์ เห็นว่ามันคือฟองสบู่อันใหญ่ที่กำลังจะแตก เลยคิดจะ "ชอร์ตเซล" หรือการพนันว่าราคาจะตก ซึ่งเป็นอะไรที่สวนทางกับตลาดมากๆ ทุกคนมองว่าเขาบ้า แต่เขาก็ยืนยันในสิ่งที่ตัวเองเห็น
อีกกลุ่มที่น่าสนใจคือ จาร์เร็ด เวนเน็ตต์ (รับบทโดย ไรอัน กอสลิง) เป็นนักลงทุนหนุ่มไฟแรง ทำงานในธนาคารใหญ่ แต่มีความเลือดเย็น เห็นแก่ตัวสุดๆ เขาเป็นคนแรกๆ ที่มองเห็นโอกาสในการทำกำไรจากวิกฤตนี้ แล้วก็ชวนเพื่อนๆ อย่าง ชาร์ลี เกเบิล (รับบทโดย แบรด พิตต์) และ เจมี่ ชิปลีย์ (รับบทโดย จอห์น มาร์กาโร) มาร่วมวงด้วย สองคนนี้ก็เป็นนักลงทุนหนุ่มที่ตอนแรกก็ไม่ค่อยเชื่ออะไรมากนัก แต่พอโดนเวนเน็ตต์ชักชวนก็เริ่มเห็นแสงสว่าง (หรือแสงแห่งความโลภก็ไม่แน่ใจครับ)
แล้วก็มีกลุ่มนักลงทุนรุ่นเก๋าอย่าง มาร์ค บอม (รับบทโดย สตีฟ คาเรลล์) ที่เคยมีประสบการณ์เจ็บปวดกับตลาดมาก่อน เขาเป็นคนมีหลักการ แต่ก็มีความเด็ดเดี่ยว กล้าที่จะเดิมพันครั้งใหญ่เพื่อกอบกู้บริษัทของตัวเองจากวิกฤตที่จะมาถึง
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้โดดเด่นมากๆ เลยนะครับ คือการเล่าเรื่องครับ ผู้กำกับ อดัม แม็คเคย์ แกเก่งมากในการทำให้เรื่องที่ซับซ้อน กลายเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายขึ้นเยอะมาก โดยเฉพาะฉากที่ตัวละครต้องอธิบายศัพท์แสงทางการเงินต่างๆ ให้คนดูฟัง แกจะใช้วิธีการที่คาดไม่ถึงครับ บางทีก็มีดารามาเล่นเป็นตัวเองแล้วอธิบายตรงๆ เหมือนเราดูสารคดีสั้นๆ แทรกอยู่ในหนัง หรือไม่ก็ใช้ภาพเปรียบเทียบที่เห็นแล้วอ๋อทันที ทำให้เราไม่รู้สึกเบื่อ หรือว่าหลงประเด็นไปกับศัพท์เทคนิค
การแสดงของนักแสดงก็สุดยอดทุกคนครับ คริสเตียน เบล นี่ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ แกเล่นเป็นคนสติไม่เต็มแต่ฉลาดได้แนบเนียนมากๆ ไรอัน กอสลิง ก็เล่นเป็นคนเลวได้น่าหมั่นไส้สุดๆ แต่ก็มีเสน่ห์แบบร้ายๆ ส่วน สตีฟ คาเรลล์ ก็ถ่ายทอดความเครียด ความกดดัน และความมุ่งมั่นของตัวละครออกมาได้ดีมากๆ ครับ เห็นแล้วอินตามเลย
บรรยากาศในหนังมันจะมีความตึงเครียด กดดัน ตลอดเวลาครับ เพราะเราจะเห็นว่าตัวละครเหล่านี้กำลังเดิมพันด้วยเงินมหาศาล และอนาคตของหลายๆ คนก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขา บางฉากก็ลุ้นจนนั่งไม่ติดเก้าอี้เลยครับ มันไม่ใช่หนังแอ็คชั่นที่ไล่ยิงกันตูมตาม แต่เป็นแอ็คชั่นทางสมอง แอ็คชั่นของการวางแผน การเดิมพัน และการเผชิญหน้ากับระบบที่เน่าเฟะ
สิ่งที่ผมได้จากหนังเรื่องนี้จริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องการเงินนะครับ แต่เป็นมุมมองเกี่ยวกับความโลภ ความฉ้อฉลโกง และความไม่โปร่งใสในระบบทุนนิยม ที่ทำให้คนธรรมดาต้องเดือดร้อน แต่คนที่อยู่เบื้องหลังกลับกอบโกยผลประโยชน์ไปมหาศาล มันทำให้เราตระหนักว่าอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ในโลกของการเงิน และการมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งรอบตัวเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ครับ
อีกอย่างที่ชอบคือ หนังมันไม่ได้ตัดสินว่าใครถูกใครผิดครับ มันแค่เล่าเรื่องตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น แล้วให้คนดูเป็นคนตัดสินใจเอง ว่าการกระทำของแต่ละคนนั้นถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ อย่างกลุ่มของเวนเน็ตต์ที่เห็นแก่ตัวและแสวงหาผลประโยชน์จากความทุกข์ของคนอื่น หรือกลุ่มของเบอร์รี่ที่พยายามจะเตือนทุกคน แต่ก็ต้องทำในสิ่งที่สวนทางกับกระแสหลัก
โดยรวมแล้ว "The Big Short" เป็นหนังที่ผมแนะนำให้ทุกคนลองไปหามาดูกันครับ ไม่ว่าคุณจะสนใจเรื่องการเงินหรือไม่ก็ตาม เพราะมันไม่ใช่แค่หนังการเงิน แต่เป็นหนังที่สะท้อนสังคม สะท้อนความจริงที่อาจจะทำให้เราอึ้ง ทึ่ง และอาจจะทำให้เราตั้งคำถามกับหลายๆ สิ่งที่เราเห็นในชีวิตประจำวันครับ เป็นหนังที่ดูจบแล้วยังคิดตามไปอีกนานเลยครับ
ใครที่ดูแล้ว หรือมีหนังแนวนี้อยากแนะนำอีก บอกผมมาได้เลยนะครับ ยินดีรับฟังครับ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ!